Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๔. วิปสฺสีสุตฺตวณฺณนา
4. Vipassīsuttavaṇṇanā
๔. จตุเตฺถ วิปสฺสิสฺสาติ ตสฺส กิร โพธิสตฺตสฺส ยถา โลกิยมนุสฺสานํ กิญฺจิเทว ปสฺสนฺตานํ ปริตฺตกมฺมาภินิพฺพตฺตสฺส กมฺมชปสาทสฺส ทุพฺพลตฺตา อกฺขีนิ วิปฺผนฺทนฺติ , น เอวํ วิปฺผนฺทิํสุฯ พลวกมฺมนิพฺพตฺตสฺส ปน กมฺมชปสาทสฺส พลวตฺตา อวิปฺผนฺทเนฺตหิ อนิมิเสหิ เอว อกฺขีหิ ปสฺสิ เสยฺยถาปิ เทวา ตาวติํสาฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อนิมิสโนฺต กุมาโร เปกฺขตีติ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ‘วิปสฺสี วิปสฺสี’เตฺวว สมญฺญา อุทปาที’’ติ (ที. นิ. ๒.๔๐)ฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – อนฺตรนฺตรา นิมิสชนิตนฺธการวิรเหน วิสุทฺธํ ปสฺสติ, วิวเฎหิ วา อกฺขีหิ ปสฺสตีติ วิปสฺสีฯ เอตฺถ จ กิญฺจาปิ ปจฺฉิมภวิกานํ สพฺพโพธิสตฺตานํ พลวกมฺมนิพฺพตฺตสฺส กมฺมชปสาทสฺส พลวตฺตา อกฺขีนิ น วิปฺผนฺทนฺติ, โส ปน โพธิสโตฺต เอเตเนว นามํ ลภิฯ
4. Catutthe vipassissāti tassa kira bodhisattassa yathā lokiyamanussānaṃ kiñcideva passantānaṃ parittakammābhinibbattassa kammajapasādassa dubbalattā akkhīni vipphandanti , na evaṃ vipphandiṃsu. Balavakammanibbattassa pana kammajapasādassa balavattā avipphandantehi animisehi eva akkhīhi passi seyyathāpi devā tāvatiṃsā. Tena vuttaṃ – ‘‘animisanto kumāro pekkhatīti kho, bhikkhave, vipassissa kumārassa ‘vipassī vipassī’tveva samaññā udapādī’’ti (dī. ni. 2.40). Ayañhettha adhippāyo – antarantarā nimisajanitandhakāravirahena visuddhaṃ passati, vivaṭehi vā akkhīhi passatīti vipassī. Ettha ca kiñcāpi pacchimabhavikānaṃ sabbabodhisattānaṃ balavakammanibbattassa kammajapasādassa balavattā akkhīni na vipphandanti, so pana bodhisatto eteneva nāmaṃ labhi.
อปิจ วิเจยฺย วิเจยฺย ปสฺสตีติ วิปสฺสี, วิจินิตฺวา วิจินิตฺวา ปสฺสตีติ อโตฺถฯ เอกทิวสํ กิร วินิจฺฉยฎฺฐาเน นิสีทิตฺวา อเตฺถ อนุสาสนฺตสฺส รโญฺญ อลงฺกตปฎิยตฺตํ มหาปุริสํ อาหริตฺวา อเงฺก ฐปยิํสุฯ ตสฺส ตํ อเงฺก กตฺวา ปลาฬยมานเสฺสว อมจฺจา สามิกํ อสฺสามิกํ อกํสุฯ โพธิสโตฺต อนตฺตมนสทฺทํ นิจฺฉาเรสิฯ ราชา ‘‘กิเมตํ อุปธาเรถา’’ติ อาหฯ อุปธารยมานา อญฺญํ อทิสฺวา ‘‘อฎฺฎสฺส ทุพฺพินิจฺฉิตตฺตา เอวํ กตํ ภวิสฺสตี’’ติ ปุน สามิกเมว สามิกํ กตฺวา ‘‘ญตฺวา นุ โข กุมาโร เอวํ กโรตี’’ติ? วีมํสนฺตา ปุน สามิกํ อสฺสามิกมกํสุฯ ปุน โพธิสโตฺต ตเถว สทฺทํ นิจฺฉาเรสิฯ อถ ราชา ‘‘ชานาติ มหาปุริโส’’ติ ตโต ปฎฺฐาย อปฺปมโตฺต อโหสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘วิเจยฺย วิเจยฺย กุมาโร อเตฺถ ปนายติ ญาเยนาติ โข, ภิกฺขเว, วิปสฺสิสฺส กุมารสฺส ภิโยฺยโสมตฺตาย ‘วิปสฺสี วิปสฺสี’เตฺวว สมญฺญา อุทปาที’’ติ (ที. นิ. ๒.๔๑)ฯ
Apica viceyya viceyya passatīti vipassī, vicinitvā vicinitvā passatīti attho. Ekadivasaṃ kira vinicchayaṭṭhāne nisīditvā atthe anusāsantassa rañño alaṅkatapaṭiyattaṃ mahāpurisaṃ āharitvā aṅke ṭhapayiṃsu. Tassa taṃ aṅke katvā palāḷayamānasseva amaccā sāmikaṃ assāmikaṃ akaṃsu. Bodhisatto anattamanasaddaṃ nicchāresi. Rājā ‘‘kimetaṃ upadhārethā’’ti āha. Upadhārayamānā aññaṃ adisvā ‘‘aṭṭassa dubbinicchitattā evaṃ kataṃ bhavissatī’’ti puna sāmikameva sāmikaṃ katvā ‘‘ñatvā nu kho kumāro evaṃ karotī’’ti? Vīmaṃsantā puna sāmikaṃ assāmikamakaṃsu. Puna bodhisatto tatheva saddaṃ nicchāresi. Atha rājā ‘‘jānāti mahāpuriso’’ti tato paṭṭhāya appamatto ahosi. Tena vuttaṃ ‘‘viceyya viceyya kumāro atthe panāyati ñāyenāti kho, bhikkhave, vipassissa kumārassa bhiyyosomattāya ‘vipassī vipassī’tveva samaññā udapādī’’ti (dī. ni. 2.41).
ภควโตติ ภาคฺยสมฺปนฺนสฺสฯ อรหโตติ ราคาทิอรีนํ หตตฺตา, สํสารจกฺกสฺส วา อรานํ หตตฺตา, ปจฺจยานํ วา อรหตฺตา อรหาติ เอวํ คุณโต อุปฺปนฺนนามเธยฺยสฺสฯ สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสาติ สมฺมา นเยน เหตุนา สามํ ปจฺจตฺตปุริสกาเรน จตฺตาริ สจฺจานิ พุทฺธสฺสฯ ปุเพฺพว สโมฺพธาติ สโมฺพโธ วุจฺจติ จตูสุ มเคฺคสุ ญาณํ, ตโต ปุเพฺพวฯ โพธิสตฺตเสฺสว สโตติ เอตฺถ โพธีติ ญาณํ, โพธิมา สโตฺต โพธิสโตฺต, ญาณวา ปญฺญวา ปณฺฑิโตติ อโตฺถฯ ปุริมพุทฺธานญฺหิ ปาทมูเล อภินีหารโต ปฎฺฐาย ปณฺฑิโตว โส สโตฺต, น อนฺธพาโลติ โพธิสโตฺตฯ ยถา วา อุทกโต อุคฺคนฺตฺวา ฐิตํ ปริปากคตํ ปทุมํ สูริยรสฺมิสมฺผเสฺสน อวสฺสํ พุชฺฌิสฺสตีติ พุชฺฌนกปทุมนฺติ วุจฺจติ, เอวํ พุทฺธานํ สนฺติเก พฺยากรณสฺส ลทฺธตฺตา อวสฺสํ อนนฺตราเยน ปารมิโย ปูเรตฺวา พุชฺฌิสฺสตีติ พุชฺฌนกสโตฺตติปิ โพธิสโตฺตฯ ยา จ เอสา จตุมคฺคญาณสงฺขาตา โพธิ, ตํ ปตฺถยมาโน ปวตฺตตีติ โพธิยํ สโตฺต อาสโตฺตติปิ โพธิสโตฺตฯ เอวํ คุณโต อุปฺปนฺนนามวเสน โพธิสตฺตเสฺสว สโตฯ กิจฺฉนฺติ ทุกฺขํฯ อาปโนฺนติ อนุปฺปโตฺตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อโห อยํ สตฺตโลโก ทุกฺขํ อนุปฺปโตฺตติฯ จวติ จ อุปปชฺชติ จาติ อิทํ อปราปรํ จุติปฎิสนฺธิวเสน วุตฺตํฯ นิสฺสรณนฺติ นิพฺพานํฯ ตญฺหิ ชรามรณทุกฺขโต นิสฺสฎตฺตา ตสฺส นิสฺสรณนฺติ วุจฺจติฯ กุทาสฺสุ นามาติ กตรสฺมิํ นุ โข กาเลฯ
Bhagavatoti bhāgyasampannassa. Arahatoti rāgādiarīnaṃ hatattā, saṃsāracakkassa vā arānaṃ hatattā, paccayānaṃ vā arahattā arahāti evaṃ guṇato uppannanāmadheyyassa. Sammāsambuddhassāti sammā nayena hetunā sāmaṃ paccattapurisakārena cattāri saccāni buddhassa. Pubbeva sambodhāti sambodho vuccati catūsu maggesu ñāṇaṃ, tato pubbeva. Bodhisattasseva satoti ettha bodhīti ñāṇaṃ, bodhimā satto bodhisatto, ñāṇavā paññavā paṇḍitoti attho. Purimabuddhānañhi pādamūle abhinīhārato paṭṭhāya paṇḍitova so satto, na andhabāloti bodhisatto. Yathā vā udakato uggantvā ṭhitaṃ paripākagataṃ padumaṃ sūriyarasmisamphassena avassaṃ bujjhissatīti bujjhanakapadumanti vuccati, evaṃ buddhānaṃ santike byākaraṇassa laddhattā avassaṃ anantarāyena pāramiyo pūretvā bujjhissatīti bujjhanakasattotipi bodhisatto. Yā ca esā catumaggañāṇasaṅkhātā bodhi, taṃ patthayamāno pavattatīti bodhiyaṃ satto āsattotipi bodhisatto. Evaṃ guṇato uppannanāmavasena bodhisattasseva sato. Kicchanti dukkhaṃ. Āpannoti anuppatto. Idaṃ vuttaṃ hoti – aho ayaṃ sattaloko dukkhaṃ anuppattoti. Cavati ca upapajjati cāti idaṃ aparāparaṃ cutipaṭisandhivasena vuttaṃ. Nissaraṇanti nibbānaṃ. Tañhi jarāmaraṇadukkhato nissaṭattā tassa nissaraṇanti vuccati. Kudāssu nāmāti katarasmiṃ nu kho kāle.
โยนิโส มนสิการาติ อุปายมนสิกาเรน ปถมนสิกาเรนฯ อหุ ปญฺญาย อภิสมโยติ ปญฺญาย สทฺธิํ ชรามรณการณสฺส อภิสมโย สมวาโย สมาโยโค อโหสิ, ‘‘ชาติปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติ อิทํ เตน ทิฎฺฐนฺติ อโตฺถฯ อถ วา โยนิโส มนสิการา อหุ ปญฺญายาติ โยนิโส มนสิกาเรน จ ปญฺญาย จ อภิสมโย อหุฯ ‘‘ชาติยา โข สติ ชรามรณ’’นฺติ, เอวํ ชรามรณการณสฺส ปฎิเวโธ อโหสีติ อโตฺถฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ
Yoniso manasikārāti upāyamanasikārena pathamanasikārena. Ahu paññāya abhisamayoti paññāya saddhiṃ jarāmaraṇakāraṇassa abhisamayo samavāyo samāyogo ahosi, ‘‘jātipaccayā jarāmaraṇa’’nti idaṃ tena diṭṭhanti attho. Atha vā yoniso manasikārā ahu paññāyāti yoniso manasikārena ca paññāya ca abhisamayo ahu. ‘‘Jātiyā kho sati jarāmaraṇa’’nti, evaṃ jarāmaraṇakāraṇassa paṭivedho ahosīti attho. Esa nayo sabbattha.
อิติ หิทนฺติ เอวมิทํฯ สมุทโย สมุทโยติ เอกาทสสุ ฐาเนสุ สงฺขาราทีนํ สมุทยํ สมฺปิเณฺฑตฺวา นิทฺทิสติฯ ปุเพฺพ อนนุสฺสุเตสูติ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารานํ สมุทโย โหตี’’ติฯ เอวํ อิโต ปุเพฺพ อนนุสฺสุเตสุ ธเมฺมสุ, จตูสุ วา อริยสจฺจธเมฺมสุฯ จกฺขุนฺติอาทีนิ ญาณเววจนาเนวฯ ญาณเมว เหตฺถ ทสฺสนเฎฺฐน จกฺขุ, ญาตเฎฺฐน ญาณํ, ปชานนเฎฺฐน ปญฺญา, ปฎิเวธนเฎฺฐน วิชฺชา, โอภาสนเฎฺฐน อาโลโกติ วุตฺตํ ฯ ตํ ปเนตํ จตูสุ สเจฺจสุ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกํ นิทฺทิฎฺฐนฺติ เวทิตพฺพํฯ นิโรธวาเรปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ จตุตฺถํฯ
Iti hidanti evamidaṃ. Samudayo samudayoti ekādasasu ṭhānesu saṅkhārādīnaṃ samudayaṃ sampiṇḍetvā niddisati. Pubbe ananussutesūti ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārānaṃ samudayo hotī’’ti. Evaṃ ito pubbe ananussutesu dhammesu, catūsu vā ariyasaccadhammesu. Cakkhuntiādīni ñāṇavevacanāneva. Ñāṇameva hettha dassanaṭṭhena cakkhu, ñātaṭṭhena ñāṇaṃ, pajānanaṭṭhena paññā, paṭivedhanaṭṭhena vijjā, obhāsanaṭṭhena ālokoti vuttaṃ . Taṃ panetaṃ catūsu saccesu lokiyalokuttaramissakaṃ niddiṭṭhanti veditabbaṃ. Nirodhavārepi imināva nayena attho veditabbo. Catutthaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๔. วิปสฺสีสุตฺตํ • 4. Vipassīsuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๔. วิปสฺสีสุตฺตวณฺณนา • 4. Vipassīsuttavaṇṇanā