Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya

    ๓. วิสาขาสุตฺตํ

    3. Visākhāsuttaṃ

    ๔๓. 1 เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ ปุพฺพาราเม มิคารมาตุปาสาเทฯ อถ โข วิสาขา มิคารมาตา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข วิสาขํ มิคารมาตรํ ภควา เอตทโวจ – ‘‘อฎฺฐงฺคสมนฺนาคโต โข, วิสาเข, อุโปสโถ อุปวุโตฺถ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส มหาชุติโก มหาวิปฺผาโรฯ กถํ อุปวุโตฺถ จ, วิสาเข, อฎฺฐงฺคสมนฺนาคโต อุโปสโถ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส มหาชุติโก มหาวิปฺผาโร? อิธ, วิสาเข, อริยสาวโก อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ยาวชีวํ อรหโนฺต ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรตา นิหิตทณฺฑา นิหิตสตฺถา ลชฺชี ทยาปนฺนา, สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปิโน วิหรนฺติฯ อหํ ปชฺช อิมญฺจ รตฺติํ อิมญฺจ ทิวสํ ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต นิหิตทโณฺฑ นิหิตสโตฺถ ลชฺชี ทยาปโนฺน, สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี วิหรามิฯ อิมินาปเงฺคน อรหตํ อนุกโรมิ , อุโปสโถ จ เม อุปวุโตฺถ ภวิสฺสตี’’’ติฯ อิมินา ปฐเมน อเงฺคน สมนฺนาคโต โหติ…เป.…ฯ

    43.2 Ekaṃ samayaṃ bhagavā sāvatthiyaṃ viharati pubbārāme migāramātupāsāde. Atha kho visākhā migāramātā yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho visākhaṃ migāramātaraṃ bhagavā etadavoca – ‘‘aṭṭhaṅgasamannāgato kho, visākhe, uposatho upavuttho mahapphalo hoti mahānisaṃso mahājutiko mahāvipphāro. Kathaṃ upavuttho ca, visākhe, aṭṭhaṅgasamannāgato uposatho mahapphalo hoti mahānisaṃso mahājutiko mahāvipphāro? Idha, visākhe, ariyasāvako iti paṭisañcikkhati – ‘yāvajīvaṃ arahanto pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭiviratā nihitadaṇḍā nihitasatthā lajjī dayāpannā, sabbapāṇabhūtahitānukampino viharanti. Ahaṃ pajja imañca rattiṃ imañca divasaṃ pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato nihitadaṇḍo nihitasattho lajjī dayāpanno, sabbapāṇabhūtahitānukampī viharāmi. Imināpaṅgena arahataṃ anukaromi , uposatho ca me upavuttho bhavissatī’’’ti. Iminā paṭhamena aṅgena samannāgato hoti…pe….

    ‘‘‘ยาวชีวํ อรหโนฺต อุจฺจาสยนมหาสยนํ ปหาย อุจฺจาสยนมหาสยนา ปฎิวิรตา นีจเสยฺยํ กเปฺปนฺติ – มญฺจเก วา ติณสนฺถารเก วาฯ อหํ ปชฺช อิมญฺจ รตฺติํ อิมญฺจ ทิวสํ อุจฺจาสยนมหาสยนํ ปหาย อุจฺจาสยนมหาสยนา ปฎิวิรโต นีจเสยฺยํ กเปฺปมิ – มญฺจเก วา ติณสนฺถารเก วาฯ อิมินาปเงฺคน อรหตํ อนุกโรมิ, อุโปสโถ จ เม อุปวุโตฺถ ภวิสฺสตี’ติฯ อิมินา อฎฺฐเมน อเงฺคน สมนฺนาคโต โหติฯ เอวํ อุปวุโตฺถ โข, วิสาเข, อฎฺฐงฺคสมนฺนาคโต อุโปสโถ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส มหาชุติโก มหาวิปฺผาโรฯ

    ‘‘‘Yāvajīvaṃ arahanto uccāsayanamahāsayanaṃ pahāya uccāsayanamahāsayanā paṭiviratā nīcaseyyaṃ kappenti – mañcake vā tiṇasanthārake vā. Ahaṃ pajja imañca rattiṃ imañca divasaṃ uccāsayanamahāsayanaṃ pahāya uccāsayanamahāsayanā paṭivirato nīcaseyyaṃ kappemi – mañcake vā tiṇasanthārake vā. Imināpaṅgena arahataṃ anukaromi, uposatho ca me upavuttho bhavissatī’ti. Iminā aṭṭhamena aṅgena samannāgato hoti. Evaṃ upavuttho kho, visākhe, aṭṭhaṅgasamannāgato uposatho mahapphalo hoti mahānisaṃso mahājutiko mahāvipphāro.

    ‘‘กีวมหปฺผโล โหติ, กีวมหานิสํโส, กีวมหาชุติโก, กีวมหาวิปฺผาโร? เสยฺยถาปิ, วิสาเข, โย อิเมสํ โสฬสนฺนํ มหาชนปทานํ ปหูตรตฺตรตนานํ อิสฺสริยาธิปจฺจํ รชฺชํ กาเรยฺย, เสยฺยถิทํ – องฺคานํ มคธานํ กาสีนํ โกสลานํ วชฺชีนํ มลฺลานํ เจตีนํ วงฺคานํ กุรูนํ ปญฺจาลานํ มจฺฉานํ สูรเสนานํ อสฺสกานํ อวนฺตีนํ คนฺธารานํ กโมฺพชานํ, อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตสฺส อุโปสถสฺส เอตํ กลํ นาคฺฆติ โสฬสิํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? กปณํ, วิสาเข, มานุสกํ รชฺชํ ทิพฺพํ สุขํ อุปนิธายฯ

    ‘‘Kīvamahapphalo hoti, kīvamahānisaṃso, kīvamahājutiko, kīvamahāvipphāro? Seyyathāpi, visākhe, yo imesaṃ soḷasannaṃ mahājanapadānaṃ pahūtarattaratanānaṃ issariyādhipaccaṃ rajjaṃ kāreyya, seyyathidaṃ – aṅgānaṃ magadhānaṃ kāsīnaṃ kosalānaṃ vajjīnaṃ mallānaṃ cetīnaṃ vaṅgānaṃ kurūnaṃ pañcālānaṃ macchānaṃ sūrasenānaṃ assakānaṃ avantīnaṃ gandhārānaṃ kambojānaṃ, aṭṭhaṅgasamannāgatassa uposathassa etaṃ kalaṃ nāgghati soḷasiṃ. Taṃ kissa hetu? Kapaṇaṃ, visākhe, mānusakaṃ rajjaṃ dibbaṃ sukhaṃ upanidhāya.

    ‘‘ยานิ, วิสาเข, มานุสกานิ ปญฺญาส วสฺสานิ, จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ เอโส เอโก รตฺตินฺทิโวฯ ตาย รตฺติยา ติํสรตฺติโย มาโสฯ เตน มาเสน ทฺวาทสมาสิโย สํวจฺฉโรฯ เตน สํวจฺฉเรน ทิพฺพานิ ปญฺจ วสฺสสตานิ จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ อายุปฺปมาณํฯ ฐานํ โข ปเนตํ, วิสาเข, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ อิตฺถี วา ปุริโส วา อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺย ฯ อิทํ โข ปเนตํ, วิสาเข, สนฺธาย ภาสิตํ – ‘กปณํ มานุสกํ รชฺชํ ทิพฺพํ สุขํ อุปนิธาย’’’ฯ

    ‘‘Yāni, visākhe, mānusakāni paññāsa vassāni, cātumahārājikānaṃ devānaṃ eso eko rattindivo. Tāya rattiyā tiṃsarattiyo māso. Tena māsena dvādasamāsiyo saṃvaccharo. Tena saṃvaccharena dibbāni pañca vassasatāni cātumahārājikānaṃ devānaṃ āyuppamāṇaṃ. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, visākhe, vijjati yaṃ idhekacco itthī vā puriso vā aṭṭhaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ upavasitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā cātumahārājikānaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjeyya . Idaṃ kho panetaṃ, visākhe, sandhāya bhāsitaṃ – ‘kapaṇaṃ mānusakaṃ rajjaṃ dibbaṃ sukhaṃ upanidhāya’’’.

    ‘‘ยํ , วิสาเข, มานุสกํ วสฺสสตํ, ตาวติํสานํ เทวานํ เอโส เอโก รตฺตินฺทิโวฯ ตาย รตฺติยา ติํสรตฺติโย มาโสฯ เตน มาเสน ทฺวาทสมาสิโย สํวจฺฉโรฯ เตน สํวจฺฉเรน วสฺสสหสฺสํ ตาวติํสานํ เทวานํ อายุปฺปมาณํฯ ฐานํ โข ปเนตํ, วิสาเข, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ อิตฺถี วา ปุริโส วา อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ตาวติํสานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺยฯ อิทํ โข ปเนตํ, วิสาเข, สนฺธาย ภาสิตํ – ‘กปณํ มานุสกํ รชฺชํ ทิพฺพํ สุขํ อุปนิธาย’’’ฯ

    ‘‘Yaṃ , visākhe, mānusakaṃ vassasataṃ, tāvatiṃsānaṃ devānaṃ eso eko rattindivo. Tāya rattiyā tiṃsarattiyo māso. Tena māsena dvādasamāsiyo saṃvaccharo. Tena saṃvaccharena vassasahassaṃ tāvatiṃsānaṃ devānaṃ āyuppamāṇaṃ. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, visākhe, vijjati yaṃ idhekacco itthī vā puriso vā aṭṭhaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ upavasitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā tāvatiṃsānaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjeyya. Idaṃ kho panetaṃ, visākhe, sandhāya bhāsitaṃ – ‘kapaṇaṃ mānusakaṃ rajjaṃ dibbaṃ sukhaṃ upanidhāya’’’.

    ‘‘ยานิ, วิสาเข, มานุสกานิ เทฺว วสฺสสตานิ…เป.… จตฺตาริ วสฺสสตานิ…เป.… อฎฺฐ วสฺสสตานิ…เป.… โสฬส วสฺสสตานิ ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวานํ เอโส เอโก รตฺตินฺทิโว ฯ ตาย รตฺติยา ติํสรตฺติโย มาโสฯ เตน มาเสน ทฺวาทสมาสิโย สํวจฺฉโรฯ เตน สํวจฺฉเรน ทิพฺพานิ โสฬส วสฺสสหสฺสานิ ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวานํ อายุปฺปมาณํฯ ฐานํ โข ปเนตํ, วิสาเข, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ อิตฺถี วา ปุริโส วา อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺยฯ อิทํ โข ปเนตํ, วิสาเข, สนฺธาย ภาสิตํ – ‘กปณํ มานุสกํ รชฺชํ ทิพฺพํ สุขํ อุปนิธายา’’’ติฯ

    ‘‘Yāni, visākhe, mānusakāni dve vassasatāni…pe… cattāri vassasatāni…pe… aṭṭha vassasatāni…pe… soḷasa vassasatāni paranimmitavasavattīnaṃ devānaṃ eso eko rattindivo . Tāya rattiyā tiṃsarattiyo māso. Tena māsena dvādasamāsiyo saṃvaccharo. Tena saṃvaccharena dibbāni soḷasa vassasahassāni paranimmitavasavattīnaṃ devānaṃ āyuppamāṇaṃ. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, visākhe, vijjati yaṃ idhekacco itthī vā puriso vā aṭṭhaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ upavasitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā paranimmitavasavattīnaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjeyya. Idaṃ kho panetaṃ, visākhe, sandhāya bhāsitaṃ – ‘kapaṇaṃ mānusakaṃ rajjaṃ dibbaṃ sukhaṃ upanidhāyā’’’ti.

    ‘‘ปาณํ น หเญฺญ น จทินฺนมาทิเย,

    ‘‘Pāṇaṃ na haññe na cadinnamādiye,

    มุสา น ภาเส น จ มชฺชโป สิยา;

    Musā na bhāse na ca majjapo siyā;

    อพฺรหฺมจริยา วิรเมยฺย เมถุนา,

    Abrahmacariyā virameyya methunā,

    รตฺติํ น ภุเญฺชยฺย วิกาลโภชนํฯ

    Rattiṃ na bhuñjeyya vikālabhojanaṃ.

    ‘‘มาลํ น ธาเร น จ คนฺธมาจเร,

    ‘‘Mālaṃ na dhāre na ca gandhamācare,

    มเญฺจ ฉมายํ ว สเยถ สนฺถเต;

    Mañce chamāyaṃ va sayetha santhate;

    เอตญฺหิ อฎฺฐงฺคิกมาหุโปสถํ,

    Etañhi aṭṭhaṅgikamāhuposathaṃ,

    พุเทฺธน ทุกฺขนฺตคุนา ปกาสิตํฯ

    Buddhena dukkhantagunā pakāsitaṃ.

    ‘‘จโนฺท จ สุริโย จ อุโภ สุทสฺสนา,

    ‘‘Cando ca suriyo ca ubho sudassanā,

    โอภาสยํ อนุปริยนฺติ ยาวตา;

    Obhāsayaṃ anupariyanti yāvatā;

    ตโมนุทา เต ปน อนฺตลิกฺขคา,

    Tamonudā te pana antalikkhagā,

    นเภ ปภาสนฺติ ทิสาวิโรจนาฯ

    Nabhe pabhāsanti disāvirocanā.

    ‘‘เอตสฺมิํ ยํ วิชฺชติ อนฺตเร ธนํ,

    ‘‘Etasmiṃ yaṃ vijjati antare dhanaṃ,

    มุตฺตา มณิ เวฬุริยญฺจ ภทฺทกํ;

    Muttā maṇi veḷuriyañca bhaddakaṃ;

    สิงฺคีสุวณฺณํ อถ วาปิ กญฺจนํ,

    Siṅgīsuvaṇṇaṃ atha vāpi kañcanaṃ,

    ยํ ชาตรูปํ หฎกนฺติ วุจฺจติฯ

    Yaṃ jātarūpaṃ haṭakanti vuccati.

    ‘‘อฎฺฐงฺคุเปตสฺส อุโปสถสฺส,

    ‘‘Aṭṭhaṅgupetassa uposathassa,

    กลมฺปิ เต นานุภวนฺติ โสฬสิํ;

    Kalampi te nānubhavanti soḷasiṃ;

    จนฺทปฺปภา ตารคณา จ สเพฺพฯ

    Candappabhā tāragaṇā ca sabbe.

    ‘‘ตสฺมา หิ นารี จ นโร จ สีลวา,

    ‘‘Tasmā hi nārī ca naro ca sīlavā,

    อฎฺฐงฺคุเปตํ อุปวสฺสุโปสถํ;

    Aṭṭhaṅgupetaṃ upavassuposathaṃ;

    ปุญฺญานิ กตฺวาน สุขุทฺรยานิ,

    Puññāni katvāna sukhudrayāni,

    อนินฺทิตา สคฺคมุเปนฺติ ฐาน’’นฺติฯ ตติยํ;

    Aninditā saggamupenti ṭhāna’’nti. tatiyaṃ;







    Footnotes:
    1. อ. นิ. ๓.๗๑
    2. a. ni. 3.71



    Related texts:



    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑-๘. สํขิตฺตูโปสถสุตฺตาทิวณฺณนา • 1-8. Saṃkhittūposathasuttādivaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact