Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā)

    ๗. วีริยารมฺภาทิวคฺควณฺณนา

    7. Vīriyārambhādivaggavaṇṇanā

    ๖๑. สตฺตมสฺส ปฐเม วีริยารโมฺภติ จตุกิจฺจสฺส สมฺมปฺปธานวีริยสฺส อารโมฺภ, อารทฺธปคฺคหิตปริปุณฺณวีริยตาติ อโตฺถฯ

    61. Sattamassa paṭhame vīriyārambhoti catukiccassa sammappadhānavīriyassa ārambho, āraddhapaggahitaparipuṇṇavīriyatāti attho.

    ๖๒. ทุติเย มหิจฺฉตาติ มหาโลโภฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –

    62. Dutiye mahicchatāti mahālobho. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –

    ‘‘ตตฺถ กตมา มหิจฺฉตา? อิตรีตรจีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาเรหิ ปญฺจหิ วา กามคุเณหิ อสนฺตุฎฺฐสฺส ภิโยฺยกมฺยตา, ยา เอวรูปา อิจฺฉา อิจฺฉาคตา มหิจฺฉตา ราโค สาราโค จิตฺตสฺส สาราโคฯ อยํ วุจฺจติ มหิจฺฉตา’’ติ (วิภ. ๘๕๐)ฯ

    ‘‘Tattha katamā mahicchatā? Itarītaracīvarapiṇḍapātasenāsanagilānapaccayabhesajjaparikkhārehi pañcahi vā kāmaguṇehi asantuṭṭhassa bhiyyokamyatā, yā evarūpā icchā icchāgatā mahicchatā rāgo sārāgo cittassa sārāgo. Ayaṃ vuccati mahicchatā’’ti (vibha. 850).

    ๖๓. ตติเย อปฺปิจฺฉตาติ อโลโภฯ อปฺปิจฺฉสฺสาติ อนิจฺฉสฺสฯ เอตฺถ หิ พฺยญฺชนํ สาวเสสํ วิย, อโตฺถ ปน นิรวเสโสฯ น หิ อปฺปมตฺติกาย อิจฺฉาย อตฺถิภาเวน โส อปฺปิโจฺฉติ วุโตฺต, อิจฺฉาย ปน อภาเวน ปุนปฺปุนํ อาเสวิตสฺส อโลภเสฺสว ภาเวน อปฺปิโจฺฉติ วุโตฺตฯ

    63. Tatiye appicchatāti alobho. Appicchassāti anicchassa. Ettha hi byañjanaṃ sāvasesaṃ viya, attho pana niravaseso. Na hi appamattikāya icchāya atthibhāvena so appicchoti vutto, icchāya pana abhāvena punappunaṃ āsevitassa alobhasseva bhāvena appicchoti vutto.

    อปิเจตฺถ อตฺริจฺฉตา, ปาปิจฺฉตา, มหิจฺฉตา อปฺปิจฺฉตาติ อยํ เภโท เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ สกลาเภ อติตฺตสฺส ปรลาเภ ปตฺถนา อตฺริจฺฉตา นาม, ยาย สมนฺนาคตสฺส เอกภาชเน ปกฺกปูเวปิ อตฺตโน ปเตฺต ปติเต น สุปโกฺก วิย ขุทฺทโก จ วิย ขายติ, เสฺวว ปน ปรสฺส ปเตฺต ปกฺขิโตฺต สุปโกฺก วิย มหโนฺต วิย จ ขายติฯ อสนฺตคุณสมฺภาวนตา ปน ปฎิคฺคหเณ จ อมตฺตญฺญุตา ปาปิจฺฉตา นาม, สา ‘‘อิเธกโจฺจ อสฺสโทฺธ สมาโน สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตู’’ติอาทินา นเยน อภิธเมฺม อาคตาเยว, ตาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล โกหเญฺญ ปติฎฺฐาติฯ สนฺตคุณสมฺภาวนตา ปน ปฎิคฺคหเณ จ อมตฺตญฺญุตา มหิจฺฉตา นาม, สาปิ ‘‘อิเธกโจฺจ สโทฺธ สมาโน สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตูติ อิจฺฉติ, สีลวา สมาโน สีลวาติ มํ ชโน ชานาตู’’ติ อิมินา นเยน อาคตาเยวฯ ตาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล ทุสฺสนฺตปฺปโย โหติ, วิชาตมาตาปิสฺส จิตฺตํ คเหตุํ น สโกฺกติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –

    Apicettha atricchatā, pāpicchatā, mahicchatā appicchatāti ayaṃ bhedo veditabbo. Tattha sakalābhe atittassa paralābhe patthanā atricchatā nāma, yāya samannāgatassa ekabhājane pakkapūvepi attano patte patite na supakko viya khuddako ca viya khāyati, sveva pana parassa patte pakkhitto supakko viya mahanto viya ca khāyati. Asantaguṇasambhāvanatā pana paṭiggahaṇe ca amattaññutā pāpicchatā nāma, sā ‘‘idhekacco assaddho samāno saddhoti maṃ jano jānātū’’tiādinā nayena abhidhamme āgatāyeva, tāya samannāgato puggalo kohaññe patiṭṭhāti. Santaguṇasambhāvanatā pana paṭiggahaṇe ca amattaññutā mahicchatā nāma, sāpi ‘‘idhekacco saddho samāno saddhoti maṃ jano jānātūti icchati, sīlavā samāno sīlavāti maṃ jano jānātū’’ti iminā nayena āgatāyeva. Tāya samannāgato puggalo dussantappayo hoti, vijātamātāpissa cittaṃ gahetuṃ na sakkoti. Tenetaṃ vuccati –

    ‘‘อคฺคิกฺขโนฺธ สมุโทฺท จ, มหิโจฺฉ จาปิ ปุคฺคโล;

    ‘‘Aggikkhandho samuddo ca, mahiccho cāpi puggalo;

    สกเฎน ปจฺจเย เทนฺตุ, ตโยเปเต อตปฺปยา’’ติฯ

    Sakaṭena paccaye dentu, tayopete atappayā’’ti.

    สนฺตคุณนิคูหนตา ปน ปฎิคฺคหเณ จ มตฺตญฺญุตา อปฺปิจฺฉตา นาม, ตาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล อตฺตนิ วิชฺชมานมฺปิ คุณํ ปฎิจฺฉาเทตุกามตาย สโทฺธ สมาโน ‘‘สโทฺธติ มํ ชโน ชานาตู’’ติ น อิจฺฉติฯ สีลวา, ปวิวิโตฺต, พหุสฺสุโต, อารทฺธวีริโย, สมาธิสมฺปโนฺน, ปญฺญวา, ขีณาสโว สมาโน ‘‘ขีณาสโวติ มํ ชโน ชานาตู’’ติ น อิจฺฉติ เสยฺยถาปิ มชฺฌนฺติกเตฺถโร

    Santaguṇanigūhanatā pana paṭiggahaṇe ca mattaññutā appicchatā nāma, tāya samannāgato puggalo attani vijjamānampi guṇaṃ paṭicchādetukāmatāya saddho samāno ‘‘saddhoti maṃ jano jānātū’’ti na icchati. Sīlavā, pavivitto, bahussuto, āraddhavīriyo, samādhisampanno, paññavā, khīṇāsavo samāno ‘‘khīṇāsavoti maṃ jano jānātū’’ti na icchati seyyathāpi majjhantikatthero.

    เถโร กิร มหาขีณาสโว อโหสิ, ปตฺตจีวรํ ปนสฺส ปาทมตฺตเมว อคฺฆติฯ โส อโสกสฺส ธมฺมรโญฺญ วิหารมหทิวเส สงฺฆเตฺถโร อโหสิฯ อถสฺส อติลูขภาวํ ทิสฺวา มนุสฺสา, ‘‘ภเนฺต, โถกํ พหิ โหถา’’ติ อาหํสุฯ เถโร ‘‘มาทิเส ขีณาสเว รโญฺญ สงฺคหํ อกโรเนฺต อโญฺญ โก กริสฺสตี’’ติ ปถวิยํ นิมุชฺชิตฺวา สงฺฆเตฺถรสฺส อุกฺขิตฺตปิณฺฑํ คณฺหโนฺตเยว อุมฺมุชฺชิฯ เอวํ ขีณาสโว สมาโน ‘‘ขีณาสโวติ มํ ชโน ชานาตู’’ติ น อิจฺฉติฯ เอวํ อปฺปิโจฺฉ จ ปน ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนํ ลาภํ อุปฺปาเทติ, อุปฺปนฺนํ ถาวรํ กโรติ, ทายกานํ จิตฺตํ อาราเธติฯ ยถา ยถา หิ โส อตฺตโน อปฺปิจฺฉตาย อปฺปํ คณฺหาติ, ตถา ตถา ตสฺส วเตฺต ปสนฺนา มนุสฺสา พหู เทนฺติฯ

    Thero kira mahākhīṇāsavo ahosi, pattacīvaraṃ panassa pādamattameva agghati. So asokassa dhammarañño vihāramahadivase saṅghatthero ahosi. Athassa atilūkhabhāvaṃ disvā manussā, ‘‘bhante, thokaṃ bahi hothā’’ti āhaṃsu. Thero ‘‘mādise khīṇāsave rañño saṅgahaṃ akaronte añño ko karissatī’’ti pathaviyaṃ nimujjitvā saṅghattherassa ukkhittapiṇḍaṃ gaṇhantoyeva ummujji. Evaṃ khīṇāsavo samāno ‘‘khīṇāsavoti maṃ jano jānātū’’ti na icchati. Evaṃ appiccho ca pana bhikkhu anuppannaṃ lābhaṃ uppādeti, uppannaṃ thāvaraṃ karoti, dāyakānaṃ cittaṃ ārādheti. Yathā yathā hi so attano appicchatāya appaṃ gaṇhāti, tathā tathā tassa vatte pasannā manussā bahū denti.

    อปโรปิ จตุพฺพิโธ อปฺปิโจฺฉ – ปจฺจยอปฺปิโจฺฉ, ธุตงฺคอปฺปิโจฺฉ, ปริยตฺติอปฺปิโจฺฉ, อธิคมอปฺปิโจฺฉติฯ ตตฺถ จตูสุ ปจฺจเยสุ อปฺปิโจฺฉ ปจฺจยอปฺปิโจฺฉ นามฯ โส ทายกสฺส วสํ ชานาติ, เทยฺยธมฺมสฺส วสํ ชานาติ, อตฺตโน ถามํ ชานาติฯ ยทิ หิ เทยฺยธโมฺม พหุ โหติ, ทายโก อปฺปมตฺตกํ ทาตุกาโม, ทายกสฺส วเสน อปฺปํ คณฺหาติฯ เทยฺยธโมฺม อโปฺป, ทายโก พหุํ ทาตุกาโม, เทยฺยธมฺมสฺส วเสน อปฺปํ คณฺหาติฯ เทยฺยธโมฺมปิ พหุ, ทายโกปิ พหุํ ทาตุกาโม, อตฺตโน ถามํ ญตฺวา ปมาเณเนว คณฺหาติฯ

    Aparopi catubbidho appiccho – paccayaappiccho, dhutaṅgaappiccho, pariyattiappiccho, adhigamaappicchoti. Tattha catūsu paccayesu appiccho paccayaappiccho nāma. So dāyakassa vasaṃ jānāti, deyyadhammassa vasaṃ jānāti, attano thāmaṃ jānāti. Yadi hi deyyadhammo bahu hoti, dāyako appamattakaṃ dātukāmo, dāyakassa vasena appaṃ gaṇhāti. Deyyadhammo appo, dāyako bahuṃ dātukāmo, deyyadhammassa vasena appaṃ gaṇhāti. Deyyadhammopi bahu, dāyakopi bahuṃ dātukāmo, attano thāmaṃ ñatvā pamāṇeneva gaṇhāti.

    ธุตงฺคสมาทานสฺส อตฺตนิ อตฺถิภาวํ นชานาเปตุกาโม ธุตงฺคอปฺปิโจฺฉ นามฯ ตสฺส วิภาวนตฺถํ อิมานิ วตฺถูนิ – โสสานิกมหากุมารเตฺถโร กิร สฎฺฐิ วสฺสานิ สุสาเน วสิ, อโญฺญ เอกภิกฺขุปิ น อญฺญาสิฯ เตเนวาห –

    Dhutaṅgasamādānassa attani atthibhāvaṃ najānāpetukāmo dhutaṅgaappiccho nāma. Tassa vibhāvanatthaṃ imāni vatthūni – sosānikamahākumāratthero kira saṭṭhi vassāni susāne vasi, añño ekabhikkhupi na aññāsi. Tenevāha –

    ‘‘สุสาเน สฎฺฐิ วสฺสานิ, อโพฺพกิณฺณํ วสามหํ;

    ‘‘Susāne saṭṭhi vassāni, abbokiṇṇaṃ vasāmahaṃ;

    ทุติโย มํ น ชาเนยฺย, อโห โสสานิกุตฺตโม’’ติฯ

    Dutiyo maṃ na jāneyya, aho sosānikuttamo’’ti.

    เจติยปพฺพเต เทฺว ภาติกเตฺถรา วสิํสุฯ กนิโฎฺฐ อุปฎฺฐาเกน เปสิตํ อุจฺฉุขณฺฑิกํ คเหตฺวา เชฎฺฐสฺส สนฺติกํ อคมาสิ ‘‘ปริโภคํ, ภเนฺต, กโรถา’’ติฯ เถรสฺส จ ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา มุขวิกฺขาลนกาโล อโหสิฯ โส ‘‘อลํ, อาวุโส’’ติ อาหฯ กจฺจิ, ภเนฺต, เอกาสนิกตฺถาติ? อาหราวุโส, อุจฺฉุขณฺฑิกนฺติ ปญฺญาส วสฺสานิ เอกาสนิโก สมาโนปิ ธุตงฺคํ นิคูหมาโน ปริโภคํ กตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา ปุน ธุตงฺคํ อธิฎฺฐาย คโตฯ

    Cetiyapabbate dve bhātikattherā vasiṃsu. Kaniṭṭho upaṭṭhākena pesitaṃ ucchukhaṇḍikaṃ gahetvā jeṭṭhassa santikaṃ agamāsi ‘‘paribhogaṃ, bhante, karothā’’ti. Therassa ca bhattakiccaṃ katvā mukhavikkhālanakālo ahosi. So ‘‘alaṃ, āvuso’’ti āha. Kacci, bhante, ekāsanikatthāti? Āharāvuso, ucchukhaṇḍikanti paññāsa vassāni ekāsaniko samānopi dhutaṅgaṃ nigūhamāno paribhogaṃ katvā mukhaṃ vikkhāletvā puna dhutaṅgaṃ adhiṭṭhāya gato.

    โย ปน สาเกตติสฺสเตฺถโร วิย พหุสฺสุตภาวํ ชานาเปตุํ น อิจฺฉติ, อยํ ปริยตฺติอปฺปิโจฺฉ นามฯ เถโร กิร ‘‘ขโณ นตฺถีติ อุเทฺทสปริปุจฺฉาสุ โอกาสํ อกโรโนฺต กทา มรณกฺขณํ, ภเนฺต, ลภิสฺสถา’’ติ โจทิโต คณํ วิสฺสเชฺชตฺวา กณิการวาลิกสมุทฺทวิหารํ คโตฯ ตตฺถ อโนฺตวสฺสํ เถรนวมชฺฌิมานํ อุปกาโร หุตฺวา มหาปวารณาย อุโปสถทิวเส ธมฺมกถาย ชนปทํ โขเภตฺวา คโตฯ

    Yo pana sāketatissatthero viya bahussutabhāvaṃ jānāpetuṃ na icchati, ayaṃ pariyattiappiccho nāma. Thero kira ‘‘khaṇo natthīti uddesaparipucchāsu okāsaṃ akaronto kadā maraṇakkhaṇaṃ, bhante, labhissathā’’ti codito gaṇaṃ vissajjetvā kaṇikāravālikasamuddavihāraṃ gato. Tattha antovassaṃ theranavamajjhimānaṃ upakāro hutvā mahāpavāraṇāya uposathadivase dhammakathāya janapadaṃ khobhetvā gato.

    โย ปน โสตาปนฺนาทีสุ อญฺญตโร หุตฺวา โสตาปนฺนาทิภาวํ ชานาเปตุํ น อิจฺฉติ, อยํ อธิคมปฺปิโจฺฉ นาม ตโย กุลปุตฺตา (ม. นิ. ๑.๓๒๕) วิย ฆฎีการกุมฺภกาโร (ม. นิ. ๒.๒๘๒ อาทโย) วิย จฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ ลทฺธาเสวเนน พลวอโลเภน สมนฺนาคโต เสโกฺขปิ ปุถุชฺชโนปิ อปฺปิโจฺฉติ เวทิตโพฺพฯ

    Yo pana sotāpannādīsu aññataro hutvā sotāpannādibhāvaṃ jānāpetuṃ na icchati, ayaṃ adhigamappiccho nāma tayo kulaputtā (ma. ni. 1.325) viya ghaṭīkārakumbhakāro (ma. ni. 2.282 ādayo) viya ca. Imasmiṃ panatthe laddhāsevanena balavaalobhena samannāgato sekkhopi puthujjanopi appicchoti veditabbo.

    ๖๔. จตุเตฺถ อสนฺตุฎฺฐิตาติ อสนฺตุเฎฺฐ ปุคฺคเล เสวนฺตสฺส ภชนฺตสฺส ปยิรุปาสนฺตสฺส อุปฺปโนฺน อสโนฺตสสงฺขาโต โลโภฯ

    64. Catutthe asantuṭṭhitāti asantuṭṭhe puggale sevantassa bhajantassa payirupāsantassa uppanno asantosasaṅkhāto lobho.

    ๖๕. ปญฺจเม สนฺตุฎฺฐิตาติ สนฺตุเฎฺฐ ปุคฺคเล เสวนฺตสฺส ภชนฺตสฺส ปยิรุปาสนฺตสฺส อุปฺปโนฺน อโลภสงฺขาโต สโนฺตโสฯ สนฺตุฎฺฐสฺสาติ อิตรีตรปจฺจยสโนฺตเสน สมนฺนาคตสฺสฯ โส ปเนส สโนฺตโส ทฺวาทสวิโธ โหติฯ เสยฺยถิทํ – จีวเร ยถาลาภสโนฺตโส, ยถาพลสโนฺตโส, ยถาสารุปฺปสโนฺตโสติ ติวิโธฯ เอวํ ปิณฺฑปาตาทีสุฯ

    65. Pañcame santuṭṭhitāti santuṭṭhe puggale sevantassa bhajantassa payirupāsantassa uppanno alobhasaṅkhāto santoso. Santuṭṭhassāti itarītarapaccayasantosena samannāgatassa. So panesa santoso dvādasavidho hoti. Seyyathidaṃ – cīvare yathālābhasantoso, yathābalasantoso, yathāsāruppasantosoti tividho. Evaṃ piṇḍapātādīsu.

    ตสฺสายํ ปเภทสํวณฺณนา – อิธ ภิกฺขุ จีวรํ ลภติ สุนฺทรํ วา อสุนฺทรํ วาฯ โส เตเนว ยาเปติ อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติฯ อยมสฺส จีวเร ยถาลาภสโนฺตโสฯ อถ ปน ปกติทุพฺพโล วา โหติ อาพาธชราภิภูโต วา, ครุํ จีวรํ ปารุปโนฺต กิลมติฯ โส สภาเคน ภิกฺขุนา สทฺธิํ ตํ ปริวเตฺตตฺวา ลหุเกน ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส จีวเร ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร ปณีตปจฺจยลาภี โหติฯ โส ปฎฺฎจีวราทีนํ อญฺญตรํ มหคฺฆจีวรํ พหูนิ วา ปน จีวรานิ ลภิตฺวา ‘‘อิทํ เถรานํ จิรปพฺพชิตานํ, อิทํ พหุสฺสุตานํ อนุรูปํ, อิทํ คิลานานํ, อิทํ อปฺปลาภานํ โหตู’’ติ ทตฺวา เตสํ ปุราณจีวรํ วา สงฺการกูฎาทิโต วา นนฺตกานิ อุจฺจินิตฺวา เตหิ สงฺฆาฎิํ กตฺวา ธาเรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส จีวเร ยถาสารุปฺปสโนฺตโส

    Tassāyaṃ pabhedasaṃvaṇṇanā – idha bhikkhu cīvaraṃ labhati sundaraṃ vā asundaraṃ vā. So teneva yāpeti aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti. Ayamassa cīvare yathālābhasantoso. Atha pana pakatidubbalo vā hoti ābādhajarābhibhūto vā, garuṃ cīvaraṃ pārupanto kilamati. So sabhāgena bhikkhunā saddhiṃ taṃ parivattetvā lahukena yāpentopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa cīvare yathābalasantoso. Aparo paṇītapaccayalābhī hoti. So paṭṭacīvarādīnaṃ aññataraṃ mahagghacīvaraṃ bahūni vā pana cīvarāni labhitvā ‘‘idaṃ therānaṃ cirapabbajitānaṃ, idaṃ bahussutānaṃ anurūpaṃ, idaṃ gilānānaṃ, idaṃ appalābhānaṃ hotū’’ti datvā tesaṃ purāṇacīvaraṃ vā saṅkārakūṭādito vā nantakāni uccinitvā tehi saṅghāṭiṃ katvā dhārentopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa cīvare yathāsāruppasantoso.

    อิธ ปน ภิกฺขุ ปิณฺฑปาตํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส เตเนว ยาเปติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติฯ อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาลาภสโนฺตโสฯ โย ปน อตฺตโน ปกติวิรุทฺธํ วา พฺยาธิวิรุทฺธํ วา ปิณฺฑปาตํ ลภติ, เยนสฺส ปริภุเตฺตน อผาสุ โหติ, โส สภาคสฺส ภิกฺขุโน ตํ ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต สปฺปายโภชนํ ภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาพลสโนฺตโสฯ อปโร พหุํ ปณีตํ ปิณฺฑปาตํ ลภติฯ โส ตํ จีวรํ วิย เถรจิรปพฺพชิตพหุสฺสุตอปฺปลาภคิลานานํ ทตฺวา เตสํ วา เสสกํ ปิณฺฑาย วา จริตฺวา มิสฺสกาหารํ ภุญฺชโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส ปิณฺฑปาเต ยถาสารุปฺปสโนฺตโส

    Idha pana bhikkhu piṇḍapātaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so teneva yāpeti, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti. Ayamassa piṇḍapāte yathālābhasantoso. Yo pana attano pakativiruddhaṃ vā byādhiviruddhaṃ vā piṇḍapātaṃ labhati, yenassa paribhuttena aphāsu hoti, so sabhāgassa bhikkhuno taṃ datvā tassa hatthato sappāyabhojanaṃ bhuñjitvā samaṇadhammaṃ karontopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa piṇḍapāte yathābalasantoso. Aparo bahuṃ paṇītaṃ piṇḍapātaṃ labhati. So taṃ cīvaraṃ viya theracirapabbajitabahussutaappalābhagilānānaṃ datvā tesaṃ vā sesakaṃ piṇḍāya vā caritvā missakāhāraṃ bhuñjantopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa piṇḍapāte yathāsāruppasantoso.

    อิธ ปน ภิกฺขุ เสนาสนํ ลภติ มนาปํ วา อมนาปํ วา, โส เตน เนว โสมนสฺสํ น โทมนสฺสํ อุปฺปาเทติ, อนฺตมโส ติณสนฺถารเกนาปิ ยถาลเทฺธเนว ตุสฺสติฯ อยมสฺส เสนาสเน ยถาลาภสโนฺตโสฯ โย ปน อตฺตโน ปกติวิรุทฺธํ วา พฺยาธิวิรุทฺธํ วา เสนาสนํ ลภติ, ยตฺถสฺส วสโต อผาสุ โหติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส สนฺตเก สปฺปายเสนาสเน วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส เสนาสเน ยถาพลสโนฺตโส

    Idha pana bhikkhu senāsanaṃ labhati manāpaṃ vā amanāpaṃ vā, so tena neva somanassaṃ na domanassaṃ uppādeti, antamaso tiṇasanthārakenāpi yathāladdheneva tussati. Ayamassa senāsane yathālābhasantoso. Yo pana attano pakativiruddhaṃ vā byādhiviruddhaṃ vā senāsanaṃ labhati, yatthassa vasato aphāsu hoti, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa santake sappāyasenāsane vasantopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa senāsane yathābalasantoso.

    อปโร มหาปุโญฺญ เลณมณฺฑปกูฎาคาราทีนิ พหูนิ ปณีตเสนาสนานิ ลภติฯ โส ตานิ จีวราทีนิ วิย เถรจิรปพฺพชิตพหุสฺสุตอปฺปลาภคิลานานํ ทตฺวา ยตฺถ กตฺถจิ วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส เสนาสเน ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ โยปิ ‘‘อุตฺตมเสนาสนํ นาม ปมาทฎฺฐานํ, ตตฺถ นิสินฺนสฺส ถินมิทฺธํ โอกฺกมติ, นิทฺทาภิภูตสฺส ปุน ปฎิพุชฺฌโต ปาปวิตกฺกา ปาตุภวนฺตี’’ติ ปฎิสญฺจิกฺขิตฺวา ตาทิสํ เสนาสนํ ปตฺตมฺปิ น สมฺปฎิจฺฉติ, โส ตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อโพฺภกาสรุกฺขมูลาทีสุ วสโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมฺปิสฺส เสนาสเน ยถาสารุปฺปสโนฺตโส

    Aparo mahāpuñño leṇamaṇḍapakūṭāgārādīni bahūni paṇītasenāsanāni labhati. So tāni cīvarādīni viya theracirapabbajitabahussutaappalābhagilānānaṃ datvā yattha katthaci vasantopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa senāsane yathāsāruppasantoso. Yopi ‘‘uttamasenāsanaṃ nāma pamādaṭṭhānaṃ, tattha nisinnassa thinamiddhaṃ okkamati, niddābhibhūtassa puna paṭibujjhato pāpavitakkā pātubhavantī’’ti paṭisañcikkhitvā tādisaṃ senāsanaṃ pattampi na sampaṭicchati, so taṃ paṭikkhipitvā abbhokāsarukkhamūlādīsu vasantopi santuṭṭhova hoti. Ayampissa senāsane yathāsāruppasantoso.

    อิธ ปน ภิกฺขุ เภสชฺชํ ลภติ ลูขํ วา ปณีตํ วา, โส ยํ ลภติ, เตเนว ตุสฺสติ, อญฺญํ น ปเตฺถติ, ลภโนฺตปิ น คณฺหาติฯ อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาลาภสโนฺตโสฯ โย ปน เตเลน อตฺถิโก ผาณิตํ ลภติ, โส ตํ สภาคสฺส ภิกฺขุโน ทตฺวา ตสฺส หตฺถโต เตลํ คเหตฺวา อญฺญเทว วา ปริเยสิตฺวา เภสชฺชํ กโรโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาพลสโนฺตโส

    Idha pana bhikkhu bhesajjaṃ labhati lūkhaṃ vā paṇītaṃ vā, so yaṃ labhati, teneva tussati, aññaṃ na pattheti, labhantopi na gaṇhāti. Ayamassa gilānapaccaye yathālābhasantoso. Yo pana telena atthiko phāṇitaṃ labhati, so taṃ sabhāgassa bhikkhuno datvā tassa hatthato telaṃ gahetvā aññadeva vā pariyesitvā bhesajjaṃ karontopi santuṭṭhova hoti. Ayamassa gilānapaccaye yathābalasantoso.

    อปโร มหาปุโญฺญ พหุํ เตลมธุผาณิตาทิปณีตเภสชฺชํ ลภติฯ โส ตํ จีวรํ วิย เถรจิรปพฺพชิตพหุสฺสุตอปฺปลาภคิลานานํ ทตฺวา เตสํ อาภเตน เยน เกนจิ ยาเปโนฺตปิ สนฺตุโฎฺฐว โหติฯ โย ปน เอกสฺมิํ ภาชเน มุตฺตหรีตกํ ฐเปตฺวา เอกสฺมิํ จตุมธุรํ – ‘‘คณฺหถ, ภเนฺต, ยทิจฺฉก’’นฺติ วุจฺจมาโน ‘‘สจสฺส เตสุ อญฺญตเรนปิ โรโค วูปสมฺมติ, อถ มุตฺตหรีตกํ นาม พุทฺธาทีหิ วณฺณิต’’นฺติ จตุมธุรํ ปฎิกฺขิปิตฺวา มุตฺตหรีตเกน เภสชฺชํ กโรโนฺตปิ ปรมสนฺตุโฎฺฐว โหติฯ อยมสฺส คิลานปจฺจเย ยถาสารุปฺปสโนฺตโสฯ อิเมสํ ปน ปเจฺจกปจฺจเยสุ ติณฺณํ ติณฺณํ สโนฺตสานํ ยถาสารุปฺปสโนฺตโสว อโคฺคฯ

    Aparo mahāpuñño bahuṃ telamadhuphāṇitādipaṇītabhesajjaṃ labhati. So taṃ cīvaraṃ viya theracirapabbajitabahussutaappalābhagilānānaṃ datvā tesaṃ ābhatena yena kenaci yāpentopi santuṭṭhova hoti. Yo pana ekasmiṃ bhājane muttaharītakaṃ ṭhapetvā ekasmiṃ catumadhuraṃ – ‘‘gaṇhatha, bhante, yadicchaka’’nti vuccamāno ‘‘sacassa tesu aññatarenapi rogo vūpasammati, atha muttaharītakaṃ nāma buddhādīhi vaṇṇita’’nti catumadhuraṃ paṭikkhipitvā muttaharītakena bhesajjaṃ karontopi paramasantuṭṭhova hoti. Ayamassa gilānapaccaye yathāsāruppasantoso. Imesaṃ pana paccekapaccayesu tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ santosānaṃ yathāsāruppasantosova aggo.

    ๖๖-๖๗. ฉฎฺฐสตฺตเมสุ อโยนิโสมนสิการโยนิโสมนสิการา เหฎฺฐา วุตฺตลกฺขณาวฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    66-67. Chaṭṭhasattamesu ayonisomanasikārayonisomanasikārā heṭṭhā vuttalakkhaṇāva. Sesamettha uttānatthamevāti.

    ๖๘. อฎฺฐเม อสมฺปชญฺญนฺติ อสมฺปชานภาโว, โมหเสฺสตํ อธิวจนํฯ อสมฺปชานสฺสาติ อชานนฺตสฺส สมฺมุฬฺหสฺสฯ

    68. Aṭṭhame asampajaññanti asampajānabhāvo, mohassetaṃ adhivacanaṃ. Asampajānassāti ajānantassa sammuḷhassa.

    ๖๙. นวเม สมฺปชญฺญนฺติ สมฺปชานภาโว, ปญฺญาเยตํ นามํฯ สมฺปชานสฺสาติ สมฺปชานนฺตสฺสฯ

    69. Navame sampajaññanti sampajānabhāvo, paññāyetaṃ nāmaṃ. Sampajānassāti sampajānantassa.

    ๗๐. ทสเม ปาปมิตฺตตาติ ยสฺส ปาปา ลามกา มิตฺตา, โส ปาปมิโตฺตฯ ปาปมิตฺตสฺส ภาโว ปาปมิตฺตตา, เตนากาเรน ปวตฺตานํ จตุนฺนํ ขนฺธานเมเวตํ นามํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    70. Dasame pāpamittatāti yassa pāpā lāmakā mittā, so pāpamitto. Pāpamittassa bhāvo pāpamittatā, tenākārena pavattānaṃ catunnaṃ khandhānamevetaṃ nāmaṃ. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ตตฺถ กตมา ปาปมิตฺตตา? เย เต ปุคฺคลา อสฺสทฺธา ทุสฺสีลา อปฺปสฺสุตา มจฺฉริโน ทุปฺปญฺญาฯ ยา เตสํ เสวนา นิเสวนา สํเสวนา ภชนา สมฺภชนา ภตฺติ สมฺภตฺติ สมฺปวงฺกตาฯ อยํ วุจฺจติ ปาปมิตฺตตา’’ติ (วิภ. ๙๐๑)ฯ

    ‘‘Tattha katamā pāpamittatā? Ye te puggalā assaddhā dussīlā appassutā maccharino duppaññā. Yā tesaṃ sevanā nisevanā saṃsevanā bhajanā sambhajanā bhatti sambhatti sampavaṅkatā. Ayaṃ vuccati pāpamittatā’’ti (vibha. 901).

    วีริยารมฺภาทิวคฺควณฺณนาฯ

    Vīriyārambhādivaggavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๗. วีริยารมฺภาทิวโคฺค • 7. Vīriyārambhādivaggo

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๗. วีริยารมฺภาทิวคฺควณฺณนา • 7. Vīriyārambhādivaggavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact