Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๙. วิสาขาสุตฺตวณฺณนา

    9. Visākhāsuttavaṇṇanā

    ๑๙. นวเม ปุพฺพาราเมติ สาวตฺถิยา ปาจีนทิสาภาเค อนุราธปุรสฺส อุตฺตมเทวีวิหารสทิเส ฐาเน การิเต อาราเมฯ มิคารมาตุปาสาเทติ มิคารมาตุยา ปาสาเทฯ

    19. Navame pubbārāmeti sāvatthiyā pācīnadisābhāge anurādhapurassa uttamadevīvihārasadise ṭhāne kārite ārāme. Migāramātupāsādeti migāramātuyā pāsāde.

    ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – อตีเต สตสหสฺสกปฺปมตฺถเก ปทุมุตฺตรทสพลํ เอกา อุปาสิกา อญฺญตรํ อุปาสิกํ อตฺตโน อคฺคุปฎฺฐายิกฎฺฐาเน ฐเปนฺตํ ทิสฺวา ภควนฺตํ นิมเนฺตตฺวา พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสตสหสฺสสฺส ทานํ ทตฺวา ภควโต นิปจฺจการํ กตฺวา ‘‘อนาคเต ตุมฺหาทิสสฺส พุทฺธสฺส อคฺคุปฎฺฐายิกา ภเวยฺย’’นฺติ ปตฺถนํ อกาสิฯ สา กปฺปสตสหสฺสํ เทเวสุ จ มนุเสฺสสุ จ สํสริตฺวา อมฺหากํ ภควโต กาเล ภทฺทิยนคเร เมณฺฑกเสฎฺฐิปุตฺตสฺส ธนญฺชยเสฎฺฐิโน เคเห สุมนเทวิยา กุจฺฉิสฺมิํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ชาตกาเล จสฺสา วิสาขาติ นามํ อกํสุฯ สา ยทา ภควา ภทฺทิยนครํ อคมาสิ, ตทา ปญฺจหิ ทาริกาสเตหิ สทฺธิํ ภควโต ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา ปฐมทสฺสเนเนว โสตาปนฺนา อโหสิฯ

    Tatrāyaṃ anupubbikathā – atīte satasahassakappamatthake padumuttaradasabalaṃ ekā upāsikā aññataraṃ upāsikaṃ attano aggupaṭṭhāyikaṭṭhāne ṭhapentaṃ disvā bhagavantaṃ nimantetvā buddhappamukhassa bhikkhusatasahassassa dānaṃ datvā bhagavato nipaccakāraṃ katvā ‘‘anāgate tumhādisassa buddhassa aggupaṭṭhāyikā bhaveyya’’nti patthanaṃ akāsi. Sā kappasatasahassaṃ devesu ca manussesu ca saṃsaritvā amhākaṃ bhagavato kāle bhaddiyanagare meṇḍakaseṭṭhiputtassa dhanañjayaseṭṭhino gehe sumanadeviyā kucchismiṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Jātakāle cassā visākhāti nāmaṃ akaṃsu. Sā yadā bhagavā bhaddiyanagaraṃ agamāsi, tadā pañcahi dārikāsatehi saddhiṃ bhagavato paccuggamanaṃ katvā paṭhamadassaneneva sotāpannā ahosi.

    อปรภาเค สาวตฺถิยํ มิคารเสฎฺฐิปุตฺตสฺส ปุณฺณวฑฺฒนกุมารสฺส เคหํ คตา, ตตฺถ นํ สสุโร มิคารเสฎฺฐิ อุปการวเสน มาตุฎฺฐาเน ฐเปสิฯ ตสฺมา มิคารมาตาติ วุจฺจติฯ สา อตฺตโน มหลฺลตาปสาธนํ วิสฺสเชฺชตฺวา นวโกฎีหิ ภควโต ภิกฺขุสงฺฆสฺส จ วสนตฺถาย กรีสมเตฺต ภูมิภาเค อุปริภูมิยํ ปญฺจคพฺภสตานิ เหฎฺฐาภูมิยํ ปญฺจคพฺภสตานีติ คพฺภสหเสฺสหิ ปฎิมณฺฑิตํ ปาสาทํ กาเรสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘มิคารมาตุปาสาเท’’ติฯ

    Aparabhāge sāvatthiyaṃ migāraseṭṭhiputtassa puṇṇavaḍḍhanakumārassa gehaṃ gatā, tattha naṃ sasuro migāraseṭṭhi upakāravasena mātuṭṭhāne ṭhapesi. Tasmā migāramātāti vuccati. Sā attano mahallatāpasādhanaṃ vissajjetvā navakoṭīhi bhagavato bhikkhusaṅghassa ca vasanatthāya karīsamatte bhūmibhāge uparibhūmiyaṃ pañcagabbhasatāni heṭṭhābhūmiyaṃ pañcagabbhasatānīti gabbhasahassehi paṭimaṇḍitaṃ pāsādaṃ kāresi. Tena vuttaṃ ‘‘migāramātupāsāde’’ti.

    โกจิเทว อโตฺถติ กิญฺจิเทว ปโยชนํฯ รเญฺญติ ราชินิฯ ปฎิพโทฺธติ อายโตฺตฯ วิสาขาย ญาติกุลโต มณิมุตฺตาทิรจิตํ ตาทิสํ ภณฺฑชาตํ ตสฺสา ปณฺณาการตฺถาย เปสิตํ, ตํ นครทฺวารปฺปตฺตํ สุงฺกิกา ตตฺถ สุงฺกํ คณฺหนฺตา ตทนุรูปํ อคฺคเหตฺวา อติเรกํ คณฺหิํสุฯ ตํ สุตฺวา วิสาขา รโญฺญ ตมตฺถํ นิเวเทตุกามา ปติรูปปริวาเรน ราชนิเวสนํ อคมาสิ, ตสฺมิํ ขเณ ราชา มลฺลิกาย เทวิยา สทฺธิํ อเนฺตปุรํ คโต โหติฯ วิสาขา โอกาสํ อลภมานา ‘‘อิทานิ ลภิสฺสามิ, อิทานิ ลภิสฺสามี’’ติ โภชนเวลํ อติกฺกมิตฺวา ฉินฺนภตฺตา หุตฺวา ปกฺกามิฯ เอวํ ทฺวีหตีหํ คนฺตฺวาปิ โอกาสํ น ลภิเยวฯ อิติ ราชา อนิเวทิโตปิ ตสฺส อตฺถวินิจฺฉยสฺส โอกาสากรเณน ‘‘ยถาธิปฺปายํ น ตีเรตี’’ติ วุโตฺตฯ ตตฺถ ยถาธิปฺปายนฺติ อธิปฺปายานุรูปํฯ น ตีเรตีติ น นิฎฺฐาเปติฯ มหาอุปาสิกาย หิ ราชายตฺตสุงฺกเมว รโญฺญ ทตฺวา อิตรํ วิสฺสชฺชาเปตุํ อธิปฺปาโย, โส รญฺญา น ทิฎฺฐตฺตา เอว น ตีริโตฯ หนฺทาติ โวสฺสคฺคเตฺถ นิปาโตฯ ทิวา ทิวสฺสาติ ทิวสสฺส ทิวา, มชฺฌนฺหิเก กาเลติ อโตฺถฯ เกนจิเทว กรณีเยน ทฺวีหตีหํ ราชนิเวสนทฺวารํ คจฺฉนฺตี ตสฺส อตฺถสฺส อนิฎฺฐิตตฺตา นิรตฺถกเมว อุปสงฺกมิํ , ภควติ อุปสงฺกมนเมว ปน ทสฺสนานุตฺตริยาทิปฺปฎิลาภการณตฺตา สาตฺถกนฺติ เอวาหํ, ภเนฺต, อิมาย เวลาย อิธาคตาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสนฺตี มหาอุปาสิกา ‘‘อิธ เม, ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ

    Kocideva atthoti kiñcideva payojanaṃ. Raññeti rājini. Paṭibaddhoti āyatto. Visākhāya ñātikulato maṇimuttādiracitaṃ tādisaṃ bhaṇḍajātaṃ tassā paṇṇākāratthāya pesitaṃ, taṃ nagaradvārappattaṃ suṅkikā tattha suṅkaṃ gaṇhantā tadanurūpaṃ aggahetvā atirekaṃ gaṇhiṃsu. Taṃ sutvā visākhā rañño tamatthaṃ nivedetukāmā patirūpaparivārena rājanivesanaṃ agamāsi, tasmiṃ khaṇe rājā mallikāya deviyā saddhiṃ antepuraṃ gato hoti. Visākhā okāsaṃ alabhamānā ‘‘idāni labhissāmi, idāni labhissāmī’’ti bhojanavelaṃ atikkamitvā chinnabhattā hutvā pakkāmi. Evaṃ dvīhatīhaṃ gantvāpi okāsaṃ na labhiyeva. Iti rājā aniveditopi tassa atthavinicchayassa okāsākaraṇena ‘‘yathādhippāyaṃ na tīretī’’ti vutto. Tattha yathādhippāyanti adhippāyānurūpaṃ. Na tīretīti na niṭṭhāpeti. Mahāupāsikāya hi rājāyattasuṅkameva rañño datvā itaraṃ vissajjāpetuṃ adhippāyo, so raññā na diṭṭhattā eva na tīrito. Handāti vossaggatthe nipāto. Divā divassāti divasassa divā, majjhanhike kāleti attho. Kenacideva karaṇīyena dvīhatīhaṃ rājanivesanadvāraṃ gacchantī tassa atthassa aniṭṭhitattā niratthakameva upasaṅkamiṃ , bhagavati upasaṅkamanameva pana dassanānuttariyādippaṭilābhakāraṇattā sātthakanti evāhaṃ, bhante, imāya velāya idhāgatāti imamatthaṃ dassentī mahāupāsikā ‘‘idha me, bhante’’tiādimāha.

    เอตมตฺถนฺติ เอตํ ปรายตฺตตาย อธิปฺปายาสมิชฺฌนสงฺขาตํ อตฺถํ วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ อิมํ ปราธีนาปราธีนวุตฺตีสุ อาทีนวานิสํสปริทีปกํ อุทานํ อุทาเนสิฯ

    Etamatthanti etaṃ parāyattatāya adhippāyāsamijjhanasaṅkhātaṃ atthaṃ viditvā. Imaṃ udānanti imaṃ parādhīnāparādhīnavuttīsu ādīnavānisaṃsaparidīpakaṃ udānaṃ udānesi.

    ตตฺถ สพฺพํ ปรวสํ ทุกฺขนฺติ ยํ กิญฺจิ อตฺถชาตํ ปโยชนํ ปรวสํ ปรายตฺตํ อตฺตโน อิจฺฉาย นิปฺผาเทตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย ทุกฺขํ ทุกฺขาวหํ โหตีติ อโตฺถฯ สพฺพํ อิสฺสริยํ สุขนฺติ ทุวิธํ อิสฺสริยํ โลกิยํ โลกุตฺตรญฺจฯ ตตฺถ โลกิยํ ราชิสฺสริยาทิ เจว โลกิยชฺฌานาภิญฺญานิพฺพตฺตํ จิตฺติสฺสริยญฺจ, โลกุตฺตรํ มคฺคผลาธิคมนิมิตฺตํ นิโรธิสฺสริยํฯ เตสุ ยํ จกฺกวตฺติภาวปริโยสานํ มนุเสฺสสุ อิสฺสริยํ, ยญฺจ สกฺกาทีนํ ตสฺมิํ ตสฺมิํ เทวนิกาเย อาธิปจฺจภูตํ อิสฺสริยํ, ตทุภยํ ยทิปิ กมฺมานุภาเวน ยถิจฺฉิตนิปฺผตฺติยา สุขนิมิตฺตตาย สุขํ, วิปริณามทุกฺขตาย ปน สพฺพถา ทุกฺขเมวฯ ตถา อนิจฺจนฺติกตาย โลกิยชฺฌานนิพฺพตฺตํ จิตฺติสฺสริยํ, นิโรธิสฺสริยเมว ปน โลกธเมฺมหิ อกมฺปนียโต อนิวตฺติสภาวตฺตา จ เอกนฺตสุขํ นามฯ ยํ ปเนตฺถ สพฺพเตฺถว อปราธีนตาย ลภติ จิตฺตสุขํ, ตํ สนฺธาย สตฺถา ‘‘สพฺพํ อิสฺสริยํ สุข’’นฺติ อาหฯ

    Tattha sabbaṃ paravasaṃ dukkhanti yaṃ kiñci atthajātaṃ payojanaṃ paravasaṃ parāyattaṃ attano icchāya nipphādetuṃ asakkuṇeyyatāya dukkhaṃ dukkhāvahaṃ hotīti attho. Sabbaṃ issariyaṃ sukhanti duvidhaṃ issariyaṃ lokiyaṃ lokuttarañca. Tattha lokiyaṃ rājissariyādi ceva lokiyajjhānābhiññānibbattaṃ cittissariyañca, lokuttaraṃ maggaphalādhigamanimittaṃ nirodhissariyaṃ. Tesu yaṃ cakkavattibhāvapariyosānaṃ manussesu issariyaṃ, yañca sakkādīnaṃ tasmiṃ tasmiṃ devanikāye ādhipaccabhūtaṃ issariyaṃ, tadubhayaṃ yadipi kammānubhāvena yathicchitanipphattiyā sukhanimittatāya sukhaṃ, vipariṇāmadukkhatāya pana sabbathā dukkhameva. Tathā aniccantikatāya lokiyajjhānanibbattaṃ cittissariyaṃ, nirodhissariyameva pana lokadhammehi akampanīyato anivattisabhāvattā ca ekantasukhaṃ nāma. Yaṃ panettha sabbattheva aparādhīnatāya labhati cittasukhaṃ, taṃ sandhāya satthā ‘‘sabbaṃ issariyaṃ sukha’’nti āha.

    สาธารเณ วิหญฺญนฺตีติ อิทํ ‘‘สพฺพํ ปรวสํ ทุกฺข’’นฺติ อิมสฺส ปทสฺส อตฺถวิวรณํฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – สาธารเณ ปโยชเน สาเธตเพฺพ สติ ตสฺส ปราธีนตาย ยถาธิปฺปายํ อนิปฺผาทนโต อิเม สตฺตา วิหญฺญนฺติ วิฆาตํ อาปชฺชนฺติ กิลมนฺติฯ กสฺมา? โยคา หิ ทุรติกฺกมาติ ยสฺมา กามโยคภวโยคทิฎฺฐิโยคอวิชฺชาโยคา อนาทิกาลภาวิตา อนุปจิตกุสลสมฺภาเรหิ ปชหิตุํ อสกฺกุเณยฺยตาย ทุรติกฺกมาฯ เอเตสุ ทิฎฺฐิโยโค ปฐมมเคฺคน อติกฺกมิตโพฺพ, กามโยโค ตติยมเคฺคนฯ อิตเร อคฺคมเคฺคนฯ อิติ อริยมคฺคานํ ทุรธิคมนียตฺตา อิเม โยคา ทุรติกฺกมาฯ ตสฺมา กามโยคาทิวเสน อิจฺฉิตาลาภเหตุ สตฺตา วิหญฺญนฺติ, อสาธารเณ ปน จิตฺติสฺสริเย นิโรธิสฺสริเย จ สติ น กทาจิปิ วิฆาตสฺส สมฺภโวติ อธิปฺปาโยฯ

    Sādhāraṇe vihaññantīti idaṃ ‘‘sabbaṃ paravasaṃ dukkha’’nti imassa padassa atthavivaraṇaṃ. Ayañhettha attho – sādhāraṇe payojane sādhetabbe sati tassa parādhīnatāya yathādhippāyaṃ anipphādanato ime sattā vihaññanti vighātaṃ āpajjanti kilamanti. Kasmā? Yogā hi duratikkamāti yasmā kāmayogabhavayogadiṭṭhiyogaavijjāyogā anādikālabhāvitā anupacitakusalasambhārehi pajahituṃ asakkuṇeyyatāya duratikkamā. Etesu diṭṭhiyogo paṭhamamaggena atikkamitabbo, kāmayogo tatiyamaggena. Itare aggamaggena. Iti ariyamaggānaṃ duradhigamanīyattā ime yogā duratikkamā. Tasmā kāmayogādivasena icchitālābhahetu sattā vihaññanti, asādhāraṇe pana cittissariye nirodhissariye ca sati na kadācipi vighātassa sambhavoti adhippāyo.

    อถ วา สพฺพํ ปรวสนฺติ ยํ อตฺตโน อญฺญปฺปฎิพทฺธวุตฺติสงฺขาตํ, ตํ สพฺพํ อนิจฺจสภาวตาย ทุกฺขํฯ ‘‘ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺข’’นฺติ หิ วุตฺตํฯ สพฺพํ อิสฺสริยนฺติ ยํ สพฺพสงฺขตนิสฺสฎํ อิสฺสริยฎฺฐานตาย อิสฺสริยนฺติ ลทฺธนามํ นิพฺพานํ, ตํ อุปาทิเสสาทิวิภาคํ สพฺพํ สุขํฯ ‘‘นิพฺพานํ ปรมํ สุข’’นฺติ (ธ. ป. ๒๐๓-๒๐๔) หิ วุตฺตํฯ สาธารเณติ เอวํ ทุกฺขสุเข ววตฺถิเต อิเม สตฺตา พหุสาธารเณ ทุกฺขการเณ นิมุคฺคา หุตฺวา วิหญฺญนฺติฯ กสฺมา? โยคา หิ ทุรติกฺกมาติ ยสฺมา เต สพฺพตฺถ นิมุชฺชนสฺส เหตุภูตา กามโยคาทโย ทุรติกฺกมา, ตสฺมา ตฺวมฺปิ วิสาเข ปรายตฺตมตฺถํ ปเตฺถตฺวา อลภมานา วิหญฺญสีติ อธิปฺปาโยฯ

    Atha vā sabbaṃ paravasanti yaṃ attano aññappaṭibaddhavuttisaṅkhātaṃ, taṃ sabbaṃ aniccasabhāvatāya dukkhaṃ. ‘‘Yadaniccaṃ taṃ dukkha’’nti hi vuttaṃ. Sabbaṃ issariyanti yaṃ sabbasaṅkhatanissaṭaṃ issariyaṭṭhānatāya issariyanti laddhanāmaṃ nibbānaṃ, taṃ upādisesādivibhāgaṃ sabbaṃ sukhaṃ. ‘‘Nibbānaṃ paramaṃ sukha’’nti (dha. pa. 203-204) hi vuttaṃ. Sādhāraṇeti evaṃ dukkhasukhe vavatthite ime sattā bahusādhāraṇe dukkhakāraṇe nimuggā hutvā vihaññanti. Kasmā? Yogā hi duratikkamāti yasmā te sabbattha nimujjanassa hetubhūtā kāmayogādayo duratikkamā, tasmā tvampi visākhe parāyattamatthaṃ patthetvā alabhamānā vihaññasīti adhippāyo.

    นวมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Navamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๙. วิสาขาสุตฺตํ • 9. Visākhāsuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact