Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā)

    ๙. วีโณปมสุตฺตวณฺณนา

    9. Vīṇopamasuttavaṇṇanā

    ๒๔๖. นวเม ยสฺส กสฺสจิ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุสฺส วา ภิกฺขุนิยา วาติ อิทํ สตฺถา ยถา นาม มหากุฎุมฺพิโก มหนฺตํ กสิกมฺมํ กตฺวา, นิปฺผนฺนสโสฺส ฆรทฺวาเร มณฺฑปํ กตฺวา, อุภโตสงฺฆสฺส ทานํ ปวเตฺตยฺยฯ กิญฺจาปิ เตน อุภโตสงฺฆสฺส ทานํ ปฎฺฐปิตํ, ทฺวีสุ ปน ปริสาสุ สนฺตปฺปิตาสุ เสสชนมฺปิ สนฺตเปฺปติเยว, เอวเมว ภควา สมธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ ปารมิโย ปูเรตฺวา โพธิมเณฺฑ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ อธิคนฺตฺวา ปวตฺติตวรธมฺมจโกฺก เชตวนมหาวิหาเร นิสิโนฺน ภิกฺขุปริสาย เจว ภิกฺขุนิปริสาย จ มหาธมฺมยาคํ ยชโนฺต วีโณปมสุตฺตํ อารภิฯ ตํ เปเนตํ กิญฺจาปิ เทฺว ปริสา สนฺธาย อารทฺธํ, จตุนฺนมฺปิ ปน ปริสานํ อวาริตํฯ ตสฺมา สเพฺพหิปิ โสตพฺพเญฺจว สทฺธาตพฺพญฺจ, ปริโยคาหิตฺวา จสฺส อตฺถรโส วินฺทิตโพฺพติฯ

    246. Navame yassa kassaci, bhikkhave, bhikkhussa vā bhikkhuniyā vāti idaṃ satthā yathā nāma mahākuṭumbiko mahantaṃ kasikammaṃ katvā, nipphannasasso gharadvāre maṇḍapaṃ katvā, ubhatosaṅghassa dānaṃ pavatteyya. Kiñcāpi tena ubhatosaṅghassa dānaṃ paṭṭhapitaṃ, dvīsu pana parisāsu santappitāsu sesajanampi santappetiyeva, evameva bhagavā samadhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni pāramiyo pūretvā bodhimaṇḍe sabbaññutaññāṇaṃ adhigantvā pavattitavaradhammacakko jetavanamahāvihāre nisinno bhikkhuparisāya ceva bhikkhuniparisāya ca mahādhammayāgaṃ yajanto vīṇopamasuttaṃ ārabhi. Taṃ penetaṃ kiñcāpi dve parisā sandhāya āraddhaṃ, catunnampi pana parisānaṃ avāritaṃ. Tasmā sabbehipi sotabbañceva saddhātabbañca, pariyogāhitvā cassa attharaso vinditabboti.

    ตตฺถ ฉโนฺทติอาทีสุ ฉโนฺท นาม ปุพฺพุปฺปตฺติกา ทุพฺพลตณฺหา, โส รเญฺชตุํ น สโกฺกติ ฯ อปราปรํ อุปฺปชฺชมานา ปน พลวตณฺหา ราโค นาม, โส รเญฺชตุํ สโกฺกติฯ ทณฺฑาทานาทีนิ กาตุํ อสมโตฺถ ปุพฺพุปฺปตฺติโก ทุพฺพลโกโธ โทโส นามฯ ตานิ กาตุํ สมโตฺถ อปราปรุปฺปตฺติโก พลวโกโธ ปฎิฆํ นามฯ โมโห ปน โมหนสโมฺมหนวเสน อุปฺปนฺนํ อญฺญาณํฯ เอวเมตฺถ ปญฺจหิปิ ปเทหิ ตีณิ อกุสลมูลานิ คหิตานิฯ เตสุ คหิเตสุ สเพฺพปิ ตมฺมูลกา กิเลสา คหิตาว โหนฺติฯ ‘‘ฉโนฺท ราโค’’ติ วา ปททฺวเยน อฎฺฐโลภสหคตจิตฺตุปฺปาทา, ‘‘โทโส ปฎิฆ’’นฺติ ปททฺวเยน เทฺว โทมนสฺสสหคตจิตฺตุปฺปาทา, โมหปเทน โลภโทสรหิตา เทฺว อุทฺธจฺจวิจิกิจฺฉาสหคตจิตฺตุปฺปาทา คหิตาติฯ เอวํ สเพฺพปิ ทฺวาทส จิตฺตุปฺปาทา ทสฺสิตาว โหนฺติฯ

    Tattha chandotiādīsu chando nāma pubbuppattikā dubbalataṇhā, so rañjetuṃ na sakkoti . Aparāparaṃ uppajjamānā pana balavataṇhā rāgo nāma, so rañjetuṃ sakkoti. Daṇḍādānādīni kātuṃ asamattho pubbuppattiko dubbalakodho doso nāma. Tāni kātuṃ samattho aparāparuppattiko balavakodho paṭighaṃ nāma. Moho pana mohanasammohanavasena uppannaṃ aññāṇaṃ. Evamettha pañcahipi padehi tīṇi akusalamūlāni gahitāni. Tesu gahitesu sabbepi tammūlakā kilesā gahitāva honti. ‘‘Chando rāgo’’ti vā padadvayena aṭṭhalobhasahagatacittuppādā, ‘‘doso paṭigha’’nti padadvayena dve domanassasahagatacittuppādā, mohapadena lobhadosarahitā dve uddhaccavicikicchāsahagatacittuppādā gahitāti. Evaṃ sabbepi dvādasa cittuppādā dassitāva honti.

    สภโยติ กิเลสโจรานํ นิวาสฎฺฐานตฺตา สภโยฯ สปฺปฎิภโยติ วธพนฺธนาทีนํ การณตฺตา สปฺปฎิภโยฯ สกณฺฎโกติ ราคาทีหิ กณฺฎเกหิ สกณฺฎโกฯ สคหโนติ ราคคหนาทีหิ สคหโนฯ อุมฺมโคฺคติ เทวโลกํ วา มนุสฺสโลกํ วา นิพฺพานํ วา คจฺฉนฺตสฺส อมโคฺคฯ กุมฺมโคฺคติ กุจฺฉิตเชคุจฺฉิภูตฎฺฐานคมนเอกปทิกมโคฺค วิย อปายสมฺปาปกตฺตา กุมฺมโคฺคฯ ทุหิติโกติ เอตฺถ อิหิตีติ อิริยนา, ทุกฺขา อิหิติ เอตฺถาติ, ทุหิติโกฯ ยสฺมิญฺหิ มเคฺค มูลผลาทิขาทนียํ วา สายนียํ วา นตฺถิ, ตสฺมิํ อิริยนา ทุกฺขา โหติ, น สกฺกา ตํ ปฎิปชฺชิตฺวา อิจฺฉิตฎฺฐานํ คนฺตุํฯ กิเลสมคฺคมฺปิ ปฎิปชฺชิตฺวา น สกฺกา สมฺปตฺติภวํ คนฺตุนฺติ กิเลสมโคฺค ทุหิติโกติ วุโตฺตฯ ทฺวีหิติโกติปิ ปาโฐ, เอเสวโตฺถฯ อสปฺปุริสเสวิโตติ โกกาลิกาทีหิ อสปฺปุริเสหิ เสวิโตฯ

    Sabhayoti kilesacorānaṃ nivāsaṭṭhānattā sabhayo. Sappaṭibhayoti vadhabandhanādīnaṃ kāraṇattā sappaṭibhayo. Sakaṇṭakoti rāgādīhi kaṇṭakehi sakaṇṭako. Sagahanoti rāgagahanādīhi sagahano. Ummaggoti devalokaṃ vā manussalokaṃ vā nibbānaṃ vā gacchantassa amaggo. Kummaggoti kucchitajegucchibhūtaṭṭhānagamanaekapadikamaggo viya apāyasampāpakattā kummaggo. Duhitikoti ettha ihitīti iriyanā, dukkhā ihiti etthāti, duhitiko. Yasmiñhi magge mūlaphalādikhādanīyaṃ vā sāyanīyaṃ vā natthi, tasmiṃ iriyanā dukkhā hoti, na sakkā taṃ paṭipajjitvā icchitaṭṭhānaṃ gantuṃ. Kilesamaggampi paṭipajjitvā na sakkā sampattibhavaṃ gantunti kilesamaggo duhitikoti vutto. Dvīhitikotipi pāṭho, esevattho. Asappurisasevitoti kokālikādīhi asappurisehi sevito.

    ตโต จิตฺตํ นิวารเยติ เตหิ จกฺขุวิเญฺญเยฺยหิ รูเปหิ ตํ ฉนฺทาทิวเสน ปวตฺตจิตฺตํ อสุภาวชฺชนาทีหิ อุปาเยหิ นิวารเยฯ จกฺขุทฺวารสฺมิญฺหิ อิฎฺฐารมฺมเณ ราเค อุปฺปเนฺน อสุภโต อาวชฺชนฺตสฺส จิตฺตํ นิวตฺตติ, อนิฎฺฐารมฺมเณ โทเส อุปฺปเนฺน เมตฺตโต อาวชฺชนฺตสฺส จิตฺตํ นิวตฺตติ, มชฺฌตฺตารมฺมเณ โมเห อุปฺปเนฺน อุเทฺทสปริปุจฺฉํ ครุวาสํ อาวชฺชนฺตสฺส จิตฺตํ นิวตฺตติฯ เอวํ อสโกฺกเนฺตน ปน สตฺถุมหตฺตตํ ธมฺมสฺส สฺวากฺขาตตา สงฺฆสฺส สุปฺปฎิปตฺติ จ อาวชฺชิตพฺพาฯ สตฺถุมหตฺตตํ ปจฺจเวกฺขโตปิ หิ ธมฺมสฺส สฺวากฺขาตตํ สงฺฆสฺส สุปฺปฎิปตฺติํ ปจฺจเวกฺขโตปิ จิตฺตํ นิวตฺตติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อสุภาวชฺชนาทีหิ อุปาเยหิ นิวารเย’’ติฯ

    Tato cittaṃ nivārayeti tehi cakkhuviññeyyehi rūpehi taṃ chandādivasena pavattacittaṃ asubhāvajjanādīhi upāyehi nivāraye. Cakkhudvārasmiñhi iṭṭhārammaṇe rāge uppanne asubhato āvajjantassa cittaṃ nivattati, aniṭṭhārammaṇe dose uppanne mettato āvajjantassa cittaṃ nivattati, majjhattārammaṇe mohe uppanne uddesaparipucchaṃ garuvāsaṃ āvajjantassa cittaṃ nivattati. Evaṃ asakkontena pana satthumahattataṃ dhammassa svākkhātatā saṅghassa suppaṭipatti ca āvajjitabbā. Satthumahattataṃ paccavekkhatopi hi dhammassa svākkhātataṃ saṅghassa suppaṭipattiṃ paccavekkhatopi cittaṃ nivattati. Tena vuttaṃ ‘‘asubhāvajjanādīhi upāyehi nivāraye’’ti.

    กิฎฺฐนฺติ กิฎฺฐฎฺฐาเน อุปฺปนฺนสสฺสํฯ สมฺปนฺนนฺติ ปริปุณฺณํ สุนิปฺผนฺนํฯ กิฎฺฐาโทติ สสฺสขาทโก ฯ เอวเมว โขติ เอตฺถ สมฺปนฺนกิฎฺฐํ วิย ปญฺจ กามคุณา ทฎฺฐพฺพา, กิฎฺฐาโท โคโณ วิย กูฎจิตฺตํ, กิฎฺฐารกฺขสฺส ปมาทกาโล วิย ภิกฺขุโน ฉสุ ทฺวาเรสุ สติํ ปหาย วิจรณกาโล, กิฎฺฐารกฺขสฺส ปมาทมาคมฺม โคเณน คหิตคพฺภสฺส กิฎฺฐสฺส ขาทิตตฺตา สสฺสสามิโน สสฺสผลานธิคโม วิย ฉทฺวารรกฺขิกาย สติยา วิปฺปวาสมาคมฺม ปญฺจกามคุณํ อสฺสาเทเนฺตน จิเตฺตน กุสลปกฺขสฺส นาสิตตฺตา ภิกฺขุโน สามญฺญผลาธิคมาภาโว เวทิตโพฺพฯ

    Kiṭṭhanti kiṭṭhaṭṭhāne uppannasassaṃ. Sampannanti paripuṇṇaṃ sunipphannaṃ. Kiṭṭhādoti sassakhādako . Evameva khoti ettha sampannakiṭṭhaṃ viya pañca kāmaguṇā daṭṭhabbā, kiṭṭhādo goṇo viya kūṭacittaṃ, kiṭṭhārakkhassa pamādakālo viya bhikkhuno chasu dvāresu satiṃ pahāya vicaraṇakālo, kiṭṭhārakkhassa pamādamāgamma goṇena gahitagabbhassa kiṭṭhassa khāditattā sassasāmino sassaphalānadhigamo viya chadvārarakkhikāya satiyā vippavāsamāgamma pañcakāmaguṇaṃ assādentena cittena kusalapakkhassa nāsitattā bhikkhuno sāmaññaphalādhigamābhāvo veditabbo.

    อุปริฆฎายนฺติ ทฺวินฺนํ สิงฺคานํ อนฺตเรฯ สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเณฺหยฺยาติ ฆฎายํ ปติฎฺฐิเต นาสารชฺชุเก สุฎฺฐุ นิคฺคหิตํ กตฺวา นิคฺคเณฺหยฺยฯ ทเณฺฑนาติ มุคฺครสทิเสน ถูลทณฺฑเกนฯ เอวญฺหิ โส ภิกฺขเว โคโณติ เอวํ โส กิฎฺฐารกฺขสฺส ปมาทมนฺวาย ยสฺมิํ ยสฺมิํ ขเณ กิฎฺฐํ โอตริตุกาโม โหติ, ตสฺมิํ ตสฺมิํ ขเณ เอวํ นิคฺคณฺหิตฺวา ตาเฬตฺวา โอสชฺชเนน นิพฺพิเสวนภาวํ อุปนีโต โคโณฯ

    Uparighaṭāyanti dvinnaṃ siṅgānaṃ antare. Suniggahitaṃ niggaṇheyyāti ghaṭāyaṃ patiṭṭhite nāsārajjuke suṭṭhu niggahitaṃ katvā niggaṇheyya. Daṇḍenāti muggarasadisena thūladaṇḍakena. Evañhi so bhikkhave goṇoti evaṃ so kiṭṭhārakkhassa pamādamanvāya yasmiṃ yasmiṃ khaṇe kiṭṭhaṃ otaritukāmo hoti, tasmiṃ tasmiṃ khaṇe evaṃ niggaṇhitvā tāḷetvā osajjanena nibbisevanabhāvaṃ upanīto goṇo.

    เอวเมว โขติ อิธาปิ สมฺปนฺนกิฎฺฐมิว ปญฺจ กามคุณา ทฎฺฐพฺพา, กิฎฺฐาโท วิย กูฎจิตฺตํ, กิฎฺฐารกฺขสฺส อปฺปมาโท วิย อิมสฺส ภิกฺขุโน ฉสุ ทฺวาเรสุ สติยา อวิสฺสชฺชนํ, ทโณฺฑ วิย สุตฺตโนฺต, โคณสฺส กิฎฺฐาภิมุขกาเล ทเณฺฑน ตาฬนํ วิย จิตฺตสฺส พหิทฺธา ปุถุตฺตารมฺมณาภิมุขกาเล อนมตคฺคิยเทวทูตอาทิตฺตอาสีวิสูปมอนาคตภยาทีสุ ตํ ตํ สุตฺตํ อาวเชฺชตฺวา จิตฺตุปฺปาทสฺส ปุถุตฺตารมฺมณโต นิวาเรตฺวา มูลกมฺมฎฺฐาเน โอตารณํ เวทิตพฺพํฯ เตนาหุ โปราณา –

    Evameva khoti idhāpi sampannakiṭṭhamiva pañca kāmaguṇā daṭṭhabbā, kiṭṭhādo viya kūṭacittaṃ, kiṭṭhārakkhassa appamādo viya imassa bhikkhuno chasu dvāresu satiyā avissajjanaṃ, daṇḍo viya suttanto, goṇassa kiṭṭhābhimukhakāle daṇḍena tāḷanaṃ viya cittassa bahiddhā puthuttārammaṇābhimukhakāle anamataggiyadevadūtaādittaāsīvisūpamaanāgatabhayādīsu taṃ taṃ suttaṃ āvajjetvā cittuppādassa puthuttārammaṇato nivāretvā mūlakammaṭṭhāne otāraṇaṃ veditabbaṃ. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘สุภาสิตํ สุตฺวา มโน ปสีทติ,

    ‘‘Subhāsitaṃ sutvā mano pasīdati,

    ทเมติ นํ ปีติสุขญฺจ วินฺทติ;

    Dameti naṃ pītisukhañca vindati;

    ตทสฺส อารมฺมเณ ติฎฺฐเต มโน,

    Tadassa ārammaṇe tiṭṭhate mano,

    โคโณว กิฎฺฐาทโก ทณฺฑตชฺชิโต’’ติฯ

    Goṇova kiṭṭhādako daṇḍatajjito’’ti.

    อุทุชิตนฺติ ตชฺชิตํฯ สุทุชิตนฺติ สุตชฺชิตํ, สุชิตนฺติปิ อโตฺถฯ อุทุ, สุทูติ อิทํ ปน นิปาตมตฺตเมวฯ อชฺฌตฺตนฺติ โคจรชฺฌตฺตํฯ สนฺติฎฺฐตีติอาทีสุ ปฐมชฺฌานวเสน สนฺติฎฺฐติ, ทุติยชฺฌานวเสน สนฺนิสีทติ, ตติยชฺฌานวเสน เอโกทิ โหติ, จตุตฺถชฺฌานวเสน สมาธิยติฯ สพฺพมฺปิ วา เอตํ ปฐมชฺฌานวเสน เวทิตพฺพํฯ เอตฺตาวตา หิ สมฺมาสมฺพุเทฺธน สมถานุรกฺขณอินฺทฺริยสํวรสีลํ นาม กถิตํฯ

    Udujitanti tajjitaṃ. Sudujitanti sutajjitaṃ, sujitantipi attho. Udu, sudūti idaṃ pana nipātamattameva. Ajjhattanti gocarajjhattaṃ. Santiṭṭhatītiādīsu paṭhamajjhānavasena santiṭṭhati, dutiyajjhānavasena sannisīdati, tatiyajjhānavasena ekodi hoti, catutthajjhānavasena samādhiyati. Sabbampi vā etaṃ paṭhamajjhānavasena veditabbaṃ. Ettāvatā hi sammāsambuddhena samathānurakkhaṇaindriyasaṃvarasīlaṃ nāma kathitaṃ.

    รโญฺญ วาติ กสฺสจิเทว ปจฺจนฺตรโญฺญ วาฯ สทฺทํ สุเณยฺยาติ ปจฺจูสกาเล ปพุโทฺธ กุสเลน วีณาวาทเกน วาทิยมานาย มธุรสทฺทํ สุเณยฺยฯ รชนีโยติอาทีสุ จิตฺตํ รเญฺชตีติ รชนีโยฯ กาเมตพฺพตาย กมนีโยฯ จิตฺตํ มทยตีติ มทนีโยฯ จิตฺตํ มุจฺฉิตํ วิย กรณโต มุจฺฉิยตีติ มุจฺฉนีโยฯ อาพนฺธิตฺวา วิย คหณโต พนฺธตีติ พนฺธนีโยฯ อลํ เม, โภติ วีณาย สณฺฐานํ ทิสฺวา ตํ อนิจฺฉโนฺต เอวมาหฯ อุปธารเณติ เวฎฺฐเกฯ โกณนฺติ จตุรสฺสํ สารทณฺฑกํฯ

    Rañño vāti kassacideva paccantarañño vā. Saddaṃ suṇeyyāti paccūsakāle pabuddho kusalena vīṇāvādakena vādiyamānāya madhurasaddaṃ suṇeyya. Rajanīyotiādīsu cittaṃ rañjetīti rajanīyo. Kāmetabbatāya kamanīyo. Cittaṃ madayatīti madanīyo. Cittaṃ mucchitaṃ viya karaṇato mucchiyatīti mucchanīyo. Ābandhitvā viya gahaṇato bandhatīti bandhanīyo. Alaṃ me, bhoti vīṇāya saṇṭhānaṃ disvā taṃ anicchanto evamāha. Upadhāraṇeti veṭṭhake. Koṇanti caturassaṃ sāradaṇḍakaṃ.

    โส ตํ วีณนฺติ โส ราชา ‘‘อาหรถ นํ วีณํ, อหมสฺสา สทฺทํ ปสิสฺสามี’’ติ ตํ วีณํ คเหตฺวาฯ ทสธา วาติอาทีสุ ปฐมํ ตาว ทสธา ผาเลยฺย, อถสฺสา สทฺทํ อปสฺสโนฺต สตธา ผาเลยฺย, ตถาปิ อปสฺสโนฺต สกลิกํ สกลิกํ กเรยฺย, ตถาปิ อปสฺสโนฺต ‘‘สกลิกา ฌายิสฺสนฺติ, สโทฺท ปน นิกฺขมิตฺวา ปลายิสฺสติ, ตทา นํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ อคฺคินา ฑเหยฺยฯ ตถาปิ อปสฺสโนฺต ‘‘สลฺลหุกานิ มสิจุณฺณานิ วาเตน ภสฺสิสฺสนฺติ, สโทฺท สารธญฺญํ วิย ปาทมูเล ปติสฺสติ, ตทา นํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ มหาวาเต วา โอผุเนยฺยฯ ตถาปิ อปสฺสโนฺต ‘‘มสิจุณฺณานิ ยโถทกํ คมิสฺสนฺติ, สโทฺท ปน ปารํ คจฺฉโนฺต ปุริโส วิย นิกฺขมิตฺวา ตริสฺสติ, ตทา นํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ นทิยา วา สีฆโสตาย ปวาเหยฺยฯ

    So taṃ vīṇanti so rājā ‘‘āharatha naṃ vīṇaṃ, ahamassā saddaṃ pasissāmī’’ti taṃ vīṇaṃ gahetvā. Dasadhā vātiādīsu paṭhamaṃ tāva dasadhā phāleyya, athassā saddaṃ apassanto satadhā phāleyya, tathāpi apassanto sakalikaṃ sakalikaṃ kareyya, tathāpi apassanto ‘‘sakalikā jhāyissanti, saddo pana nikkhamitvā palāyissati, tadā naṃ passissāmī’’ti agginā ḍaheyya. Tathāpi apassanto ‘‘sallahukāni masicuṇṇāni vātena bhassissanti, saddo sāradhaññaṃ viya pādamūle patissati, tadā naṃ passissāmī’’ti mahāvāte vā ophuneyya. Tathāpi apassanto ‘‘masicuṇṇāni yathodakaṃ gamissanti, saddo pana pāraṃ gacchanto puriso viya nikkhamitvā tarissati, tadā naṃ passissāmī’’ti nadiyā vā sīghasotāya pavāheyya.

    เอวํ วเทยฺยาติ สเพฺพหิปิเมหิ อุปาเยหิ อปสฺสโนฺต เต มนุเสฺส เอวํ วเทยฺยฯ อสตี กิรายนฺติ อสตี กิร อยํ วีณา, ลามิกาติ อโตฺถฯ อสตีติ ลามกาธิวจนเมตํฯ ยถาห –

    Evaṃ vadeyyāti sabbehipimehi upāyehi apassanto te manusse evaṃ vadeyya. Asatī kirāyanti asatī kira ayaṃ vīṇā, lāmikāti attho. Asatīti lāmakādhivacanametaṃ. Yathāha –

    ‘‘อสา โลกิตฺถิโย นาม, เวลา ตาสํ น วิชฺชติ;

    ‘‘Asā lokitthiyo nāma, velā tāsaṃ na vijjati;

    สารตฺตา จ ปคพฺภา จ, สิขี สพฺพฆโส ยถา’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๖๑);

    Sārattā ca pagabbhā ca, sikhī sabbaghaso yathā’’ti. (jā. 1.1.61);

    ยเถวํ ยํกิญฺจิ วีณา นามาติ น เกวลญฺจ วีณาเยว ลามิกา, ยเถว ปน อยํ วีณา นาม, เอวํ ยํกิญฺจิ อญฺญมฺปิ ตนฺติพทฺธํ, สพฺพํ ตํ ลามกเมวาติ อโตฺถฯ เอวเมว โขติ เอตฺถ วีณา วิย ปญฺจกฺขนฺธา ทฎฺฐพฺพา, ราชา วิย โยคาวจโรฯ ยถา โส ราชา ตํ วีณํ ทสธา ผาลนโต ปฎฺฐาย วิจินโนฺต สทฺทํ อทิสฺวา วีณาย อนตฺถิโก โหติ, เอวํ โยคาวจโร ปญฺจกฺขเนฺธ สมฺมสโนฺต อหนฺติ วา มมนฺติ วา คเหตพฺพํ อปสฺสโนฺต ขเนฺธหิ อนตฺถิโก โหติฯ เตนสฺส ตํ ขนฺธสมฺมสนํ ทเสฺสโนฺต รูปํ สมเนฺวสติ ยาวตา รูปสฺส คตีติอาทิมาหฯ

    Yathevaṃ yaṃkiñci vīṇā nāmāti na kevalañca vīṇāyeva lāmikā, yatheva pana ayaṃ vīṇā nāma, evaṃ yaṃkiñci aññampi tantibaddhaṃ, sabbaṃ taṃ lāmakamevāti attho. Evameva khoti ettha vīṇā viya pañcakkhandhā daṭṭhabbā, rājā viya yogāvacaro. Yathā so rājā taṃ vīṇaṃ dasadhā phālanato paṭṭhāya vicinanto saddaṃ adisvā vīṇāya anatthiko hoti, evaṃ yogāvacaro pañcakkhandhe sammasanto ahanti vā mamanti vā gahetabbaṃ apassanto khandhehi anatthiko hoti. Tenassa taṃ khandhasammasanaṃ dassento rūpaṃ samanvesati yāvatā rūpassa gatītiādimāha.

    ตตฺถ สมเนฺวสตีติ ปริเยสติฯ ยาวตา รูปสฺส คตีติ ยตฺตกา รูปสฺส คติฯ ตตฺถ คตีติ คติคติ, สญฺชาติคติ, สลกฺขณคติ, วิภวคติ, เภทคตีติ ปญฺจวิธา โหนฺติฯ ตตฺถ อิทํ รูปํ นาม เหฎฺฐา อวีจิปริยนฺตํ กตฺวา อุปริ อกนิฎฺฐพฺรหฺมโลกํ อโนฺต กตฺวา เอตฺถนฺตเร สํสรติ วตฺตติ, อยมสฺส คติคติ นามฯ

    Tattha samanvesatīti pariyesati. Yāvatā rūpassa gatīti yattakā rūpassa gati. Tattha gatīti gatigati, sañjātigati, salakkhaṇagati, vibhavagati, bhedagatīti pañcavidhā honti. Tattha idaṃ rūpaṃ nāma heṭṭhā avīcipariyantaṃ katvā upari akaniṭṭhabrahmalokaṃ anto katvā etthantare saṃsarati vattati, ayamassa gatigati nāma.

    อยํ ปน กาโย เนว ปทุมคเพฺภ, น ปุณฺฑรีกนีลุปฺปลาทีสุ สญฺชายติ, อามาสยปกฺกาสยานํ ปน อนฺตเร พหลนฺธกาเร ทุคฺคนฺธปวนวิจริเต ปรมเชคุเจฺฉ โอกาเส ปูติมจฺฉาทีสุ กิมิ วิย สญฺชายติ , อยํ รูปสฺส สญฺชาติคติ นามฯ

    Ayaṃ pana kāyo neva padumagabbhe, na puṇḍarīkanīluppalādīsu sañjāyati, āmāsayapakkāsayānaṃ pana antare bahalandhakāre duggandhapavanavicarite paramajegucche okāse pūtimacchādīsu kimi viya sañjāyati , ayaṃ rūpassa sañjātigati nāma.

    ทุวิธํ ปน รูปสฺส ลกฺขณํ, ‘‘รุปฺปตีติ โข, ภิกฺขเว, ตสฺมา รูป’’นฺติ (สํ. นิ. ๓.๗๙) เอวํ วุตฺต รุปฺปนสงฺขาตํ ปจฺจตฺตลกฺขณญฺจ อนิจฺจาทิเภทํ สามญฺญลกฺขณญฺจ, อยมสฺส สลกฺขณคติ นามฯ

    Duvidhaṃ pana rūpassa lakkhaṇaṃ, ‘‘ruppatīti kho, bhikkhave, tasmā rūpa’’nti (saṃ. ni. 3.79) evaṃ vutta ruppanasaṅkhātaṃ paccattalakkhaṇañca aniccādibhedaṃ sāmaññalakkhaṇañca, ayamassa salakkhaṇagati nāma.

    ‘‘คติ มิคานํ ปวนํ, อากาโส ปกฺขินํ คติ;

    ‘‘Gati migānaṃ pavanaṃ, ākāso pakkhinaṃ gati;

    วิภโว คติ ธมฺมานํ, นิพฺพานํ อรหโต คตี’’ติฯ (ปริ. ๓๓๙) –

    Vibhavo gati dhammānaṃ, nibbānaṃ arahato gatī’’ti. (pari. 339) –

    เอวํ วุโตฺต รูปสฺส อภาโว วิภวคติ นามฯ โย ปนสฺส เภโท, อยํ เภทคติ นามฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เกวลเญฺหตฺถ อุปริ ยาว ภวคฺคา เตสํ สญฺชาติคติ, สลกฺขณคติยญฺจ เวทยิตสญฺชานนอภิสงฺขรณวิชานนวเสน ปจฺจตฺตลกฺขณํ เวทิตพฺพํฯ

    Evaṃ vutto rūpassa abhāvo vibhavagati nāma. Yo panassa bhedo, ayaṃ bhedagati nāma. Vedanādīsupi eseva nayo. Kevalañhettha upari yāva bhavaggā tesaṃ sañjātigati, salakkhaṇagatiyañca vedayitasañjānanaabhisaṅkharaṇavijānanavasena paccattalakkhaṇaṃ veditabbaṃ.

    ตมฺปิ ตสฺส น โหตีติ ยเทตํ รูปาทีสุ อหนฺติ วา มมนฺติ วา อสฺมีติ วา เอวํ นิทฺทิฎฺฐํ ทิฎฺฐิตณฺหามานคฺคาหตฺตยํ, ตมฺปิ ตสฺส ขีณาสวสฺส น โหตีติ ยถานุสนฺธินาว สุตฺตาคตํฯ เตน วุตฺตํ มหาอฎฺฐกถายํ –

    Tampi tassa na hotīti yadetaṃ rūpādīsu ahanti vā mamanti vā asmīti vā evaṃ niddiṭṭhaṃ diṭṭhitaṇhāmānaggāhattayaṃ, tampi tassa khīṇāsavassa na hotīti yathānusandhināva suttāgataṃ. Tena vuttaṃ mahāaṭṭhakathāyaṃ –

    ‘‘อาทิมฺหิ สีลํ กถิตํ, มเชฺฌ สมาธิภาวนา;

    ‘‘Ādimhi sīlaṃ kathitaṃ, majjhe samādhibhāvanā;

    ปริโยสาเน จ นิพฺพานํ, เอสา วีโณปมา กถา’’ติฯ

    Pariyosāne ca nibbānaṃ, esā vīṇopamā kathā’’ti.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๙. วีโณปมสุตฺตํ • 9. Vīṇopamasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๙. วีโณปมสุตฺตวณฺณนา • 9. Vīṇopamasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact