Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๑๔๓] ๓. วิโรจชาตกวณฺณนา

    [143] 3. Virocajātakavaṇṇanā

    ลสี จ เต นิปฺผลิตาติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต เทวทตฺตสฺส คยาสีเส สุคตาลยสฺส ทสฺสิตภาวํ อารพฺภ กเถสิฯ เทวทโตฺต หิ ปริหีนชฺฌาโน ลาภสกฺการปริหีโน ‘‘อเตฺถโก อุปาโย’’ติ จิเนฺตตฺวา สตฺถารํ ปญฺจ วตฺถูนิ ยาจิตฺวา อลภมาโน ทฺวินฺนํ อคฺคสาวกานํ สทฺธิวิหาริเก อธุนา ปพฺพชิเต ธมฺมวินยมฺหิ อโกวิเท ปญฺจสเต ภิกฺขู คเหตฺวา คยาสีสํ คนฺตฺวา สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา เอกสีมายํ อาเวณิกํ สงฺฆกมฺมํ อกาสิฯ สตฺถา เตสํ ภิกฺขูนํ ญาณปริปากกาลํ ญตฺวา เทฺว อคฺคสาวเก เปเสสิฯ เต ทิสฺวา เทวทโตฺต ตุฎฺฐมานโส รตฺติํ ธมฺมํ เทสยมาโน ‘‘พุทฺธลีลํ กริสฺสามี’’ติ สุคตาลยํ ทเสฺสโนฺต ‘‘วิคตถินมิโทฺธ โข, อาวุโส สาริปุตฺต, ภิกฺขุสโงฺฆ, ปฎิภาตุ ตํ ภิกฺขูนํ ธมฺมีกถา, ปิฎฺฐิ เม อาคิลายติ, ตมหํ อายมิสฺสามี’’ติ วตฺวา นิทฺทํ อุปคโต ฯ เทฺว อคฺคสาวกา เตสํ ภิกฺขูนํ ธมฺมํ เทเสตฺวา มคฺคผเลหิ ปโพเธตฺวา สเพฺพ อาทาย เวฬุวนเมว ปจฺจาคมิํสุฯ

    Lasī ca te nipphalitāti idaṃ satthā veḷuvane viharanto devadattassa gayāsīse sugatālayassa dassitabhāvaṃ ārabbha kathesi. Devadatto hi parihīnajjhāno lābhasakkāraparihīno ‘‘attheko upāyo’’ti cintetvā satthāraṃ pañca vatthūni yācitvā alabhamāno dvinnaṃ aggasāvakānaṃ saddhivihārike adhunā pabbajite dhammavinayamhi akovide pañcasate bhikkhū gahetvā gayāsīsaṃ gantvā saṅghaṃ bhinditvā ekasīmāyaṃ āveṇikaṃ saṅghakammaṃ akāsi. Satthā tesaṃ bhikkhūnaṃ ñāṇaparipākakālaṃ ñatvā dve aggasāvake pesesi. Te disvā devadatto tuṭṭhamānaso rattiṃ dhammaṃ desayamāno ‘‘buddhalīlaṃ karissāmī’’ti sugatālayaṃ dassento ‘‘vigatathinamiddho kho, āvuso sāriputta, bhikkhusaṅgho, paṭibhātu taṃ bhikkhūnaṃ dhammīkathā, piṭṭhi me āgilāyati, tamahaṃ āyamissāmī’’ti vatvā niddaṃ upagato . Dve aggasāvakā tesaṃ bhikkhūnaṃ dhammaṃ desetvā maggaphalehi pabodhetvā sabbe ādāya veḷuvanameva paccāgamiṃsu.

    โกกาลิโก วิหารํ ตุจฺฉํ ทิสฺวา เทวทตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘อาวุโส เทวทตฺต, ปริสํ เต ภินฺทิตฺวา เทฺว อคฺคสาวกา วิหารํ ตุจฺฉํ กตฺวา คตา, ตฺวํ ปน นิทฺทายสิเยวา’’ติ วตฺวา อุตฺตราสงฺคมสฺส อปเนตฺวา ภิตฺติยํ ปิฎฺฐิกณฺฎกํ ผุสโนฺต วิย ปณฺหิยา นํ หทเย ปหริฯ ตาวเทวสฺส มุขโต โลหิตํ อุคฺคญฺฉิฯ โส ตโต ปฎฺฐาย คิลาโน อโหสิฯ สตฺถา เถรํ ปุจฺฉิ ‘‘สาริปุตฺต, ตุมฺหากํ คตกาเล เทวทโตฺต กิํ อกาสี’’ติ? ภเนฺต, เทวทโตฺต อเมฺห ทิสฺวา ‘‘พุทฺธลีลํ กริสฺสามี’’ติ สุคตาลยํ ทเสฺสตฺวา มหาวินาสํ ปโตฺตติฯ สตฺถา ‘‘น โข สาริปุตฺต, เทวทโตฺต อิทาเนว มม อนุกโรโนฺต วินาสํ ปโตฺต, ปุเพฺพปิ ปโตฺตเยวา’’ติ วตฺวา เถเรน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Kokāliko vihāraṃ tucchaṃ disvā devadattassa santikaṃ gantvā ‘‘āvuso devadatta, parisaṃ te bhinditvā dve aggasāvakā vihāraṃ tucchaṃ katvā gatā, tvaṃ pana niddāyasiyevā’’ti vatvā uttarāsaṅgamassa apanetvā bhittiyaṃ piṭṭhikaṇṭakaṃ phusanto viya paṇhiyā naṃ hadaye pahari. Tāvadevassa mukhato lohitaṃ uggañchi. So tato paṭṭhāya gilāno ahosi. Satthā theraṃ pucchi ‘‘sāriputta, tumhākaṃ gatakāle devadatto kiṃ akāsī’’ti? Bhante, devadatto amhe disvā ‘‘buddhalīlaṃ karissāmī’’ti sugatālayaṃ dassetvā mahāvināsaṃ pattoti. Satthā ‘‘na kho sāriputta, devadatto idāneva mama anukaronto vināsaṃ patto, pubbepi pattoyevā’’ti vatvā therena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต เกสรสีโห หุตฺวา หิมวนฺตปฺปเทเส กญฺจนคุหายํ วาสํ กเปฺปสิฯ โส เอกทิวสํ กญฺจนคุหาย นิกฺขมิตฺวา วิชมฺภิตฺวา จตุทฺทิสํ โอโลเกตฺวา สีหนาทํ นทิตฺวา โคจราย ปกฺกโนฺต มหามหิํสํ วธิตฺวา วรมํสํ ขาทิตฺวา เอกํ สรํ โอตริตฺวา มณิวณฺณสฺส อุทกสฺส กุจฺฉิํ ปูเรตฺวา คุหํ สนฺธาย ปายาสิฯ อเถโก สิงฺคาโล โคจรปฺปสุโต สหสาว สีหํ ทิสฺวา ปลายิตุํ อสโกฺกโนฺต สีหสฺส ปุรโต ปาเทสุ ปติตฺวา นิปชฺชิฯ ‘‘กิํ, ชมฺพุกา’’ติ จ วุเตฺต ‘‘อหํ เต, สามิ, ปาเท อุปฎฺฐาตุกาโม’’ติ อาหฯ สีโห ‘‘สาธุ เอหิ, มํ อุปฎฺฐห, วรมํสานิ ตํ ขาทาเปสฺสามี’’ติ วตฺวา สิงฺคาลํ อาทาย กญฺจนคุหํ อคมาสิฯ สิงฺคาโล ตโต ปฎฺฐาย สีหวิฆาสํ ขาทติฯ โส กติปาหจฺจเยเนว ถูลสรีโร อโหสิฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto kesarasīho hutvā himavantappadese kañcanaguhāyaṃ vāsaṃ kappesi. So ekadivasaṃ kañcanaguhāya nikkhamitvā vijambhitvā catuddisaṃ oloketvā sīhanādaṃ naditvā gocarāya pakkanto mahāmahiṃsaṃ vadhitvā varamaṃsaṃ khāditvā ekaṃ saraṃ otaritvā maṇivaṇṇassa udakassa kucchiṃ pūretvā guhaṃ sandhāya pāyāsi. Atheko siṅgālo gocarappasuto sahasāva sīhaṃ disvā palāyituṃ asakkonto sīhassa purato pādesu patitvā nipajji. ‘‘Kiṃ, jambukā’’ti ca vutte ‘‘ahaṃ te, sāmi, pāde upaṭṭhātukāmo’’ti āha. Sīho ‘‘sādhu ehi, maṃ upaṭṭhaha, varamaṃsāni taṃ khādāpessāmī’’ti vatvā siṅgālaṃ ādāya kañcanaguhaṃ agamāsi. Siṅgālo tato paṭṭhāya sīhavighāsaṃ khādati. So katipāhaccayeneva thūlasarīro ahosi.

    อถ นํ เอกทิวสํ คุหาย นิปนฺนโกว สีโห อาห ‘‘คจฺฉ ชมฺพุก, ปพฺพตสิขเร ฐตฺวา ปพฺพตปาเท สญฺจรเนฺตสุ หตฺถิอสฺสมหิํสาทีสุ ยสฺส มํสํ ขาทิตุกาโมสิ, ตํ โอโลเกตฺวา อาคนฺตฺวา ‘อสุกมํสํ ขาทิตุกาโมมฺหี’ติ วตฺวา มํ วนฺทิตฺวา ‘วิโรจ, สามี’ติ วทาหิ, อหํ ตํ วธิตฺวา มธุรมํสํ ขาทิตฺวา ตุยฺหมฺปิ ทสฺสามี’’ติฯ สิงฺคาโล ปพฺพตสิขรํ อภิรุหิตฺวา นานปฺปกาเร มิเค โอโลเกตฺวา ยเสฺสว มํสํ ขาทิตุกาโม โหติ, กญฺจนคุหํ ปวิสิตฺวา ตเมว สีหสฺส อาโรเจตฺวา ปาเทสุ ปติตฺวา ‘‘วิโรจ, สามี’’ติ วทติฯ สีโห เวเคน ปกฺขนฺทิตฺวา สเจปิ มตฺตวรวารโณ โหติ, ตเตฺถว นํ ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา สยมฺปิ วรมํสํ ขาทติ, สิงฺคาลสฺสปิ เทติฯ สิงฺคาโล กุจฺฉิปูรํ มํสํ ขาทิตฺวา คุหํ ปวิสิตฺวา นิทฺทายติฯ โส คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล มานํ วเฑฺฒสิ ‘‘อหมฺปิ จตุปฺปโทว, กิํการณา ทิวเส ทิวเส ปเรหิ โปสิยมาโน วิหรามิ, อิโต ปฎฺฐาย อหมฺปิ หตฺถิอาทโย หนิตฺวา มํสํ ขาทิสฺสามิ, สีโหปิ มิคราชา ‘วิโรจ, สามี’ติ วุตฺตเมว ปทํ นิสฺสาย วรวารเณ วเธติ, อหมฺปิ สีเหน ‘วิโรจ, ชมฺพุกา’ติ มํ วทาเปตฺวา เอกํ วรวารณํ วธิตฺวา มํสํ ขาทิสฺสามี’’ติฯ

    Atha naṃ ekadivasaṃ guhāya nipannakova sīho āha ‘‘gaccha jambuka, pabbatasikhare ṭhatvā pabbatapāde sañcarantesu hatthiassamahiṃsādīsu yassa maṃsaṃ khāditukāmosi, taṃ oloketvā āgantvā ‘asukamaṃsaṃ khāditukāmomhī’ti vatvā maṃ vanditvā ‘viroca, sāmī’ti vadāhi, ahaṃ taṃ vadhitvā madhuramaṃsaṃ khāditvā tuyhampi dassāmī’’ti. Siṅgālo pabbatasikharaṃ abhiruhitvā nānappakāre mige oloketvā yasseva maṃsaṃ khāditukāmo hoti, kañcanaguhaṃ pavisitvā tameva sīhassa ārocetvā pādesu patitvā ‘‘viroca, sāmī’’ti vadati. Sīho vegena pakkhanditvā sacepi mattavaravāraṇo hoti, tattheva naṃ jīvitakkhayaṃ pāpetvā sayampi varamaṃsaṃ khādati, siṅgālassapi deti. Siṅgālo kucchipūraṃ maṃsaṃ khāditvā guhaṃ pavisitvā niddāyati. So gacchante gacchante kāle mānaṃ vaḍḍhesi ‘‘ahampi catuppadova, kiṃkāraṇā divase divase parehi posiyamāno viharāmi, ito paṭṭhāya ahampi hatthiādayo hanitvā maṃsaṃ khādissāmi, sīhopi migarājā ‘viroca, sāmī’ti vuttameva padaṃ nissāya varavāraṇe vadheti, ahampi sīhena ‘viroca, jambukā’ti maṃ vadāpetvā ekaṃ varavāraṇaṃ vadhitvā maṃsaṃ khādissāmī’’ti.

    โส สีหํ อุปสงฺกมิตฺวา เอตทโวจ ‘‘สามิ, มยา ทีฆรตฺตํ ตุเมฺหหิ วธิตวรวารณานํ มํสํ ขาทิตํ, อหมฺปิ เอกํ วรวารณํ มาเรตฺวา มํสํ ขาทิตุกาโม, ตสฺมา ตุเมฺหหิ นิปนฺนฎฺฐาเน กญฺจนคุหายํ นิปชฺชิสฺสามิ, ตุเมฺห ปพฺพตปาเท วิจรนฺตํ วรวารณํ โอโลเกตฺวา มม สนฺติกํ อาคนฺตฺวา ‘วิโรจ, ชมฺพุกา’ติ วเทถ, เอตฺตกมตฺตสฺมิํ มเจฺฉรํ มา กริตฺถา’’ติฯ อถ นํ สีโห อาห ‘‘น, ตฺวํ ชมฺพุก, วารเณ วธิตุํ สมเตฺถ สีหกุเล อุปฺปโนฺน, วารณํ วธิตฺวา มํสํ ขาทนสมโตฺถ สิงฺคาโล นาม โลเก นตฺถิ, มา เต เอตํ รุจฺจิ, มยา วธิตวรวารณานเญฺญว มํสํ ขาทิตฺวา วสา’’ติฯ โส เอวํ วุเตฺตปิ วิรมิตุํ น อิจฺฉิ, ปุนปฺปุนํ ยาจิเยวฯ สีโห ตํ วาเรตุํ อสโกฺกโนฺต สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ‘‘เตน หิ มม วสนฎฺฐานํ ปวิสิตฺวา นิปชฺชา’’ติ ชมฺพุกํ กญฺจนคุหายํ นิปชฺชาเปตฺวา สยํ ปพฺพตปาเท มตฺตวรวารณํ โอโลเกตฺวา คุหาทฺวารํ คนฺตฺวา ‘‘วิโรจ, ชมฺพุกา’’ติ อาหฯ สิงฺคาโล กญฺจนคุหาย นิกฺขมิตฺวา วิชมฺภิตฺวา จตุทฺทิสํ โอโลเกตฺวา ติกฺขตฺตุํ วสฺสิตฺวา ‘‘มตฺตวรวารณสฺส กุเมฺภ ปติสฺสามี’’ติ ปกฺขนฺทิตฺวา วิรชฺฌิตฺวา ปาทมูเล ปติฯ วารโณ ทกฺขิณปาทํ อุกฺขิปิตฺวา ตสฺส สีสํ อกฺกมิ, สีสฎฺฐีนิ จุณฺณวิจุณฺณานิ อเหสุํฯ อถสฺส สรีรํ วารโณ ปาเทน สงฺฆริตฺวา ราสิํ กตฺวา อุปริ ลณฺฑํ ปาเตตฺวา โกญฺจนาทํ นทโนฺต อรญฺญํ ปาวิสิฯ

    So sīhaṃ upasaṅkamitvā etadavoca ‘‘sāmi, mayā dīgharattaṃ tumhehi vadhitavaravāraṇānaṃ maṃsaṃ khāditaṃ, ahampi ekaṃ varavāraṇaṃ māretvā maṃsaṃ khāditukāmo, tasmā tumhehi nipannaṭṭhāne kañcanaguhāyaṃ nipajjissāmi, tumhe pabbatapāde vicarantaṃ varavāraṇaṃ oloketvā mama santikaṃ āgantvā ‘viroca, jambukā’ti vadetha, ettakamattasmiṃ maccheraṃ mā karitthā’’ti. Atha naṃ sīho āha ‘‘na, tvaṃ jambuka, vāraṇe vadhituṃ samatthe sīhakule uppanno, vāraṇaṃ vadhitvā maṃsaṃ khādanasamattho siṅgālo nāma loke natthi, mā te etaṃ rucci, mayā vadhitavaravāraṇānaññeva maṃsaṃ khāditvā vasā’’ti. So evaṃ vuttepi viramituṃ na icchi, punappunaṃ yāciyeva. Sīho taṃ vāretuṃ asakkonto sampaṭicchitvā ‘‘tena hi mama vasanaṭṭhānaṃ pavisitvā nipajjā’’ti jambukaṃ kañcanaguhāyaṃ nipajjāpetvā sayaṃ pabbatapāde mattavaravāraṇaṃ oloketvā guhādvāraṃ gantvā ‘‘viroca, jambukā’’ti āha. Siṅgālo kañcanaguhāya nikkhamitvā vijambhitvā catuddisaṃ oloketvā tikkhattuṃ vassitvā ‘‘mattavaravāraṇassa kumbhe patissāmī’’ti pakkhanditvā virajjhitvā pādamūle pati. Vāraṇo dakkhiṇapādaṃ ukkhipitvā tassa sīsaṃ akkami, sīsaṭṭhīni cuṇṇavicuṇṇāni ahesuṃ. Athassa sarīraṃ vāraṇo pādena saṅgharitvā rāsiṃ katvā upari laṇḍaṃ pātetvā koñcanādaṃ nadanto araññaṃ pāvisi.

    โพธิสโตฺต อิมํ ปวตฺติํ ทิสฺวา ‘‘อิทานิ วิโรจ, ชมฺพุกา’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Bodhisatto imaṃ pavattiṃ disvā ‘‘idāni viroca, jambukā’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ๑๔๓.

    143.

    ‘‘ลสี จ เต นิปฺผลิตา, มตฺถโก จ ปทาลิโต;

    ‘‘Lasī ca te nipphalitā, matthako ca padālito;

    สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา, อชฺช โข ตฺวํ วิโรจสี’’ติฯ

    Sabbā te phāsukā bhaggā, ajja kho tvaṃ virocasī’’ti.

    ตตฺถ ลสีติ มตฺถลุงฺคํฯ นิปฺผลิตาติ นิกฺขนฺตาฯ เอวํ โพธิสโตฺต อิมํ คาถํ วตฺวา ยาวตายุกํ ฐตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ

    Tattha lasīti matthaluṅgaṃ. Nipphalitāti nikkhantā. Evaṃ bodhisatto imaṃ gāthaṃ vatvā yāvatāyukaṃ ṭhatvā yathākammaṃ gato.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา สิงฺคาโล เทวทโตฺต อโหสิ, สีโห ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā siṅgālo devadatto ahosi, sīho pana ahameva ahosi’’nti.

    วิโรจชาตกวณฺณนา ตติยาฯ

    Virocajātakavaṇṇanā tatiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๔๓. วิโรจชาตกํ • 143. Virocajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact