Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / พุทฺธวํส-อฎฺฐกถา • Buddhavaṃsa-aṭṭhakathā

    ๒๑. วิปสฺสีพุทฺธวํสวณฺณนา

    21. Vipassībuddhavaṃsavaṇṇanā

    ผุสฺสสฺส พุทฺธสฺส อปรภาเค สานฺตรกเปฺป ตสฺมิญฺจ กเปฺป วีติวเตฺต อิโต เอกนวุติกเปฺป วิชิตสพฺพกโปฺป ปรหิตนิรตสงฺกโปฺป สพฺพตฺถ วิปสฺสี วิปสฺสี นาม สตฺถา โลเก อุทปาทิฯ โส ปารมิโย ปูเรตฺวา อเนกรตนมณิวิสรสมุโชฺชติตภวเน ตุสิตภวเน นิพฺพตฺติตฺวา ตโต จวิตฺวา พนฺธุมตีนคเร อเนกพนฺธุมโต พนฺธุมโต รโญฺญ พนฺธุมติยา นาม อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ อคฺคเหสิฯ โส ทสนฺนํ มาสานํ อจฺจเยน เขเม มิคทาเย มาตุทรโต อสิตนีรทราชิโต ปุณฺณจโนฺท วิย นิกฺขมิฯ นามคฺคหณทิวเส ปนสฺส ลกฺขณปาฐกา ญาตกา จ ทิวา จ รตฺติญฺจ อนฺตรนฺตรา นิมฺมิสสญฺชนิตนฺธการวิรเหน วิสุทฺธํ ปสฺสนฺติ, วิวเฎหิ วา อกฺขีหิ ปสฺสตีติ ‘‘วิปสฺสี’’ติ นามมกํสุฯ ‘‘วิเจยฺย วิเจยฺย ปสฺสตีติ วิปสฺสี’’ติ วทนฺติฯ โส อฎฺฐวสฺสสหสฺสานิ อคารํ อชฺฌาวสิฯ นนฺท-สุนนฺท-สิริมานามกา ตโย จสฺส ปาสาทา อเหสุํฯ

    Phussassa buddhassa aparabhāge sāntarakappe tasmiñca kappe vītivatte ito ekanavutikappe vijitasabbakappo parahitaniratasaṅkappo sabbattha vipassī vipassī nāma satthā loke udapādi. So pāramiyo pūretvā anekaratanamaṇivisarasamujjotitabhavane tusitabhavane nibbattitvā tato cavitvā bandhumatīnagare anekabandhumato bandhumato rañño bandhumatiyā nāma aggamahesiyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ aggahesi. So dasannaṃ māsānaṃ accayena kheme migadāye mātudarato asitanīradarājito puṇṇacando viya nikkhami. Nāmaggahaṇadivase panassa lakkhaṇapāṭhakā ñātakā ca divā ca rattiñca antarantarā nimmisasañjanitandhakāravirahena visuddhaṃ passanti, vivaṭehi vā akkhīhi passatīti ‘‘vipassī’’ti nāmamakaṃsu. ‘‘Viceyya viceyya passatīti vipassī’’ti vadanti. So aṭṭhavassasahassāni agāraṃ ajjhāvasi. Nanda-sunanda-sirimānāmakā tayo cassa pāsādā ahesuṃ.

    สุทสฺสนาเทวิปฺปมุขานํ อิตฺถีนํ สตสหสฺสํ วีสติ จ สหสฺสานิ อเหสุํฯ ‘‘สุตนู’’ติปิ สุทสฺสนา วุจฺจติฯ โส อฎฺฐวสฺสสหสฺสานํ อจฺจเยน จตฺตาริ นิมิตฺตานิ ทิสฺวา สุตนุเทวิยา สมวฎฺฎกฺขเนฺธ นาม ตนเย ชาเต อาชญฺญรเถน มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิฯ ตํ ปุริสานํ จตุราสีติสตสหสฺสานิ อนุปพฺพชิํสุฯ โส เตหิ ปริวุโต มหาปุริโส อฎฺฐมาสํ ปธานจริยํ จริตฺวา วิสาขปุณฺณมาย สุทสฺสนเสฎฺฐิธีตาย ทินฺนํ มธุปายาสํ ปริภุญฺชิตฺวา กุสุมสมลงฺกเต สาลวเน ทิวาวิหารํ กตฺวา สุชาเตน นาม ยวปาลเกน ทินฺนา อฎฺฐ ติณมุฎฺฐิโย คเหตฺวา ปาฎลิโพธิํ สมลงฺกตํ ทิสฺวา ทกฺขิณทิสาภาเคน ตํ อุปาคมิฯ

    Sudassanādevippamukhānaṃ itthīnaṃ satasahassaṃ vīsati ca sahassāni ahesuṃ. ‘‘Sutanū’’tipi sudassanā vuccati. So aṭṭhavassasahassānaṃ accayena cattāri nimittāni disvā sutanudeviyā samavaṭṭakkhandhe nāma tanaye jāte ājaññarathena mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā pabbaji. Taṃ purisānaṃ caturāsītisatasahassāni anupabbajiṃsu. So tehi parivuto mahāpuriso aṭṭhamāsaṃ padhānacariyaṃ caritvā visākhapuṇṇamāya sudassanaseṭṭhidhītāya dinnaṃ madhupāyāsaṃ paribhuñjitvā kusumasamalaṅkate sālavane divāvihāraṃ katvā sujātena nāma yavapālakena dinnā aṭṭha tiṇamuṭṭhiyo gahetvā pāṭalibodhiṃ samalaṅkataṃ disvā dakkhiṇadisābhāgena taṃ upāgami.

    ตสฺสา ปน ปาฎลิยา สมวฎฺฎกฺขโนฺธ ตํ ทิวสํ ปณฺณาสรตโน หุตฺวา อพฺภุคฺคโต สาขา ปณฺณาสรตนา อุเพฺพเธน รตนสตํ อโหสิฯ ตํทิวสเมว สา ปาฎลี กณฺณิกาพเทฺธหิ วิย ปุเปฺผหิ ปรมสุรภิคเนฺธหิ มูลโต ปฎฺฐาย สพฺพสญฺฉนฺนา อโหสิฯ ทิพฺพคโนฺธ วายติ, น เกวลํ ตทา อยเมว ปุปฺผิโต, ทสสหสฺสิ จกฺกวาเฬสุ สเพฺพ ปาฎลิโย ปุปฺผิตาวฯ น เกวลํ ปาฎลิโยว, ทสสหสฺสิจกฺกวาเฬสุ สพฺพรุกฺขคุมฺพลตาโยปิ ปุปฺผิํสุฯ มหาสมุโทฺทปิ ปญฺจวเณฺณหิ ปทุเมหิ กุวลยุปฺปลกุมุเทหิ สญฺฉโนฺน สีตลมธุรสลิโล อโหสิฯ สพฺพมฺปิ จ ทสสหสฺสิ จกฺกวาฬพฺภนฺตรํ ธชมาลากุลํ อโหสิฯ ตตฺถ ตตฺถ ปฎิมาลาคุลวิปฺปกิณฺณํ นานาสุรภิกุสุมสชฺชิตธรณีตลํ ธูปจุณฺณนฺธการํ อโหสิฯ ตํ อุปคนฺตฺวา เตปณฺณาสหตฺถวิตฺถตํ ติณสนฺถรํ สนฺถริตฺวา จตุรงฺคสมนฺนาคตํ วีริยํ อธิฎฺฐาย – ‘‘ยาว พุโทฺธ น โหมิ, ตาว อิโต น อุฎฺฐหามี’’ติ ปฎิญฺญํ กตฺวา นิสีทิฯ เอวํ นิสีทิตฺวา สมารํ มารพลํ วิธมิตฺวา มคฺคานุกฺกเมน จตฺตาริ มคฺคญาณานิ มคฺคานนฺตรํ จตฺตาริ ผลญาณานิ จตโสฺส ปฎิสมฺภิทา จตุโยนิปริเจฺฉทกญาณํ ปญฺจคติปริเจฺฉทกญาณํ จตุเวสารชฺชญาณานิ ฉ อสาธารณญาณานิ จ สกเล จ พุทฺธคุเณ หตฺถคเต กตฺวา ปริปุณฺณสงฺกโปฺป โพธิปลฺลเงฺก นิสิโนฺนว –

    Tassā pana pāṭaliyā samavaṭṭakkhandho taṃ divasaṃ paṇṇāsaratano hutvā abbhuggato sākhā paṇṇāsaratanā ubbedhena ratanasataṃ ahosi. Taṃdivasameva sā pāṭalī kaṇṇikābaddhehi viya pupphehi paramasurabhigandhehi mūlato paṭṭhāya sabbasañchannā ahosi. Dibbagandho vāyati, na kevalaṃ tadā ayameva pupphito, dasasahassi cakkavāḷesu sabbe pāṭaliyo pupphitāva. Na kevalaṃ pāṭaliyova, dasasahassicakkavāḷesu sabbarukkhagumbalatāyopi pupphiṃsu. Mahāsamuddopi pañcavaṇṇehi padumehi kuvalayuppalakumudehi sañchanno sītalamadhurasalilo ahosi. Sabbampi ca dasasahassi cakkavāḷabbhantaraṃ dhajamālākulaṃ ahosi. Tattha tattha paṭimālāgulavippakiṇṇaṃ nānāsurabhikusumasajjitadharaṇītalaṃ dhūpacuṇṇandhakāraṃ ahosi. Taṃ upagantvā tepaṇṇāsahatthavitthataṃ tiṇasantharaṃ santharitvā caturaṅgasamannāgataṃ vīriyaṃ adhiṭṭhāya – ‘‘yāva buddho na homi, tāva ito na uṭṭhahāmī’’ti paṭiññaṃ katvā nisīdi. Evaṃ nisīditvā samāraṃ mārabalaṃ vidhamitvā maggānukkamena cattāri maggañāṇāni maggānantaraṃ cattāri phalañāṇāni catasso paṭisambhidā catuyoniparicchedakañāṇaṃ pañcagatiparicchedakañāṇaṃ catuvesārajjañāṇāni cha asādhāraṇañāṇāni ca sakale ca buddhaguṇe hatthagate katvā paripuṇṇasaṅkappo bodhipallaṅke nisinnova –

    ‘‘อเนกชาติสํสารํ…เป.… ตณฺหานํ ขยมชฺฌคาฯ (ธ. ป. ๑๕๓-๑๕๔);

    ‘‘Anekajātisaṃsāraṃ…pe… taṇhānaṃ khayamajjhagā. (dha. pa. 153-154);

    ‘‘อโยฆนหตเสฺสว, ชลโต ชาตเวทโส;

    ‘‘Ayoghanahatasseva, jalato jātavedaso;

    อนุปุพฺพูปสนฺตสฺส, ยถา น ญายเต คติฯ

    Anupubbūpasantassa, yathā na ñāyate gati.

    ‘‘เอวํ สมฺมา วิมุตฺตานํ, กามพโนฺธฆตารินํ;

    ‘‘Evaṃ sammā vimuttānaṃ, kāmabandhoghatārinaṃ;

    ปญฺญาเปตุํ คตี นตฺถิ, ปตฺตานํ อจลํ สุข’’นฺติฯ (อุทา. ๘๐) –

    Paññāpetuṃ gatī natthi, pattānaṃ acalaṃ sukha’’nti. (udā. 80) –

    เอวํ อุทานํ อุทาเนตฺวา โพธิสมีเปเยว สตฺตสตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา พฺรหฺมายาจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อตฺตโน เวมาติกสฺส ภาติกสฺส ขณฺฑกุมารสฺส จ ปุโรหิตปุตฺตสฺส ติสฺสกุมารสฺส จ อุปนิสฺสยสมฺปตฺติํ โอโลเกตฺวา อากาเสน คนฺตฺวา เขเม มิคทาเย โอตริตฺวา อุโภปิ เต อุยฺยานปาเลน ปโกฺกสาเปตฺวา เตสํ ปริวารานํ มเชฺฌ ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตสิฯ ตทา อปริมิตานํ เทวตานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Evaṃ udānaṃ udānetvā bodhisamīpeyeva sattasattāhaṃ vītināmetvā brahmāyācanaṃ sampaṭicchitvā attano vemātikassa bhātikassa khaṇḍakumārassa ca purohitaputtassa tissakumārassa ca upanissayasampattiṃ oloketvā ākāsena gantvā kheme migadāye otaritvā ubhopi te uyyānapālena pakkosāpetvā tesaṃ parivārānaṃ majjhe dhammacakkaṃ pavattesi. Tadā aparimitānaṃ devatānaṃ dhammābhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    1.

    ‘‘ผุสฺสสฺส จ อปเรน, สมฺพุโทฺธ ทฺวิปทุตฺตโม;

    ‘‘Phussassa ca aparena, sambuddho dvipaduttamo;

    วิปสฺสี นาม นาเมน, โลเก อุปฺปชฺชิ จกฺขุมาฯ

    Vipassī nāma nāmena, loke uppajji cakkhumā.

    .

    2.

    ‘‘อวิชฺชํ สพฺพํ ปทาเลตฺวา, ปโตฺต สโมฺพธิมุตฺตมํ;

    ‘‘Avijjaṃ sabbaṃ padāletvā, patto sambodhimuttamaṃ;

    ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตุํ, ปกฺกามิ พนฺธุมตีปุรํฯ

    Dhammacakkaṃ pavattetuṃ, pakkāmi bandhumatīpuraṃ.

    .

    3.

    ‘‘ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตฺวา, อุโภ โพเธสิ นายโก;

    ‘‘Dhammacakkaṃ pavattetvā, ubho bodhesi nāyako;

    คณนาย น วตฺตโพฺพ, ปฐมาภิสมโย อหู’’ติฯ

    Gaṇanāya na vattabbo, paṭhamābhisamayo ahū’’ti.

    ตตฺถ ปทาเลตฺวาติ ภินฺทิตฺวา, อวิชฺชนฺธการํ ภินฺทิตฺวาติ อโตฺถฯ ‘‘วเตฺตตฺวา จกฺกมาราเม’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺส อาราเมติ เขเม มิคทาเยติ อโตฺถฯ อุโภ โพเธสีติ อตฺตโน กนิฎฺฐภาติกํ ขณฺฑํ ราชปุตฺตํ ติสฺสญฺจ ปุโรหิตปุตฺตนฺติ อุโภ โพเธสิฯ คณนาย น วตฺตโพฺพติ เทวตานํ อภิสมยวเสน คณนปริเจฺฉโท นตฺถีติ อโตฺถฯ

    Tattha padāletvāti bhinditvā, avijjandhakāraṃ bhinditvāti attho. ‘‘Vattetvā cakkamārāme’’tipi pāṭho, tassa ārāmeti kheme migadāyeti attho. Ubho bodhesīti attano kaniṭṭhabhātikaṃ khaṇḍaṃ rājaputtaṃ tissañca purohitaputtanti ubho bodhesi. Gaṇanāya na vattabboti devatānaṃ abhisamayavasena gaṇanaparicchedo natthīti attho.

    อถาปเรน สมเยน ขณฺฑํ ราชปุตฺตํ ติสฺสญฺจ ปุโรหิตปุตฺตํ อนุปพฺพชิตานิ จตุราสีติภิกฺขุสหสฺสานิ ธมฺมามตํ ปาเยสิฯ โส ทุติโย อภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Athāparena samayena khaṇḍaṃ rājaputtaṃ tissañca purohitaputtaṃ anupabbajitāni caturāsītibhikkhusahassāni dhammāmataṃ pāyesi. So dutiyo abhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    4.

    ‘‘ปุนาปรํ อมิตยโส, ตตฺถ สจฺจํ ปกาสยิ;

    ‘‘Punāparaṃ amitayaso, tattha saccaṃ pakāsayi;

    จตุราสีติสหสฺสานํ, ทุติยาภิสมโย อหู’’ติฯ

    Caturāsītisahassānaṃ, dutiyābhisamayo ahū’’ti.

    ตตฺถ ตตฺถาติ เขเม มิคทาเยติ อโตฺถฯ ‘‘จตุราสีติสหสฺสานิ, สมฺพุทฺธมนุปพฺพชุ’’นฺติ เอตฺถ เอเต ปน จตุราสีติสหสฺสสงฺขาตา ปุริสา วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส อุปฎฺฐากปุริสาเยวฯ เต ปาโตว วิปสฺสิกุมารสฺส อุปฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา กุมารมทิสฺวา ปาตราสตฺถาย คนฺตฺวา ภุตฺตปาตราสา ‘‘กุหิํ กุมาโร’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตโต ‘‘อุยฺยานภูมิํ คโต’’ติ สุตฺวา ‘‘ตเตฺถว นํ ทกฺขิสฺสามา’’ติ นิกฺขนฺตา นิวตฺตมานํ ตสฺส สารถิํ ทิสฺวา ‘‘กุมาโร ปพฺพชิโต’’ติ สุตฺวา สุตฎฺฐาเนเยว สพฺพาภรณานิ มุญฺจิตฺวา อนฺตราปณโต กาสายานิ วตฺถานิ อาหราเปตฺวา เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา ปพฺพชิํสุฯ ปพฺพชิตฺวา จ เต คนฺตฺวา มหาปุริสํ ปริวารยิํสุฯ

    Tattha tatthāti kheme migadāyeti attho. ‘‘Caturāsītisahassāni, sambuddhamanupabbaju’’nti ettha ete pana caturāsītisahassasaṅkhātā purisā vipassissa kumārassa upaṭṭhākapurisāyeva. Te pātova vipassikumārassa upaṭṭhānaṃ āgantvā kumāramadisvā pātarāsatthāya gantvā bhuttapātarāsā ‘‘kuhiṃ kumāro’’ti pucchitvā tato ‘‘uyyānabhūmiṃ gato’’ti sutvā ‘‘tattheva naṃ dakkhissāmā’’ti nikkhantā nivattamānaṃ tassa sārathiṃ disvā ‘‘kumāro pabbajito’’ti sutvā sutaṭṭhāneyeva sabbābharaṇāni muñcitvā antarāpaṇato kāsāyāni vatthāni āharāpetvā kesamassuṃ ohāretvā pabbajiṃsu. Pabbajitvā ca te gantvā mahāpurisaṃ parivārayiṃsu.

    ตโต วิปสฺสี โพธิสโตฺต ‘‘ปธานจริยํ จรโนฺต อากิโณฺณ วิหรามิ, น โข ปนเมตํ ปาติรูปํ ยเถว มํ อิเม คิหิภูตา ปุเพฺพ ปริวาเรตฺวา จรนฺติ, อิทานิปิ ตเถว กิํ อิมินา คเณนา’’ติ คณสงฺคณิกาย อุกฺกณฺฐิตฺวา ‘‘อเชฺชว คจฺฉามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปุน – ‘‘อชฺช อเวลา, สเจ ปนาหํ อชฺช คมิสฺสามิ, สเพฺพปิเม ชานิสฺสนฺติ, เสฺวว คมิสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ ตํทิวสญฺจ อุรุเวลคามสทิเส เอกสฺมิํ คาเม คามวาสิโน มนุสฺสา สฺวาตนาย สทฺธิํ ปริสาย มหาปุริสํ นิมนฺตยิํสุฯ เต เตสํ จตุราสีติสหสฺสานํ มหาปุริสสฺส จ ปายาสเมว ปฎิยาทยิํสุฯ อถ วิปสฺสี มหาปุริโส ปุนทิวเส วิสาขปุณฺณมาย ตสฺมิํ คาเม เตหิ ปพฺพชิตชเนหิ สทฺธิํ ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา วสนฎฺฐานเมว อคมาสิฯ ตตฺร เต ปพฺพชิตา มหาปุริสสฺส วตฺตํ ทเสฺสตฺวา อตฺตโน อตฺตโน รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานานิ ปวิสิํสุฯ

    Tato vipassī bodhisatto ‘‘padhānacariyaṃ caranto ākiṇṇo viharāmi, na kho panametaṃ pātirūpaṃ yatheva maṃ ime gihibhūtā pubbe parivāretvā caranti, idānipi tatheva kiṃ iminā gaṇenā’’ti gaṇasaṅgaṇikāya ukkaṇṭhitvā ‘‘ajjeva gacchāmī’’ti cintetvā puna – ‘‘ajja avelā, sace panāhaṃ ajja gamissāmi, sabbepime jānissanti, sveva gamissāmī’’ti cintesi. Taṃdivasañca uruvelagāmasadise ekasmiṃ gāme gāmavāsino manussā svātanāya saddhiṃ parisāya mahāpurisaṃ nimantayiṃsu. Te tesaṃ caturāsītisahassānaṃ mahāpurisassa ca pāyāsameva paṭiyādayiṃsu. Atha vipassī mahāpuriso punadivase visākhapuṇṇamāya tasmiṃ gāme tehi pabbajitajanehi saddhiṃ bhattakiccaṃ katvā vasanaṭṭhānameva agamāsi. Tatra te pabbajitā mahāpurisassa vattaṃ dassetvā attano attano rattiṭṭhānadivāṭṭhānāni pavisiṃsu.

    โพธิสโตฺตปิ ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา นิสิโนฺน จิเนฺตสิ – ‘‘อยํ กาโล นิกฺขมิตุ’’นฺติ นิกฺขมิตฺวา ปณฺณสาลทฺวารํ ปิทหิตฺวา โพธิมณฺฑาภิมุโข ปายาสิฯ เต กิร ปพฺพชิตา สายํ โพธิสตฺตสฺส อุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปณฺณสาลํ ปริวาเรตฺวา นิสินฺนา – ‘‘อติวิกาโล ชาโต อุปธาเรถา’’ติ วตฺวา ปณฺณสาลทฺวารํ วิวริตฺวา ตํ อปสฺสนฺตาปิ ‘‘กุหิํ นุ คโต มหาปุริโส’’ติ นานุพนฺธิํสุฯ ‘‘คณวาเส นิพฺพิโนฺน เอโก วิหริตุกาโม มเญฺญ มหาปุริโส พุทฺธภูตํเยว ตํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ อโนฺตชมฺพุทีปาภิมุขา จาริกํ ปกฺกมิํสุฯ อถ เต – ‘‘วิปสฺสินา กิร พุทฺธตฺตํ ปตฺวา ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติต’’นฺติ สุตฺวา อนุกฺกเมน สเพฺพ เต ปพฺพชิตา พนฺธุมติยา ราชธานิยา เขเม มิคทาเย สนฺนิปติํสุฯ ตโต เตสํ ภควา ธมฺมํ เทเสสิ, ตทา จตุราสีติยา ภิกฺขุสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ โส ตติโย อภิสมโย อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Bodhisattopi paṇṇasālaṃ pavisitvā nisinno cintesi – ‘‘ayaṃ kālo nikkhamitu’’nti nikkhamitvā paṇṇasāladvāraṃ pidahitvā bodhimaṇḍābhimukho pāyāsi. Te kira pabbajitā sāyaṃ bodhisattassa upaṭṭhānaṃ gantvā paṇṇasālaṃ parivāretvā nisinnā – ‘‘ativikālo jāto upadhārethā’’ti vatvā paṇṇasāladvāraṃ vivaritvā taṃ apassantāpi ‘‘kuhiṃ nu gato mahāpuriso’’ti nānubandhiṃsu. ‘‘Gaṇavāse nibbinno eko viharitukāmo maññe mahāpuriso buddhabhūtaṃyeva taṃ passissāmā’’ti antojambudīpābhimukhā cārikaṃ pakkamiṃsu. Atha te – ‘‘vipassinā kira buddhattaṃ patvā dhammacakkaṃ pavattita’’nti sutvā anukkamena sabbe te pabbajitā bandhumatiyā rājadhāniyā kheme migadāye sannipatiṃsu. Tato tesaṃ bhagavā dhammaṃ desesi, tadā caturāsītiyā bhikkhusahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi. So tatiyo abhisamayo ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    5.

    ‘‘จตุราสีติสหสฺสานิ, สมฺพุทฺธํ อนุปพฺพชุํ;

    ‘‘Caturāsītisahassāni, sambuddhaṃ anupabbajuṃ;

    เตสมารามปตฺตานํ, ธมฺมํ เทเสสิ จกฺขุมาฯ

    Tesamārāmapattānaṃ, dhammaṃ desesi cakkhumā.

    .

    6.

    ‘‘สพฺพากาเรน ภาสโต, สุตฺวา อุปนิสาทิโน;

    ‘‘Sabbākārena bhāsato, sutvā upanisādino;

    เตปิ ธมฺมวรํ คนฺตฺวา, ตติยาภิสมโย อหู’’ติฯ

    Tepi dhammavaraṃ gantvā, tatiyābhisamayo ahū’’ti.

    ตตฺถ จตุราสีติสหสฺสานิ, สมฺพุทฺธํ อนุปพฺพชุนฺติ เอตฺถ อนุนา โยคโต สมฺพุทฺธนฺติ อุปโยควจนํ กตนฺติ เวทิตพฺพํ, สมฺพุทฺธสฺส ปจฺฉา ปพฺพชิํสูติ อโตฺถฯ ลกฺขณํ สทฺทสตฺถโต คเหตพฺพํฯ ‘‘ตตฺถ อารามปตฺตาน’’นฺติปิ ปาโฐฯ ภาสโตติ วทโตฯ อุปนิสาทิโนติ คนฺตฺวา อุปนิสฺสาย ธมฺมทานํ ททโตติ อโตฺถฯ เตปีติ เต จตุราสีติสหสฺสสงฺขาตา ปพฺพชิตา วิปสฺสิสฺส อุปฎฺฐากภูตาฯ คนฺตฺวาติ ตสฺส ธมฺมํ ญตฺวาฯ เอวํ เตสํ ตติโย อภิสมโย อโหสิฯ เขเม มิคทาเย วิปสฺสีสมฺมาสมฺพุทฺธํ เทฺว จ อคฺคสาวเก อนุปพฺพชิตานํ ภิกฺขูนํ อฎฺฐสฎฺฐิสตสหสฺสานํ มเชฺฌ นิสิโนฺน วิปสฺสี ภควา –

    Tattha caturāsītisahassāni, sambuddhaṃ anupabbajunti ettha anunā yogato sambuddhanti upayogavacanaṃ katanti veditabbaṃ, sambuddhassa pacchā pabbajiṃsūti attho. Lakkhaṇaṃ saddasatthato gahetabbaṃ. ‘‘Tattha ārāmapattāna’’ntipi pāṭho. Bhāsatoti vadato. Upanisādinoti gantvā upanissāya dhammadānaṃ dadatoti attho. Tepīti te caturāsītisahassasaṅkhātā pabbajitā vipassissa upaṭṭhākabhūtā. Gantvāti tassa dhammaṃ ñatvā. Evaṃ tesaṃ tatiyo abhisamayo ahosi. Kheme migadāye vipassīsammāsambuddhaṃ dve ca aggasāvake anupabbajitānaṃ bhikkhūnaṃ aṭṭhasaṭṭhisatasahassānaṃ majjhe nisinno vipassī bhagavā –

    ‘‘ขนฺตีปรมํ ตโป ติติกฺขา, นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา;

    ‘‘Khantīparamaṃ tapo titikkhā, nibbānaṃ paramaṃ vadanti buddhā;

    น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี, น สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยโนฺตฯ

    Na hi pabbajito parūpaghātī, na samaṇo hoti paraṃ viheṭhayanto.

    ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณํ, กุสลสฺส อุปสมฺปทา;

    ‘‘Sabbapāpassa akaraṇaṃ, kusalassa upasampadā;

    สจิตฺตปริโยทปนํ, เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

    Sacittapariyodapanaṃ, etaṃ buddhāna sāsanaṃ.

    ‘‘อนูปวาโท อนูปฆาโต, ปาติโมเกฺข จ สํวโร;

    ‘‘Anūpavādo anūpaghāto, pātimokkhe ca saṃvaro;

    มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมิํ, ปนฺตญฺจ สยนาสนํ;

    Mattaññutā ca bhattasmiṃ, pantañca sayanāsanaṃ;

    อธิจิเตฺต จ อาโยโค, เอตํ พุทฺธาน สาสน’’นฺติฯ (ที. นิ. ๒.๙๐; ธ. ป. ๑๘๓, ๑๘๔, ๑๘๕) –

    Adhicitte ca āyogo, etaṃ buddhāna sāsana’’nti. (dī. ni. 2.90; dha. pa. 183, 184, 185) –

    อิมํ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิฯ อิมา ปน สพฺพพุทฺธานํ ปาติโมกฺขุเทฺทสคาถาโย โหนฺตีติ เวทิตพฺพํฯ โส ปฐโม สนฺนิปาโต อโหสิฯ ปุน ยมกปาฎิหาริยํ ทิสฺวา ปพฺพชิตานํ ภิกฺขูนํ สตสหสฺสานํ ทุติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ ยทา ปน วิปสฺสิสฺส เวมาติกา ตโย ภาตโร ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา ภควโต อุปฎฺฐานกิริยาย ลทฺธวรา หุตฺวา อตฺตโน นครํ เนตฺวา อุปฎฺฐหนฺตา ตสฺส ธมฺมํ สุตฺวา ปพฺพชิํสุฯ เตสํ อสีติสตสหสฺสานํ มเชฺฌ นิสีทิตฺวา ภควา เขเม มิคทาเย ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิ, โส ตติโย สนฺนิปาโต อโหสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Imaṃ pātimokkhaṃ uddisi. Imā pana sabbabuddhānaṃ pātimokkhuddesagāthāyo hontīti veditabbaṃ. So paṭhamo sannipāto ahosi. Puna yamakapāṭihāriyaṃ disvā pabbajitānaṃ bhikkhūnaṃ satasahassānaṃ dutiyo sannipāto ahosi. Yadā pana vipassissa vemātikā tayo bhātaro paccantaṃ vūpasametvā bhagavato upaṭṭhānakiriyāya laddhavarā hutvā attano nagaraṃ netvā upaṭṭhahantā tassa dhammaṃ sutvā pabbajiṃsu. Tesaṃ asītisatasahassānaṃ majjhe nisīditvā bhagavā kheme migadāye pātimokkhaṃ uddisi, so tatiyo sannipāto ahosi. Tena vuttaṃ –

    .

    7.

    ‘‘สนฺนิปาตา ตโย อาสุํ, วิปสฺสิสฺส มเหสิโน;

    ‘‘Sannipātā tayo āsuṃ, vipassissa mahesino;

    ขีณาสวานํ วิมลานํ, สนฺตจิตฺตาน ตาทินํฯ

    Khīṇāsavānaṃ vimalānaṃ, santacittāna tādinaṃ.

    .

    8.

    ‘‘อฎฺฐสฎฺฐิสตสหสฺสานํ, ปฐโม อาสิ สมาคโม;

    ‘‘Aṭṭhasaṭṭhisatasahassānaṃ, paṭhamo āsi samāgamo;

    ภิกฺขุสตสหสฺสานํ, ทุติโย อาสิ สมาคโมฯ

    Bhikkhusatasahassānaṃ, dutiyo āsi samāgamo.

    .

    9.

    ‘‘อสีติภิกฺขุสหสฺสานํ, ตติโย อาสิ สมาคโม;

    ‘‘Asītibhikkhusahassānaṃ, tatiyo āsi samāgamo;

    ตตฺถ ภิกฺขุคณมเชฺฌ, สมฺพุโทฺธ อติโรจตี’’ติฯ

    Tattha bhikkhugaṇamajjhe, sambuddho atirocatī’’ti.

    ตตฺถ อฎฺฐสฎฺฐิสตสหสฺสานนฺติ อฎฺฐสฎฺฐิสหสฺสาธิกานํ สตสหสฺสภิกฺขูนนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถาติ ตตฺถ เขเม มิคทาเยฯ ภิกฺขุคณมเชฺฌติ ภิกฺขุคณสฺส มเชฺฌฯ ‘‘ตสฺส ภิกฺขุคณมเชฺฌ’’ติปิ ปาโฐ, ตสฺส ภิกฺขุคณสฺส มเชฺฌติ อโตฺถฯ

    Tattha aṭṭhasaṭṭhisatasahassānanti aṭṭhasaṭṭhisahassādhikānaṃ satasahassabhikkhūnanti attho. Tatthāti tattha kheme migadāye. Bhikkhugaṇamajjheti bhikkhugaṇassa majjhe. ‘‘Tassa bhikkhugaṇamajjhe’’tipi pāṭho, tassa bhikkhugaṇassa majjheti attho.

    ตทา อมฺหากํ โพธิสโตฺต มหิทฺธิโก มหานุภาโว อตุโล นาม นาคราชา หุตฺวา อเนกนาคโกฎิสตสหสฺสปริวาโร หุตฺวา สปริวารสฺส ทสพลสฺส อสมพลสีลสฺส กรุณาสีตลหทยสฺส สกฺการกรณตฺถํ สตฺตรตนมยํ จนฺทมณฺฑลสงฺกาสํ ทฎฺฐพฺพสารมณฺฑํ มณฺฑปํ กาเรตฺวา ตตฺถ นิสีทาเปตฺวา สตฺตาหํ ทิพฺพวิภวานุรูปํ มหาทานํ ทตฺวา สตฺตรตนขจิตํ มหารหํ สุวณฺณมยํ นานามณิชุติวิสรสมุชฺชลํ ปีฐํ ภควโต อทาสิฯ ตทา นํ ปีฐานุโมทนาวสาเน ‘‘อิโต อยํ เอกนวุติกเปฺป พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ พฺยากาสิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tadā amhākaṃ bodhisatto mahiddhiko mahānubhāvo atulo nāma nāgarājā hutvā anekanāgakoṭisatasahassaparivāro hutvā saparivārassa dasabalassa asamabalasīlassa karuṇāsītalahadayassa sakkārakaraṇatthaṃ sattaratanamayaṃ candamaṇḍalasaṅkāsaṃ daṭṭhabbasāramaṇḍaṃ maṇḍapaṃ kāretvā tattha nisīdāpetvā sattāhaṃ dibbavibhavānurūpaṃ mahādānaṃ datvā sattaratanakhacitaṃ mahārahaṃ suvaṇṇamayaṃ nānāmaṇijutivisarasamujjalaṃ pīṭhaṃ bhagavato adāsi. Tadā naṃ pīṭhānumodanāvasāne ‘‘ito ayaṃ ekanavutikappe buddho bhavissatī’’ti byākāsi. Tena vuttaṃ –

    ๑๐.

    10.

    ‘‘อหํ เตน สมเยน, นาคราชา มหิทฺธิโก;

    ‘‘Ahaṃ tena samayena, nāgarājā mahiddhiko;

    อตุโล นาม นาเมน, ปุญฺญวโนฺต ชุตินฺธโรฯ

    Atulo nāma nāmena, puññavanto jutindharo.

    ๑๑.

    11.

    ‘‘เนกานํ นาคโกฎีนํ, ปริวาเรตฺวานหํ ตทา;

    ‘‘Nekānaṃ nāgakoṭīnaṃ, parivāretvānahaṃ tadā;

    วชฺชโนฺต ทิพฺพตุริเยหิ, โลกเชฎฺฐํ อุปาคมิํฯ

    Vajjanto dibbaturiyehi, lokajeṭṭhaṃ upāgamiṃ.

    ๑๒.

    12.

    ‘‘อุปสงฺกมิตฺวา สมฺพุทฺธํ, วิปสฺสิํ โลกนายกํ;

    ‘‘Upasaṅkamitvā sambuddhaṃ, vipassiṃ lokanāyakaṃ;

    มณิมุตฺตรตนขจิตํ, สพฺพาภรณภูสิตํ;

    Maṇimuttaratanakhacitaṃ, sabbābharaṇabhūsitaṃ;

    นิมเนฺตตฺวา ธมฺมราชสฺส, สุวณฺณปีฐมทาสหํฯ

    Nimantetvā dhammarājassa, suvaṇṇapīṭhamadāsahaṃ.

    ๑๓.

    13.

    ‘‘โสปิ มํ พุโทฺธ พฺยากาสิ, สงฺฆมเชฺฌ นิสีทิย;

    ‘‘Sopi maṃ buddho byākāsi, saṅghamajjhe nisīdiya;

    เอกนวุติโต กเปฺป, อยํ พุโทฺธ ภวิสฺสติฯ

    Ekanavutito kappe, ayaṃ buddho bhavissati.

    ๑๔.

    14.

    ‘‘อหุ กปิลวฺหยา รมฺมา, นิกฺขมิตฺวา ตถาคโต;

    ‘‘Ahu kapilavhayā rammā, nikkhamitvā tathāgato;

    ปธานํ ปทหิตฺวาน, กตฺวา ทุกฺกรการิกํฯ

    Padhānaṃ padahitvāna, katvā dukkarakārikaṃ.

    ๑๕.

    15.

    ‘‘อชปาลรุกฺขมูลสฺมิํ, นิสีทิตฺวา ตถาคโต;

    ‘‘Ajapālarukkhamūlasmiṃ, nisīditvā tathāgato;

    ตตฺถ ปายาสํ ปคฺคยฺห, เนรญฺชรมุเปหิติฯ

    Tattha pāyāsaṃ paggayha, nerañjaramupehiti.

    ๑๖.

    16.

    ‘‘เนรญฺชราย ตีรมฺหิ, ปายาสํ อท โส ชิโน;

    ‘‘Nerañjarāya tīramhi, pāyāsaṃ ada so jino;

    ปฎิยตฺตวรมเคฺคน, โพธิมูลมุเปหิติฯ

    Paṭiyattavaramaggena, bodhimūlamupehiti.

    ๑๗.

    17.

    ‘‘ตโต ปทกฺขิณํ กตฺวา, โพธิมณฺฑํ อนุตฺตโร;

    ‘‘Tato padakkhiṇaṃ katvā, bodhimaṇḍaṃ anuttaro;

    อสฺสตฺถมูเล สโมฺพธิํ, พุชฺฌิสฺสติ มหายโสฯ

    Assatthamūle sambodhiṃ, bujjhissati mahāyaso.

    ๑๘.

    18.

    ‘‘อิมสฺส ชนิกา มาตา, มายา นาม ภวิสฺสติ;

    ‘‘Imassa janikā mātā, māyā nāma bhavissati;

    ปิตา สุโทฺธทโน นาม, อยํ เหสฺสติ โคตโมฯ

    Pitā suddhodano nāma, ayaṃ hessati gotamo.

    ๑๙.

    19.

    ‘‘อนาสวา วีตราคา, สนฺตจิตฺตา สมาหิตา;

    ‘‘Anāsavā vītarāgā, santacittā samāhitā;

    โกลิโต อุปติโสฺส จ, อคฺคา เหสฺสนฺติ สาวกา;

    Kolito upatisso ca, aggā hessanti sāvakā;

    อานโนฺท นามุปฎฺฐาโก, อุปฎฺฐิสฺสติมํ ชินํฯ

    Ānando nāmupaṭṭhāko, upaṭṭhissatimaṃ jinaṃ.

    ๒๐.

    20.

    ‘‘เขมา อุปฺปลวณฺณา จ, อคฺคา เหสฺสนฺติ สาวิกา;

    ‘‘Khemā uppalavaṇṇā ca, aggā hessanti sāvikā;

    อนาสวา วีตราคา, สนฺตจิตฺตา สมาหิตา;

    Anāsavā vītarāgā, santacittā samāhitā;

    โพธิ ตสฺส ภควโต, อสฺสโตฺถติ ปวุจฺจติ…เป.…ฯ

    Bodhi tassa bhagavato, assatthoti pavuccati…pe….

    ๒๓.

    23.

    ‘‘ตสฺสาหํ วจนํ สุตฺวา, ภิโยฺย จิตฺตํ ปสาทยิํ;

    ‘‘Tassāhaṃ vacanaṃ sutvā, bhiyyo cittaṃ pasādayiṃ;

    อุตฺตริํ วตมธิฎฺฐาสิํ, ทสปารมิปูริยา’’ติฯ

    Uttariṃ vatamadhiṭṭhāsiṃ, dasapāramipūriyā’’ti.

    ตตฺถ ปุญฺญวโนฺตติ ปุญฺญวา, สมุปจิตปุญฺญสญฺจโยติ อโตฺถฯ ชุตินฺธโรติ ปภายุโตฺตฯ เนกานํ นาคโกฎีนนฺติ อเนกาหิ นาคโกฎีหิ, กรณเตฺถ สามิวจนํ ทฎฺฐพฺพํฯ ปริวาเรตฺวานาติ ภควนฺตํ ปริวาเรตฺวาฯ อหนฺติ อตฺตานํ นิทฺทิสติฯ วชฺชโนฺตติ วาเทโนฺต ตาเฬโนฺตฯ มณิมุตฺตรตนขจิตนฺติ มณิมุตฺตาทีหิ วิวิเธหิ รตเนหิ ขจิตนฺติ อโตฺถฯ สพฺพาภรณภูสิตนฺติ สพฺพาภรเณหิ วาฬรูปาทีหิ รตนมเยหิ มณฺฑิตนฺติ อโตฺถฯ สุวณฺณปีฐนฺติ สุวณฺณมยํ ปีฐํฯ อทาสหนฺติ อทาสิํ อหํฯ

    Tattha puññavantoti puññavā, samupacitapuññasañcayoti attho. Jutindharoti pabhāyutto. Nekānaṃ nāgakoṭīnanti anekāhi nāgakoṭīhi, karaṇatthe sāmivacanaṃ daṭṭhabbaṃ. Parivāretvānāti bhagavantaṃ parivāretvā. Ahanti attānaṃ niddisati. Vajjantoti vādento tāḷento. Maṇimuttaratanakhacitanti maṇimuttādīhi vividhehi ratanehi khacitanti attho. Sabbābharaṇabhūsitanti sabbābharaṇehi vāḷarūpādīhi ratanamayehi maṇḍitanti attho. Suvaṇṇapīṭhanti suvaṇṇamayaṃ pīṭhaṃ. Adāsahanti adāsiṃ ahaṃ.

    ตสฺส ปน วิปสฺสิสฺส ภควโต พนฺธุมตี นาม นครํ อโหสิฯ พนฺธุมา นาม ราชา ปิตา, พนฺธุมตี นาม มาตา, ขโณฺฑ จ ติโสฺส จ เทฺว อคฺคสาวกา, อโสโก นามุปฎฺฐาโก, จนฺทา จ จนฺทมิตฺตา จ เทฺว อคฺคสาวิกา, ปาฎลิรุโกฺข โพธิ, สรีรํ อสีติหตฺถุเพฺพธํ อโหสิ, สรีรปฺปภา สพฺพกาลํ สตฺต โยชนานิ ผริตฺวา อฎฺฐาสิ อสีติวสฺสสหสฺสานิ อายุ, สุตนุ นามสฺส อคฺคมเหสี, สมวฎฺฎกฺขโนฺธ นามสฺส ปุโตฺต, อาชญฺญรเถน นิกฺขมิฯ เตน วุตฺตํ –

    Tassa pana vipassissa bhagavato bandhumatī nāma nagaraṃ ahosi. Bandhumā nāma rājā pitā, bandhumatī nāma mātā, khaṇḍo ca tisso ca dve aggasāvakā, asoko nāmupaṭṭhāko, candā ca candamittā ca dve aggasāvikā, pāṭalirukkho bodhi, sarīraṃ asītihatthubbedhaṃ ahosi, sarīrappabhā sabbakālaṃ satta yojanāni pharitvā aṭṭhāsi asītivassasahassāni āyu, sutanu nāmassa aggamahesī, samavaṭṭakkhandho nāmassa putto, ājaññarathena nikkhami. Tena vuttaṃ –

    ๒๔.

    24.

    ‘‘นครํ พนฺธุมตี นาม, พนฺธุมา นาม ขตฺติโย;

    ‘‘Nagaraṃ bandhumatī nāma, bandhumā nāma khattiyo;

    มาตา พนฺธุมตี นาม, วิปสฺสิสฺส มเหสิโนฯ

    Mātā bandhumatī nāma, vipassissa mahesino.

    ๒๙.

    29.

    ‘‘ขโณฺฑ จ ติสฺสนาโม จ, อเหสุํ อคฺคสาวกา;

    ‘‘Khaṇḍo ca tissanāmo ca, ahesuṃ aggasāvakā;

    อโสโก นามุปฎฺฐาโก, วิปสฺสิสฺส มเหสิโนฯ

    Asoko nāmupaṭṭhāko, vipassissa mahesino.

    ๓๐.

    30.

    ‘‘จนฺทา จ จนฺทมิตฺตา จ, อเหสุํ อคฺคสาวิกา;

    ‘‘Candā ca candamittā ca, ahesuṃ aggasāvikā;

    โพธิ ตสฺส ภควโต, ปาฎลีติ ปวุจฺจติฯ

    Bodhi tassa bhagavato, pāṭalīti pavuccati.

    ๓๒.

    32.

    ‘‘อสีติหตฺถมุเพฺพโธ, วิปสฺสี โลกนายโก;

    ‘‘Asītihatthamubbedho, vipassī lokanāyako;

    ปภา นิทฺธาวตี ตสฺส, สมนฺตา สตฺตโยชเนฯ

    Pabhā niddhāvatī tassa, samantā sattayojane.

    ๓๓.

    33.

    ‘‘อสีติวสฺสสหสฺสานิ, อายุ พุทฺธสฺส ตาวเท;

    ‘‘Asītivassasahassāni, āyu buddhassa tāvade;

    ตาวตา ติฎฺฐมาโน โส, ตาเรสิ ชนตํ พหุํฯ

    Tāvatā tiṭṭhamāno so, tāresi janataṃ bahuṃ.

    ๓๔.

    34.

    ‘‘พหุเทวมนุสฺสานํ, พนฺธนา ปริโมจยิ;

    ‘‘Bahudevamanussānaṃ, bandhanā parimocayi;

    มคฺคามคฺคญฺจ อาจิกฺขิ, อวเสสปุถุชฺชเนฯ

    Maggāmaggañca ācikkhi, avasesaputhujjane.

    ๓๕.

    35.

    ‘‘อาโลกํ ทสฺสยิตฺวาน, เทเสตฺวา อมตํ ปทํ;

    ‘‘Ālokaṃ dassayitvāna, desetvā amataṃ padaṃ;

    ชลิตฺวา อคฺคิกฺขโนฺธว, นิพฺพุโต โส สสาวโกฯ

    Jalitvā aggikkhandhova, nibbuto so sasāvako.

    ๓๖.

    36.

    ‘‘อิทฺธิวรํ ปุญฺญวรํ, ลกฺขณญฺจ กุสุมิตํ;

    ‘‘Iddhivaraṃ puññavaraṃ, lakkhaṇañca kusumitaṃ;

    สพฺพํ ตมนฺตรหิตํ, นนุ ริตฺตา สพฺพสงฺขารา’’ติฯ

    Sabbaṃ tamantarahitaṃ, nanu rittā sabbasaṅkhārā’’ti.

    ตตฺถ พนฺธนาติ เทวมนุเสฺส กามราคสํโยชนาทิพนฺธนา โมเจสิ, วิกาเสสีติ อโตฺถฯ มคฺคามคฺคญฺจ อาจิกฺขีติ ‘‘อมตาธิคมาย อยํ มโคฺค อุเจฺฉทสสฺสตทิฎฺฐิวิรหิตา มชฺฌิมา ปฎิปทา มโคฺค กายกิลมถาทิโก นายํ มโคฺค’’ติ เสสปุถุชฺชเน อาจิกฺขีติ อโตฺถฯ อาโลกํ ทสฺสยิตฺวานาติ มคฺคญาณาโลกํ วิปสฺสนาญาณาโลกญฺจ ทสฺสยิตฺวาฯ ลกฺขณญฺจ กุสุมิตนฺติ จิตฺตลกฺขณาทีหิ ผุลฺลิตํ มณฺฑิตํ ภควโต สรีรนฺติ อโตฺถฯ เสสํ สพฺพตฺถ คาถาสุ อุตฺตานเมวาติฯ

    Tattha bandhanāti devamanusse kāmarāgasaṃyojanādibandhanā mocesi, vikāsesīti attho. Maggāmaggañca ācikkhīti ‘‘amatādhigamāya ayaṃ maggo ucchedasassatadiṭṭhivirahitā majjhimā paṭipadā maggo kāyakilamathādiko nāyaṃ maggo’’ti sesaputhujjane ācikkhīti attho. Ālokaṃ dassayitvānāti maggañāṇālokaṃ vipassanāñāṇālokañca dassayitvā. Lakkhaṇañca kusumitanti cittalakkhaṇādīhi phullitaṃ maṇḍitaṃ bhagavato sarīranti attho. Sesaṃ sabbattha gāthāsu uttānamevāti.

    วิปสฺสีพุทฺธวํสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vipassībuddhavaṃsavaṇṇanā niṭṭhitā.

    นิฎฺฐิโต เอกูนวีสติโม พุทฺธวํโสฯ

    Niṭṭhito ekūnavīsatimo buddhavaṃso.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / พุทฺธวํสปาฬิ • Buddhavaṃsapāḷi / ๒๑. วิปสฺสีพุทฺธวํโส • 21. Vipassībuddhavaṃso


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact