Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    อภิธมฺมปิฎเก

    Abhidhammapiṭake

    ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา

    Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā

    วีสติคาถาวณฺณนา

    Vīsatigāthāvaṇṇanā

    . ธมฺมสํวณฺณนายํ สตฺถริ ปณามกรณํ ธมฺมสฺส สฺวากฺขาตภาเวน สตฺถริ ปสาทชนนตฺถํ, สตฺถุ จ อวิตถเทสนภาวปฺปกาสเนน ธเมฺม ปสาทชนนตฺถํฯ ตทุภยปฺปสาทา หิ ธมฺมสมฺปฎิปตฺติ มหโต จ อตฺถสฺส สิทฺธิ โหตีติฯ อถ วา รตนตฺตยปณามวจนํ อตฺตโน รตนตฺตยปสาทสฺส วิญฺญาปนตฺถํ, ตํ ปน วิญฺญูนํ จิตฺตาราธนตฺถํ, ตํ อฎฺฐกถาย คาหณตฺถํ, ตํ สพฺพสมฺปตฺตินิปฺผาทนตฺถนฺติฯ อิทํ ปน อาจริเยน อธิเปฺปตปฺปโยชนํ อนฺตรายวิโสสนํฯ วกฺขติ หิ ‘‘นิปจฺจการเสฺสตสฺส…เป.… อเสสโต’’ติฯ รตนตฺตยปณามกรณญฺหิ อนฺตรายกราปุญฺญวิฆาตกรปุญฺญวิเสสภาวโต มงฺคลภาวโต ภยาทิอุปทฺทวนิวารณโต จ อนฺตรายวิโสสเน สมตฺถํ โหติฯ กถํ ปเนตสฺสาปุญฺญวิฆาตกราทิภาโว วิชานิตโพฺพติ? ‘‘ยสฺมิํ มหานาม สมเย อริยสาวโก ตถาคตํ อนุสฺสรติ, เนวสฺส ตสฺมิํ สมเย ราคปริยุฎฺฐิตํ จิตฺตํ โหตี’’ติอาทิวจนโต (อ. นิ. ๖.๑๐; ๑๑.๑๑), ‘‘ปูชา จ ปูชเนยฺยานํ, เอตํ มงฺคลมุตฺตม’’นฺติ (ขุ. ปา. ๕.๓; สุ. นิ. ๒๖๒) จ, ‘‘เอวํ พุทฺธํ สรนฺตานํ, ธมฺมํ สงฺฆญฺจ ภิกฺขโวฯ ภยํ วา ฉมฺภิตตฺตํ วา, โลมหํโส น เหสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๑.๒๔๙) จ วจนโตติฯ

    1. Dhammasaṃvaṇṇanāyaṃ satthari paṇāmakaraṇaṃ dhammassa svākkhātabhāvena satthari pasādajananatthaṃ, satthu ca avitathadesanabhāvappakāsanena dhamme pasādajananatthaṃ. Tadubhayappasādā hi dhammasampaṭipatti mahato ca atthassa siddhi hotīti. Atha vā ratanattayapaṇāmavacanaṃ attano ratanattayapasādassa viññāpanatthaṃ, taṃ pana viññūnaṃ cittārādhanatthaṃ, taṃ aṭṭhakathāya gāhaṇatthaṃ, taṃ sabbasampattinipphādanatthanti. Idaṃ pana ācariyena adhippetappayojanaṃ antarāyavisosanaṃ. Vakkhati hi ‘‘nipaccakārassetassa…pe… asesato’’ti. Ratanattayapaṇāmakaraṇañhi antarāyakarāpuññavighātakarapuññavisesabhāvato maṅgalabhāvato bhayādiupaddavanivāraṇato ca antarāyavisosane samatthaṃ hoti. Kathaṃ panetassāpuññavighātakarādibhāvo vijānitabboti? ‘‘Yasmiṃ mahānāma samaye ariyasāvako tathāgataṃ anussarati, nevassa tasmiṃ samaye rāgapariyuṭṭhitaṃ cittaṃ hotī’’tiādivacanato (a. ni. 6.10; 11.11), ‘‘pūjā ca pūjaneyyānaṃ, etaṃ maṅgalamuttama’’nti (khu. pā. 5.3; su. ni. 262) ca, ‘‘evaṃ buddhaṃ sarantānaṃ, dhammaṃ saṅghañca bhikkhavo. Bhayaṃ vā chambhitattaṃ vā, lomahaṃso na hessatī’’ti (saṃ. ni. 1.249) ca vacanatoti.

    ตตฺถ ยสฺส สตฺถุโน ปณามํ กตฺตุกาโม, ตสฺส คุณวิเสสทสฺสนตฺถํ ‘‘กรุณา วิยา’’ติอาทิมาหฯ คุณวิเสสวา หิ ปณามารโห โหติ, ปณามารเห จ กโต ปณาโม วุตฺตปฺปโยชนสิทฺธิกโรว โหตีติฯ ภควโต จ เทสนา วินยปิฎเก กรุณาปฺปธานา, สุตฺตนฺตปิฎเก ปญฺญากรุณาปฺปธานาฯ เตเนว จ การเณน วินยปิฎกสฺส สํวณฺณนํ กโรเนฺตน กรุณาปฺปธานา ภควโต โถมนา กตา, อาคมสํวณฺณนญฺจ กโรเนฺตน อุภยปฺปธานา, อภิธมฺมเทสนา ปน ปญฺญาปฺปธานาติ กตฺวา ปญฺญาปฺปธานเมว โถมนํ กโรโนฺต ‘‘กรุณา วิย สเตฺตสู’’ติ กรุณํ อุปมาภาเวน คเหตฺวา ปญฺญาย โถเมติฯ

    Tattha yassa satthuno paṇāmaṃ kattukāmo, tassa guṇavisesadassanatthaṃ ‘‘karuṇā viyā’’tiādimāha. Guṇavisesavā hi paṇāmāraho hoti, paṇāmārahe ca kato paṇāmo vuttappayojanasiddhikarova hotīti. Bhagavato ca desanā vinayapiṭake karuṇāppadhānā, suttantapiṭake paññākaruṇāppadhānā. Teneva ca kāraṇena vinayapiṭakassa saṃvaṇṇanaṃ karontena karuṇāppadhānā bhagavato thomanā katā, āgamasaṃvaṇṇanañca karontena ubhayappadhānā, abhidhammadesanā pana paññāppadhānāti katvā paññāppadhānameva thomanaṃ karonto ‘‘karuṇā viya sattesū’’ti karuṇaṃ upamābhāvena gahetvā paññāya thometi.

    ตตฺถ กรุณา วิยาติ นิทสฺสนวจนเมตํ, ยสฺส ยถา กรุณา สเพฺพสุ สเตฺตสุ ปวตฺติตฺถ, เอวํ สเพฺพสุ เญยฺยธเมฺมสุ ปญฺญาปิ ปวตฺติตฺถาติ อโตฺถฯ สเตฺตสูติ วิสยนิทสฺสนเมตํฯ ปญฺญาติ นิทเสฺสตพฺพธมฺมนิทสฺสนํฯ ยสฺสาติ ตทธิฎฺฐานปุคฺคลนิทสฺสนํฯ มเหสิโนติ ตพฺพิเสสนํฯ เญยฺยธเมฺมสูติ ปญฺญาวิสยนิทสฺสนํฯ สเพฺพสูติ ตพฺพิเสสนํฯ ปวตฺติตฺถาติ กิริยานิทสฺสนํฯ ยถารุจีติ วสีภาวนิทสฺสนํฯ

    Tattha karuṇā viyāti nidassanavacanametaṃ, yassa yathā karuṇā sabbesu sattesu pavattittha, evaṃ sabbesu ñeyyadhammesu paññāpi pavattitthāti attho. Sattesūti visayanidassanametaṃ. Paññāti nidassetabbadhammanidassanaṃ. Yassāti tadadhiṭṭhānapuggalanidassanaṃ. Mahesinoti tabbisesanaṃ. Ñeyyadhammesūti paññāvisayanidassanaṃ. Sabbesūti tabbisesanaṃ. Pavattitthāti kiriyānidassanaṃ. Yathārucīti vasībhāvanidassanaṃ.

    ตตฺถ กิรตีติ กรุณา, ปรทุกฺขํ วิกฺขิปติ อปเนตีติ อโตฺถฯ รูปาทีสุ สตฺตา วิสตฺตาติ สตฺตาฯ ตสฺสา ปน ปญฺญตฺติยา ขนฺธสนฺตาเน นิรุฬฺหภาวโต นิจฺฉนฺทราคาปิ ‘‘สตฺตา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ปชานาตีติ ปญฺญา, ยถาสภาวํ ปกาเรหิ ปฎิวิชฺฌตีติ อโตฺถฯ ยสฺสาติ อนิยมนํฯ ‘‘ตสฺส ปาเท นมสฺสิตฺวา’’ติ เอเตน นิยมนํ เวทิตพฺพํฯ มเหสีติ มหเนฺต สีลกฺขนฺธาทโย เอสิ คเวสีติ มเหสิฯ ญาตพฺพาติ เญยฺยา, สภาวธารณาทินา อเตฺถน ธมฺมาฯ ตตฺถ ‘‘เญยฺยา’’ติ วจเนน ธมฺมานํ อเญยฺยตฺตํ ปฎิกฺขิปติฯ ‘‘ธมฺมา’’ติ วจเนน เญยฺยานํ สตฺตชีวาทิภาวํ ปฎิกฺขิปติฯ เญยฺยา จ เต ธมฺมา จาติ เญยฺยธมฺมาฯ สเพฺพสูติ อนวเสสปริยาทานํฯ เตน อญฺญาตาภาวํ ทเสฺสติฯ ปวตฺติตฺถาติ อุปฺปชฺชิตฺถฯ ยถารุจีติ ยา ยา รุจิ ยถารุจิ, รุจีติ จ อิจฺฉา, กตฺตุกามตา สาฯ ยา ยา ปวตฺตา ตปฺปเภทา, ยถา วา รุจิ ตถา, รุจิอนุรูปํ ปวตฺตา ‘‘ยถารุจิ ปวตฺติตฺถา’’ติ วุจฺจติฯ ยถา ยถา วา รุจิ ปวตฺตา, ตถา ตถา ปวตฺตา ปญฺญา ‘‘ยถารุจิ ปวตฺติตฺถา’’ติ วุจฺจติฯ

    Tattha kiratīti karuṇā, paradukkhaṃ vikkhipati apanetīti attho. Rūpādīsu sattā visattāti sattā. Tassā pana paññattiyā khandhasantāne niruḷhabhāvato nicchandarāgāpi ‘‘sattā’’ti vuccanti. Pajānātīti paññā, yathāsabhāvaṃ pakārehi paṭivijjhatīti attho. Yassāti aniyamanaṃ. ‘‘Tassa pāde namassitvā’’ti etena niyamanaṃ veditabbaṃ. Mahesīti mahante sīlakkhandhādayo esi gavesīti mahesi. Ñātabbāti ñeyyā, sabhāvadhāraṇādinā atthena dhammā. Tattha ‘‘ñeyyā’’ti vacanena dhammānaṃ añeyyattaṃ paṭikkhipati. ‘‘Dhammā’’ti vacanena ñeyyānaṃ sattajīvādibhāvaṃ paṭikkhipati. Ñeyyā ca te dhammā cāti ñeyyadhammā. Sabbesūti anavasesapariyādānaṃ. Tena aññātābhāvaṃ dasseti. Pavattitthāti uppajjittha. Yathārucīti yā yā ruci yathāruci, rucīti ca icchā, kattukāmatā sā. Yā yā pavattā tappabhedā, yathā vā ruci tathā, rucianurūpaṃ pavattā ‘‘yathāruci pavattitthā’’ti vuccati. Yathā yathā vā ruci pavattā, tathā tathā pavattā paññā ‘‘yathāruci pavattitthā’’ti vuccati.

    ตตฺถ ภควติ ปวตฺตาว กรุณา ภควโต ปญฺญาย นิทสฺสนนฺติ คเหตพฺพาฯ สา หิ อสาธารณา มหากรุณา, น อญฺญาฯ ยสฺสาติ จ กรุณาปญฺญานํ อุภินฺนมฺปิ อาธารปุคฺคลนิทสฺสนํฯ น หิ นิราธารา กรุณา อตฺถีติ ‘‘กรุณา’’ติ วุเตฺต ตทาธารภูโต ปุคฺคโล นิทเสฺสตโพฺพ โหติ, โส จ อิธ อโญฺญ วุโตฺต นตฺถิ, น จ อาสนฺนํ วเชฺชตฺวา ทูรสฺส คหเณ ปโยชนํ อตฺถีติ ‘‘ยสฺสา’’ติ นิทสฺสิตปุคฺคโลว กรุณาย อาธาโรฯ เตน อิทํ วุตฺตํ โหติ ‘‘ยสฺส อตฺตโน กรุณา วิย ปญฺญาปิ ปวตฺติตฺถา’’ติฯ กถํ ปน กรุณา สเตฺตสุ ปวตฺติตฺถ ยถา ปญฺญาปิ ธเมฺมสุ ปวตฺติตฺถาติ? นิรวเสสโต ยถารุจิ จฯ ภควโต หิ กรุณา กญฺจิ สตฺตํ อวเชฺชตฺวา สเพฺพสุ สเตฺตสุ นิรวเสเสสุ ปวตฺตติ, ปวตฺตมานา จ รุจิวเสน เอกสฺมิํ อเนเกสุ จ อเญฺญหิ อสาธารณา ปวตฺตติฯ น หิ อเญฺญสํ ‘‘มโหฆปกฺขนฺทานํ สตฺตานํ นตฺถโญฺญ โกจิ โอฆา อุทฺธตา อญฺญตฺร มยา’’ติ ปสฺสนฺตานํ กรุโณกฺกมนํ โหติ ยถา ภควโตติฯ ปญฺญาปิ ภควโต สเพฺพสุ ธเมฺมสุ นิรวเสเสสุ ปวตฺตติ, ปวตฺตมานา จ เอกสฺมิํ อเนเกสุ จ ธเมฺมสุ สภาวกิจฺจาทิชานเนน อนาวรณา อสาธารณา ปวตฺตติ ยถารุจิ, ยถา จ ปสฺสนฺตสฺส ภควโต กรุณา ยถารุจิ ปวตฺตติฯ ตํ สพฺพํ ปฎิสมฺภิทามเคฺค มหากรุณาญาณวิภงฺควเสน ชานิตพฺพํ, ปญฺญาย จ ยถารุจิ ปวตฺติ เสสาสาธารณญาณวิภงฺคาทิวเสนฯ ปญฺญาคหเณน จ ตีสุ กาเลสุ อปฺปฎิหตญาณํ จตุสจฺจญาณํ จตุปฎิสมฺภิทาญาณํ, กรุณาคหเณน มหากรุณาสมาปตฺติญาณสฺส คหิตตฺตา ตํ วเชฺชตฺวา อญฺญานิ อสาธารณญาณานิ จตุเวสารชฺชญาณํ ทสพลานิ ฉ อภิญฺญา จตุจตฺตาลีส ญาณวตฺถูนิ สตฺตสตฺตติ ญาณวตฺถูนีติ เอวมาทโย อเนเก ปญฺญาปฺปเภทา สงฺคยฺหนฺติ, ตสฺมา ตสฺสา ตสฺสา ปญฺญาย ปวตฺติวเสน ยถารุจิ ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ เตนาห ‘‘กรุณา วิย…เป.… ยถารุจี’’ติฯ

    Tattha bhagavati pavattāva karuṇā bhagavato paññāya nidassananti gahetabbā. Sā hi asādhāraṇā mahākaruṇā, na aññā. Yassāti ca karuṇāpaññānaṃ ubhinnampi ādhārapuggalanidassanaṃ. Na hi nirādhārā karuṇā atthīti ‘‘karuṇā’’ti vutte tadādhārabhūto puggalo nidassetabbo hoti, so ca idha añño vutto natthi, na ca āsannaṃ vajjetvā dūrassa gahaṇe payojanaṃ atthīti ‘‘yassā’’ti nidassitapuggalova karuṇāya ādhāro. Tena idaṃ vuttaṃ hoti ‘‘yassa attano karuṇā viya paññāpi pavattitthā’’ti. Kathaṃ pana karuṇā sattesu pavattittha yathā paññāpi dhammesu pavattitthāti? Niravasesato yathāruci ca. Bhagavato hi karuṇā kañci sattaṃ avajjetvā sabbesu sattesu niravasesesu pavattati, pavattamānā ca rucivasena ekasmiṃ anekesu ca aññehi asādhāraṇā pavattati. Na hi aññesaṃ ‘‘mahoghapakkhandānaṃ sattānaṃ natthañño koci oghā uddhatā aññatra mayā’’ti passantānaṃ karuṇokkamanaṃ hoti yathā bhagavatoti. Paññāpi bhagavato sabbesu dhammesu niravasesesu pavattati, pavattamānā ca ekasmiṃ anekesu ca dhammesu sabhāvakiccādijānanena anāvaraṇā asādhāraṇā pavattati yathāruci, yathā ca passantassa bhagavato karuṇā yathāruci pavattati. Taṃ sabbaṃ paṭisambhidāmagge mahākaruṇāñāṇavibhaṅgavasena jānitabbaṃ, paññāya ca yathāruci pavatti sesāsādhāraṇañāṇavibhaṅgādivasena. Paññāgahaṇena ca tīsu kālesu appaṭihatañāṇaṃ catusaccañāṇaṃ catupaṭisambhidāñāṇaṃ, karuṇāgahaṇena mahākaruṇāsamāpattiñāṇassa gahitattā taṃ vajjetvā aññāni asādhāraṇañāṇāni catuvesārajjañāṇaṃ dasabalāni cha abhiññā catucattālīsa ñāṇavatthūni sattasattati ñāṇavatthūnīti evamādayo aneke paññāppabhedā saṅgayhanti, tasmā tassā tassā paññāya pavattivasena yathāruci pavatti veditabbā. Tenāha ‘‘karuṇā viya…pe… yathārucī’’ti.

    ตตฺถ กรุณาคหเณน มหาโพธิยา มูลํ ทเสฺสติฯ มหาทุกฺขสมฺพาธปฺปฎิปนฺนญฺหิ สตฺตนิกายํ ทิสฺวา ‘‘ตสฺส นตฺถโญฺญ โกจิ สรณํ, อหเมตํ มุโตฺต โมเจสฺสามี’’ติ กรุณาย สโญฺจทิตมานโส อภินีหารํ ทีปงฺกรสฺส ภควโต ปาทมูเล กตฺวา โพธิสมฺภาเร สโมธาเนตฺวา อนุปุเพฺพน สโมฺพธิํ ปโตฺตติ กรุณา มหาโพธิยา มูลนฺติฯ สเตฺตสูติ เอเตน มหาโพธิยา ปโยชนํ ทเสฺสติฯ สตฺตา หิ มหาโพธิํ ปโยเชนฺติฯ สตฺตสนฺตารณตฺถญฺหิ สพฺพญฺญุตา อภิปตฺถิตาฯ ยถาห –

    Tattha karuṇāgahaṇena mahābodhiyā mūlaṃ dasseti. Mahādukkhasambādhappaṭipannañhi sattanikāyaṃ disvā ‘‘tassa natthañño koci saraṇaṃ, ahametaṃ mutto mocessāmī’’ti karuṇāya sañcoditamānaso abhinīhāraṃ dīpaṅkarassa bhagavato pādamūle katvā bodhisambhāre samodhānetvā anupubbena sambodhiṃ pattoti karuṇā mahābodhiyā mūlanti. Sattesūti etena mahābodhiyā payojanaṃ dasseti. Sattā hi mahābodhiṃ payojenti. Sattasantāraṇatthañhi sabbaññutā abhipatthitā. Yathāha –

    ‘‘กิํ เม เอเกน ติเณฺณน, ปุริเสน ถามทสฺสินา;

    ‘‘Kiṃ me ekena tiṇṇena, purisena thāmadassinā;

    สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตฺวา, สนฺตาเรสฺสํ สเทวก’’นฺติฯ (พุ. วํ. ๒. ๕๖);

    Sabbaññutaṃ pāpuṇitvā, santāressaṃ sadevaka’’nti. (bu. vaṃ. 2. 56);

    ปญฺญาคหเณน มหาโพธิํ ทเสฺสติฯ สพฺพญฺญุตาย หิ ปทฎฺฐานภูตํ มคฺคญาณํ, มคฺคญาณปทฎฺฐานญฺจ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ‘‘มหาโพธี’’ติ วุจฺจตีติฯ เญยฺยธเมฺมสุ สเพฺพสูติ เอเตน สนฺตาเรตพฺพานํ สตฺตานํ อภิเญฺญยฺยปริเญฺญยฺยปหาตพฺพภาเวตพฺพสจฺฉิกาตเพฺพ ขนฺธายตนธาตุสจฺจินฺทฺริยปฎิจฺจสมุปฺปาทสติปฎฺฐานาทิเภเท กุสลาทิเภเท จ สพฺพธเมฺม ทเสฺสติฯ ปวตฺติตฺถ ยถารุจีติ เอเตน ปฎิเวธปจฺจเวกฺขณปุพฺพงฺคมเทสนาญาณปฺปวตฺติทีปเนน ปโยชนสมฺปตฺติํ ทเสฺสติฯ สพฺพธมฺมานญฺหิ ปฎิเวธญาณํ โพธิปลฺลเงฺก อโหสิฯ มคฺคญาณเมว หิ ตนฺติฯ ปจฺจเวกฺขณญาณญฺจ วิเสเสน รตนฆรสตฺตาเห อโหสิฯ เอวํ ปฎิวิทฺธปจฺจเวกฺขิตานํ ธมฺมานํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนาทีสุ เทสนาญาณํ อโหสิ, วิเสเสน จ ปณฺฑุกมฺพลสิลายํ สตฺตปฺปกรณเทสนายนฺติฯ เทสนาญาเณน จ เทเสโนฺต ภควา สเตฺตสุ หิตปฎิปตฺติํ ปฎิปชฺชตีติฯ เอเตน สเพฺพน อตฺตหิตปฎิปตฺติํ ปรหิตปฎิปตฺติญฺจ ทเสฺสติฯ มหาโพธิทสฺสเนน หิ อตฺตหิตปฎิปตฺติ, อิตเรหิปิ ปรหิตปฎิปตฺติ ทสฺสิตาติฯ เตน อตฺตหิตปฎิปนฺนาทีสุ จตูสุ ปุคฺคเลสุ ภควโต จตุตฺถปุคฺคลภาวํ ทเสฺสติ, เตน จ อนุตฺตรทกฺขิเณยฺยภาวํ นิรติสยปณามารหภาวญฺจ อตฺตโน จ กิริยาย เขตฺตงฺคตภาวํ ทเสฺสติฯ

    Paññāgahaṇena mahābodhiṃ dasseti. Sabbaññutāya hi padaṭṭhānabhūtaṃ maggañāṇaṃ, maggañāṇapadaṭṭhānañca sabbaññutaññāṇaṃ ‘‘mahābodhī’’ti vuccatīti. Ñeyyadhammesu sabbesūti etena santāretabbānaṃ sattānaṃ abhiññeyyapariññeyyapahātabbabhāvetabbasacchikātabbe khandhāyatanadhātusaccindriyapaṭiccasamuppādasatipaṭṭhānādibhede kusalādibhede ca sabbadhamme dasseti. Pavattittha yathārucīti etena paṭivedhapaccavekkhaṇapubbaṅgamadesanāñāṇappavattidīpanena payojanasampattiṃ dasseti. Sabbadhammānañhi paṭivedhañāṇaṃ bodhipallaṅke ahosi. Maggañāṇameva hi tanti. Paccavekkhaṇañāṇañca visesena ratanagharasattāhe ahosi. Evaṃ paṭividdhapaccavekkhitānaṃ dhammānaṃ dhammacakkappavattanādīsu desanāñāṇaṃ ahosi, visesena ca paṇḍukambalasilāyaṃ sattappakaraṇadesanāyanti. Desanāñāṇena ca desento bhagavā sattesu hitapaṭipattiṃ paṭipajjatīti. Etena sabbena attahitapaṭipattiṃ parahitapaṭipattiñca dasseti. Mahābodhidassanena hi attahitapaṭipatti, itarehipi parahitapaṭipatti dassitāti. Tena attahitapaṭipannādīsu catūsu puggalesu bhagavato catutthapuggalabhāvaṃ dasseti, tena ca anuttaradakkhiṇeyyabhāvaṃ niratisayapaṇāmārahabhāvañca attano ca kiriyāya khettaṅgatabhāvaṃ dasseti.

    เอตฺถ จ กรุณาคหเณน โลกิเยสุ มหคฺคตภาวปฺปตฺตาสาธารณคุณทีปนโต สพฺพโลกิยคุณสมฺปตฺติ ภควโต ทสฺสิตา โหติ, ปญฺญาคหเณนปิ สพฺพญฺญุตญฺญาณปทฎฺฐานมคฺคญาณทีปนโต สพฺพโลกุตฺตรคุณสมฺปตฺติฯ กรุณาวจเนน จ อุปคมนํ นิรุปกฺกิเลสํ, ปญฺญาวจเนน อปคมนํ ทเสฺสติฯ อุปคมนํ ทเสฺสโนฺต จ โลเก สญฺชาตสํวฑฺฒภาวํ ทเสฺสติ, อปคมนํ ทเสฺสโนฺต โลเกน อนุปลิตฺตตํฯ ‘‘กรุณา วิย สเตฺตสู’’ติ จ โลกสมญฺญานุรูปํ ภควโต ปวตฺติํ ทเสฺสติ, ‘‘เญยฺยธเมฺมสุ สเพฺพสุ ยถารุจิ ปญฺญา ปวตฺติตฺถา’’ติ เอเตน สมญฺญาย อนติธาวนํฯ สพฺพธมฺมสภาวานวโพเธ หิ สติ สมญฺญํ อติธาวิตฺวา ‘‘สโตฺต ชีโว อตฺถี’’ติ ปรามสนํ โหตีติฯ สเพฺพสญฺจ พุทฺธคุณานํ กรุณา อาทิ ตนฺนิทานภาวโต, ปญฺญา ปริโยสานํ ตโต อุตฺตริกรณียาภาวโตฯ อาทิปริโยสานทสฺสเนน จ สเพฺพ พุทฺธคุณา ทสฺสิตาว โหนฺติฯ กรุณาคหเณน จ สีลกฺขนฺธปุพฺพงฺคโม สมาธิกฺขโนฺธ ทสฺสิโต โหติฯ กรุณานิทานญฺหิ สีลํ ตโต ปาณาติปาตาทิวิรติปฺปวตฺติโต ตสฺสา จ ฌานตฺตยสมฺปโยคโตฯ ปญฺญาวจเนน ปญฺญากฺขโนฺธฯ สีลญฺจ สพฺพพุทฺธคุณานํ อาทิ, สมาธิ มชฺฌํ, ปญฺญา ปริโยสานนฺติ เอวมฺปิ อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณา สเพฺพ พุทฺธคุณา ทสฺสิตา โหนฺติฯ

    Ettha ca karuṇāgahaṇena lokiyesu mahaggatabhāvappattāsādhāraṇaguṇadīpanato sabbalokiyaguṇasampatti bhagavato dassitā hoti, paññāgahaṇenapi sabbaññutaññāṇapadaṭṭhānamaggañāṇadīpanato sabbalokuttaraguṇasampatti. Karuṇāvacanena ca upagamanaṃ nirupakkilesaṃ, paññāvacanena apagamanaṃ dasseti. Upagamanaṃ dassento ca loke sañjātasaṃvaḍḍhabhāvaṃ dasseti, apagamanaṃ dassento lokena anupalittataṃ. ‘‘Karuṇā viya sattesū’’ti ca lokasamaññānurūpaṃ bhagavato pavattiṃ dasseti, ‘‘ñeyyadhammesu sabbesu yathāruci paññā pavattitthā’’ti etena samaññāya anatidhāvanaṃ. Sabbadhammasabhāvānavabodhe hi sati samaññaṃ atidhāvitvā ‘‘satto jīvo atthī’’ti parāmasanaṃ hotīti. Sabbesañca buddhaguṇānaṃ karuṇā ādi tannidānabhāvato, paññā pariyosānaṃ tato uttarikaraṇīyābhāvato. Ādipariyosānadassanena ca sabbe buddhaguṇā dassitāva honti. Karuṇāgahaṇena ca sīlakkhandhapubbaṅgamo samādhikkhandho dassito hoti. Karuṇānidānañhi sīlaṃ tato pāṇātipātādiviratippavattito tassā ca jhānattayasampayogato. Paññāvacanena paññākkhandho. Sīlañca sabbabuddhaguṇānaṃ ādi, samādhi majjhaṃ, paññā pariyosānanti evampi ādimajjhapariyosānakalyāṇā sabbe buddhaguṇā dassitā honti.

    . เอวํ สเงฺขเปน สพฺพพุทฺธคุเณหิ ภควนฺตํ โถเมตฺวา ยสฺสา สํวณฺณนํ กตฺตุกาโม, ตาย อภิธมฺมเทสนาย อเญฺญหิ อสาธารณาย โถเมตุํ ‘‘ทยาย ตายา’’ติอาทิมาหฯ ตสฺสา ปน เทสนาย นิทานญฺจ สมุฎฺฐานญฺจ ทเสฺสตุํ ‘‘ทยาย ตายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ นิทานญฺจ ทุวิธํ อพฺภนฺตรํ พาหิรญฺจาติฯ อพฺภนฺตรํ กรุณา, พาหิรํ เทสกาลาทิฯ สมุฎฺฐานํ เทสนาปญฺญาฯ ตตฺถ อพฺภนฺตรนิทานํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ทยาย ตาย สเตฺตสุ, สมุสฺสาหิตมานโส’’ติ อาหฯ ตตฺถ ทยาติ กรุณา อธิเปฺปตาฯ ตาย หิ สมุสฺสาหิโต อภิธมฺมกถามคฺคํ สมฺปวตฺตยีติฯ ตายาติ อยํ -สโทฺท ปุเพฺพ วุตฺตสฺส ปฎินิเทฺทโส โหติฯ

    2. Evaṃ saṅkhepena sabbabuddhaguṇehi bhagavantaṃ thometvā yassā saṃvaṇṇanaṃ kattukāmo, tāya abhidhammadesanāya aññehi asādhāraṇāya thometuṃ ‘‘dayāya tāyā’’tiādimāha. Tassā pana desanāya nidānañca samuṭṭhānañca dassetuṃ ‘‘dayāya tāyā’’tiādi vuttaṃ. Nidānañca duvidhaṃ abbhantaraṃ bāhirañcāti. Abbhantaraṃ karuṇā, bāhiraṃ desakālādi. Samuṭṭhānaṃ desanāpaññā. Tattha abbhantaranidānaṃ dassento ‘‘dayāya tāya sattesu, samussāhitamānaso’’ti āha. Tattha dayāti karuṇā adhippetā. Tāya hi samussāhito abhidhammakathāmaggaṃ sampavattayīti. Tāyāti ayaṃ ta-saddo pubbe vuttassa paṭiniddeso hoti.

    ปุริมคาถาย จ ปธานภาเวน ปญฺญา นิทฺทิฎฺฐา, ตพฺพิเสสนภาเวน กรุณาฯ สา หิ ตสฺสา นิทสฺสนภูตา อปฺปธานา ตํ วิเสเสตฺวา วินิวตฺตา, ตสฺมา ‘‘ตายา’’ติ ปฎินิเทฺทสํ นารหติฯ ยา จ ปธานภูตา ปญฺญา, สา เทสนาย สมุฎฺฐานํ, น สมุสฺสาหินีติ ตสฺสา จ ปฎินิเทฺทโส น ยุโตฺตติ? ปญฺญาย ตาว ปฎินิเทฺทโส น ยุโตฺตติ สุวุตฺตเมตํ, กรุณาย ปน ปฎินิเทฺทโส โน น ยุโตฺต ‘‘ทยาย ตายา’’ติ ทฺวินฺนํ ปทานํ สมานาธิกรณภาวโตฯ สมานาธิกรณานญฺหิ ทฺวินฺนํ ปทานํ รูปกฺขนฺธาทีนํ วิย วิเสสนวิเสสิตพฺพภาโว โหติฯ รูป-สโทฺท หิ อญฺญกฺขนฺธนิวตฺตนตฺถํ วุจฺจมาโน วิเสสนํ โหติ, ขนฺธ-สโทฺท จ นิวเตฺตตพฺพคเหตพฺพสาธารณวจนภาวโต วิเสสิตโพฺพ, เอวมิธาปิ ‘‘ทยาย ตายา’’ติ ทฺวินฺนํ ปทานํ เอกวิภตฺติยุตฺตานํ สมานาธิกรณภาวโต วิเสสนวิเสสิตพฺพภาโว โหติฯ ตตฺถ ทยา สมุสฺสาหินีติ ปธานา, นิวเตฺตตพฺพคเหตพฺพสาธารณวจนญฺจิทํฯ ตสฺมา ‘‘ทยายา’’ติ วิเสสิตพฺพวจนเมตํ, ตสฺส จ ยถา วิเสสนํ โหติ ‘‘ตายา’’ติ อิทํ วจนํ, ตถา ตสฺส ปฎินิเทฺทสภาโว โยเชตโพฺพฯ น หิ ปญฺญาปฎินิเทฺทสภาเว ทยาวิเสสนํ ต-สโทฺท โหติ, กรุณาปฎินิเทฺทสภาเว จ โหตีติฯ ปธานญฺจ ปญฺญํ วเชฺชตฺวา ‘‘ทยายา’’ติ เอเตน สมฺพชฺฌมาโน ‘‘ตายา’’ติ อยํ ต-สโทฺท อปฺปธานาย กรุณาย ปฎินิเทฺทโส ภวิตุมรหติฯ อยเมตฺถ อโตฺถ – ยาย ทยาย สมุสฺสาหิโต, น สา ยา กาจิ, สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ปน นิทสฺสนภูตา มหากรุณา, ตาย สมุสฺสาหิโตติฯ

    Purimagāthāya ca padhānabhāvena paññā niddiṭṭhā, tabbisesanabhāvena karuṇā. Sā hi tassā nidassanabhūtā appadhānā taṃ visesetvā vinivattā, tasmā ‘‘tāyā’’ti paṭiniddesaṃ nārahati. Yā ca padhānabhūtā paññā, sā desanāya samuṭṭhānaṃ, na samussāhinīti tassā ca paṭiniddeso na yuttoti? Paññāya tāva paṭiniddeso na yuttoti suvuttametaṃ, karuṇāya pana paṭiniddeso no na yutto ‘‘dayāya tāyā’’ti dvinnaṃ padānaṃ samānādhikaraṇabhāvato. Samānādhikaraṇānañhi dvinnaṃ padānaṃ rūpakkhandhādīnaṃ viya visesanavisesitabbabhāvo hoti. Rūpa-saddo hi aññakkhandhanivattanatthaṃ vuccamāno visesanaṃ hoti, khandha-saddo ca nivattetabbagahetabbasādhāraṇavacanabhāvato visesitabbo, evamidhāpi ‘‘dayāya tāyā’’ti dvinnaṃ padānaṃ ekavibhattiyuttānaṃ samānādhikaraṇabhāvato visesanavisesitabbabhāvo hoti. Tattha dayā samussāhinīti padhānā, nivattetabbagahetabbasādhāraṇavacanañcidaṃ. Tasmā ‘‘dayāyā’’ti visesitabbavacanametaṃ, tassa ca yathā visesanaṃ hoti ‘‘tāyā’’ti idaṃ vacanaṃ, tathā tassa paṭiniddesabhāvo yojetabbo. Na hi paññāpaṭiniddesabhāve dayāvisesanaṃ ta-saddo hoti, karuṇāpaṭiniddesabhāve ca hotīti. Padhānañca paññaṃ vajjetvā ‘‘dayāyā’’ti etena sambajjhamāno ‘‘tāyā’’ti ayaṃ ta-saddo appadhānāya karuṇāya paṭiniddeso bhavitumarahati. Ayamettha attho – yāya dayāya samussāhito, na sā yā kāci, sabbaññutaññāṇassa pana nidassanabhūtā mahākaruṇā, tāya samussāhitoti.

    กถํ ปน กรุณา ‘‘ทยา’’ติ ญาตพฺพา, นนุ วุตฺตํ ‘‘ทยาปโนฺน’’ติ เอตสฺส อฎฺฐกถายํ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๘) ‘‘เมตฺตจิตฺตตํ อาปโนฺน’’ติ, ตสฺมา ทยา เมตฺตาติ ยุเชฺชยฺย, น กรุณาติ? ยทิ เอวํ ‘‘อทยาปโนฺน’’ติ เอตสฺส อฎฺฐกถายํ ‘‘นิกฺกรุณตํ อาปโนฺน’’ติ วุตฺตนฺติ ทยา เมตฺตาติ จ น ยุเชฺชยฺย, ตสฺมา ทยา-สโทฺท ยตฺถ ยตฺถ ปวตฺตติ, ตตฺถ ตตฺถ อธิปฺปายวเสน โยเชตโพฺพฯ ทยา-สโทฺท หิ อนุรกฺขณตฺถํ อโนฺตนีตํ กตฺวา ปวตฺตมาโน เมตฺตาย จ กรุณาย จ ปวตฺตตีติ โน น ยุชฺชติฯ เอวญฺหิ อฎฺฐกถานํ อวิโรโธ โหตีติฯ กรุณา จ เทสนาย นิทานภาเวน วุตฺตา, น เมตฺตา ‘‘อจฺจนฺตเมว หิ ตํ สมยํ ภควา กรุณาวิหาเรน วิหาสี’’ติ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑ มูลปริยายสุตฺตวณฺณนา; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๑) เอวมาทีสุ, ตสฺมา อิธ กรุณาว ทยาวจเนน คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ สา หิ สมุสฺสาหินี, น เมตฺตา, เมตฺตา ปน ปญฺญาคติกปวตฺตินี โหตีติฯ

    Kathaṃ pana karuṇā ‘‘dayā’’ti ñātabbā, nanu vuttaṃ ‘‘dayāpanno’’ti etassa aṭṭhakathāyaṃ (dī. ni. aṭṭha. 1.8) ‘‘mettacittataṃ āpanno’’ti, tasmā dayā mettāti yujjeyya, na karuṇāti? Yadi evaṃ ‘‘adayāpanno’’ti etassa aṭṭhakathāyaṃ ‘‘nikkaruṇataṃ āpanno’’ti vuttanti dayā mettāti ca na yujjeyya, tasmā dayā-saddo yattha yattha pavattati, tattha tattha adhippāyavasena yojetabbo. Dayā-saddo hi anurakkhaṇatthaṃ antonītaṃ katvā pavattamāno mettāya ca karuṇāya ca pavattatīti no na yujjati. Evañhi aṭṭhakathānaṃ avirodho hotīti. Karuṇā ca desanāya nidānabhāvena vuttā, na mettā ‘‘accantameva hi taṃ samayaṃ bhagavā karuṇāvihārena vihāsī’’ti (dī. ni. aṭṭha. 1.1; ma. ni. aṭṭha. 1.1 mūlapariyāyasuttavaṇṇanā; saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.1; a. ni. aṭṭha. 1.1.1) evamādīsu, tasmā idha karuṇāva dayāvacanena gahitāti veditabbā. Sā hi samussāhinī, na mettā, mettā pana paññāgatikapavattinī hotīti.

    ‘‘สเตฺตสู’’ติ กสฺมา เอวํ วุตฺตํ, นนุ ‘‘ตายา’’ติ เอเตน วจเนน สตฺตวิสยา กรุณา คหิตาติ? โน น คหิตา, ปุริมคาถาย ปน ‘‘สเตฺตสุ กรุณา ยถารุจิ ปวตฺติตฺถา’’ติ สปฺปเทสสตฺตวิสยา นิปฺปเทสสตฺตวิสยา จ สพฺพา วุตฺตา, อิธ ปน นิปฺปเทสสตฺตวิสยตํ คเหตุํ ‘‘สเตฺตสู’’ติ นิปฺปเทสสตฺตวิสยภูตา ทสฺสิตาฯ เตน สพฺพสตฺตวิสยาย กรุณาย สมุสฺสาหิโต อภิธมฺมกถามคฺคํ เทวานํ สมฺปวตฺตยิ, น เทววิสยาย เอว, ตสฺมา สพฺพสตฺตหิตตฺถํ อภิธมฺมกถามคฺคํ เทวานํ สมฺปวตฺตยิ, น เทวานํเยว อตฺถายาติ อยมโตฺถ ทสฺสิโตว โหติฯ อถ วา ‘‘สเตฺตสู’’ติ อิทํ น ทยาย อาลมฺพนนิทสฺสนํ, สมุสฺสาหนวิสโย ปน เอเตน ทสฺสิโตฯ อภิธมฺมกถามคฺคปฺปวตฺตนตฺถญฺหิ ภควา กรุณาย น เทเวสุเยว สมุสฺสาหิโต , สพฺพโพธเนเยฺยสุ ปน สเตฺตสุ สมุสฺสาหิโต สเพฺพสํ อตฺถาย ปวตฺตตฺตา, ตสฺมา สเตฺตสุ สมุสฺสาหิตมานโสติ สเตฺตสุ วิสยภูเตสุ นิมิตฺตภูเตสุ วา สมุสฺสาหิตมานโส อุโยฺยชิตจิโตฺตติ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ

    ‘‘Sattesū’’ti kasmā evaṃ vuttaṃ, nanu ‘‘tāyā’’ti etena vacanena sattavisayā karuṇā gahitāti? No na gahitā, purimagāthāya pana ‘‘sattesu karuṇā yathāruci pavattitthā’’ti sappadesasattavisayā nippadesasattavisayā ca sabbā vuttā, idha pana nippadesasattavisayataṃ gahetuṃ ‘‘sattesū’’ti nippadesasattavisayabhūtā dassitā. Tena sabbasattavisayāya karuṇāya samussāhito abhidhammakathāmaggaṃ devānaṃ sampavattayi, na devavisayāya eva, tasmā sabbasattahitatthaṃ abhidhammakathāmaggaṃ devānaṃ sampavattayi, na devānaṃyeva atthāyāti ayamattho dassitova hoti. Atha vā ‘‘sattesū’’ti idaṃ na dayāya ālambananidassanaṃ, samussāhanavisayo pana etena dassito. Abhidhammakathāmaggappavattanatthañhi bhagavā karuṇāya na devesuyeva samussāhito , sabbabodhaneyyesu pana sattesu samussāhito sabbesaṃ atthāya pavattattā, tasmā sattesu samussāhitamānasoti sattesu visayabhūtesu nimittabhūtesu vā samussāhitamānaso uyyojitacittoti attho daṭṭhabbo.

    เอวํ อพฺภนฺตรนิทานํ ทเสฺสตฺวา พาหิรนิทานํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปาฎิหีราวสานมฺหี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยสฺมิํ กาเล ภควตา อภิธมฺมกถามโคฺค ปวตฺติโต, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปาฎิหีราวสานมฺหิ วสโนฺต’’ติ วุตฺตํฯ ‘‘อวสานมฺหิ วสโนฺต ติทสาลเย’’ติ วจนโต ยสฺสาวสานมฺหิ ติทสาลเย วสิ, ตํ กณฺฑมฺพมูเล กตํ ยมกปาฎิหาริยํ อิธ ‘‘ปาฎิหีร’’นฺติ วุตฺตํ, น โพธิมูลาทีสุ กตํ ปาฎิหาริยํ, นาปิ อาเทสนานุสาสนิโยติ วิญฺญายติ, ปากฎตฺตา จ อาสนฺนตฺตา จ ตเทว คหิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปาฎิหาริยปทสฺส วจนตฺถํ (อุทา. อฎฺฐ. ๑; อิติวุ. อฎฺฐ. นิทานวณฺณนา) ‘‘ปฎิปกฺขหรณโต ราคาทิกิเลสาปนยนโต ปาฎิหาริย’’นฺติ วทนฺติ, ภควโต ปน ปฎิปกฺขา ราคาทโย น สนฺติ เย หริตพฺพาฯ ปุถุชฺชนานมฺปิ หิ วิคตุปกฺกิเลเส อฎฺฐงฺคคุณสมนฺนาคเต จิเตฺต หตปฎิปเกฺข อิทฺธิวิธํ ปวตฺตติ, ตสฺมา ตตฺถ ปวตฺตโวหาเรน จ น สกฺกา อิธ ‘‘ปาฎิหาริย’’นฺติ วตฺตุํฯ สเจ ปน มหาการุณิกสฺส ภควโต เวเนยฺยคตา จ กิเลสา ปฎิปกฺขา, เตสํ หรณโต ‘‘ปาฎิหาริย’’นฺติ วุตฺตํ, เอวํ สติ ยุตฺตเมตํฯ อถ วา ภควโต จ สาสนสฺส จ ปฎิปกฺขา ติตฺถิยา, เตสํ หรณโต ปาฎิหาริยํฯ เต หิ ทิฎฺฐิหรณวเสน ทิฎฺฐิปฺปกาสเน อสมตฺถภาเวน จ อิทฺธิอาเทสนานุสาสนีหิ หริตา อปนีตา โหนฺตีติฯ อถ วา ปฎีติ อยํ สโทฺท ‘‘ปจฺฉา’’ติ เอตสฺส อตฺถํ โพเธติ ‘‘ตสฺมิํ ปฎิปวิฎฺฐมฺหิ, อโญฺญ อาคญฺฉิ พฺราหฺมโณ’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๙๘๕; จูฬนิ. ปารายนวคฺค, วตฺถุคาถา ๔) วิย, ตสฺมา สมาหิเต จิเตฺต วิคตุปกฺกิเลเส จ กตกิเจฺจน ปจฺฉา หริตพฺพํ ปวเตฺตตพฺพนฺติ ปฎิหาริยํ, อตฺตโน วา อุปกฺกิเลเสสุ จตุตฺถชฺฌานมเคฺคหิ หริเตสุ ปจฺฉา หรณํ ปฎิหาริยํ, อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิโย จ วิคตุปกฺกิเลเสน กตกิเจฺจน จ สตฺตหิตตฺถํ ปุน ปวเตฺตตพฺพา, หริเตสุ จ อตฺตโน อุปกฺกิเลเสสุ ปรสตฺตานํ อุปกฺกิเลสหรณานิ โหนฺตีติ ปฎิหาริยานิ ภวนฺติ, ปฎิหาริยเมว ปาฎิหาริยํฯ ปฎิหาริเย วา อิทฺธิอาเทสนานุสาสนิสมุทาเย ภวํ เอเกกํ ปาฎิหาริยนฺติ วุจฺจติฯ ปฎิหาริยํ วา จตุตฺถชฺฌานํ มโคฺค จ ปฎิปกฺขหรณโต, ตตฺถ ชาตํ, ตสฺมิํ วา นิมิตฺตภูเต, ตโต วา อาคตนฺติ ปาฎิหาริยํฯ ปาฎิหาริยเมว อิธ ‘‘ปาฎิหีร’’นฺติ วุตฺตํฯ อวสานมฺหิ วสโนฺตติ เอเตหิ กาลํ นิทเสฺสติฯ ปาฎิหีรกรณาวสาเนน หิ ติทสาลยวาเสน จ ปริจฺฉิโนฺน อภิธมฺมกถามคฺคปฺปวตฺตนสฺส กาโลติ ฯ ติทสาลเยติ เทสํ นิทเสฺสติฯ โส หิ อภิธมฺมกถามคฺคปฺปวตฺตนสฺส เทโส ตตฺถ วสเนฺตน ปวตฺติตตฺตาติฯ

    Evaṃ abbhantaranidānaṃ dassetvā bāhiranidānaṃ dassento ‘‘pāṭihīrāvasānamhī’’tiādimāha. Tattha yasmiṃ kāle bhagavatā abhidhammakathāmaggo pavattito, taṃ dassetuṃ ‘‘pāṭihīrāvasānamhi vasanto’’ti vuttaṃ. ‘‘Avasānamhi vasanto tidasālaye’’ti vacanato yassāvasānamhi tidasālaye vasi, taṃ kaṇḍambamūle kataṃ yamakapāṭihāriyaṃ idha ‘‘pāṭihīra’’nti vuttaṃ, na bodhimūlādīsu kataṃ pāṭihāriyaṃ, nāpi ādesanānusāsaniyoti viññāyati, pākaṭattā ca āsannattā ca tadeva gahitanti daṭṭhabbaṃ. Pāṭihāriyapadassa vacanatthaṃ (udā. aṭṭha. 1; itivu. aṭṭha. nidānavaṇṇanā) ‘‘paṭipakkhaharaṇato rāgādikilesāpanayanato pāṭihāriya’’nti vadanti, bhagavato pana paṭipakkhā rāgādayo na santi ye haritabbā. Puthujjanānampi hi vigatupakkilese aṭṭhaṅgaguṇasamannāgate citte hatapaṭipakkhe iddhividhaṃ pavattati, tasmā tattha pavattavohārena ca na sakkā idha ‘‘pāṭihāriya’’nti vattuṃ. Sace pana mahākāruṇikassa bhagavato veneyyagatā ca kilesā paṭipakkhā, tesaṃ haraṇato ‘‘pāṭihāriya’’nti vuttaṃ, evaṃ sati yuttametaṃ. Atha vā bhagavato ca sāsanassa ca paṭipakkhā titthiyā, tesaṃ haraṇato pāṭihāriyaṃ. Te hi diṭṭhiharaṇavasena diṭṭhippakāsane asamatthabhāvena ca iddhiādesanānusāsanīhi haritā apanītā hontīti. Atha vā paṭīti ayaṃ saddo ‘‘pacchā’’ti etassa atthaṃ bodheti ‘‘tasmiṃ paṭipaviṭṭhamhi, añño āgañchi brāhmaṇo’’tiādīsu (su. ni. 985; cūḷani. pārāyanavagga, vatthugāthā 4) viya, tasmā samāhite citte vigatupakkilese ca katakiccena pacchā haritabbaṃ pavattetabbanti paṭihāriyaṃ, attano vā upakkilesesu catutthajjhānamaggehi haritesu pacchā haraṇaṃ paṭihāriyaṃ, iddhiādesanānusāsaniyo ca vigatupakkilesena katakiccena ca sattahitatthaṃ puna pavattetabbā, haritesu ca attano upakkilesesu parasattānaṃ upakkilesaharaṇāni hontīti paṭihāriyāni bhavanti, paṭihāriyameva pāṭihāriyaṃ. Paṭihāriye vā iddhiādesanānusāsanisamudāye bhavaṃ ekekaṃ pāṭihāriyanti vuccati. Paṭihāriyaṃ vā catutthajjhānaṃ maggo ca paṭipakkhaharaṇato, tattha jātaṃ, tasmiṃ vā nimittabhūte, tato vā āgatanti pāṭihāriyaṃ. Pāṭihāriyameva idha ‘‘pāṭihīra’’nti vuttaṃ. Avasānamhi vasantoti etehi kālaṃ nidasseti. Pāṭihīrakaraṇāvasānena hi tidasālayavāsena ca paricchinno abhidhammakathāmaggappavattanassa kāloti . Tidasālayeti desaṃ nidasseti. So hi abhidhammakathāmaggappavattanassa deso tattha vasantena pavattitattāti.

    . ตตฺถาปิ เทสวิเสสทสฺสนตฺถํ ‘‘ปาริจฺฉตฺตกมูลมฺหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ยุคนฺธเรติ สีตปพฺพเตเสฺวโก เทฺวจตฺตาลีสโยชนสหสฺสุเพฺพโธ, อาทิโจฺจ จ ตทุเพฺพธมคฺคจารี, โส สติ สมฺภเว ยถา ยุคนฺธเร โสเภยฺย, เอวํ โสภมาโน นิสิโนฺนติ อโตฺถฯ

    3. Tatthāpi desavisesadassanatthaṃ ‘‘pāricchattakamūlamhī’’tiādi vuttaṃ. Yugandhareti sītapabbatesveko dvecattālīsayojanasahassubbedho, ādicco ca tadubbedhamaggacārī, so sati sambhave yathā yugandhare sobheyya, evaṃ sobhamāno nisinnoti attho.

    ๔-๕. อิทานิ ปุคฺคเล ธมฺมปฎิคฺคาหเก อปทิสโนฺต ‘‘จกฺกวาฬสหเสฺสหี’’ติอาทิมาหฯ สพฺพโสติ สมนฺตโต อาคมฺม สเพฺพหิ ทิสาภาเคหิ, สนฺนิเวสวเสน วา สมนฺตโต สนฺนิวิเฎฺฐหิ ทสหิ จกฺกวาฬสหเสฺสหีติ อธิปฺปาโย, น สพฺพโส จกฺกวาฬสหเสฺสหิ ทสหิ ทสหีติฯ เอวํ สติ จตฺตาลีสจกฺกวาฬสหเสฺสหิ อธิเกหิ วา อาคมนํ วุตฺตํ สิยา, น เจตํ อธิเปฺปตนฺติฯ สมนฺตโต สนฺนิสิเนฺนนาติ วา โยเชตพฺพํฯ สมํ, สมฺมา วา นิสิเนฺนน สนฺนิสิเนฺนน, อญฺญมญฺญํ อพฺยาพาเธตฺวา ภควติ คารวํ กตฺวา โสตํ โอทหิตฺวา นิสชฺชโทเส วชฺชิตเพฺพ วเชฺชตฺวา นิสิเนฺนนาติ อโตฺถฯ มาตรํ ปมุขํ กตฺวา สนฺนิสิเนฺนน เทวานํ คเณน ปริวาริโตติ วา, มาตรํ ปมุขํ กตฺวา อภิธมฺมกถามคฺคํ สมฺปวตฺตยีติ วา โยชนา กาตพฺพาฯ

    4-5. Idāni puggale dhammapaṭiggāhake apadisanto ‘‘cakkavāḷasahassehī’’tiādimāha. Sabbasoti samantato āgamma sabbehi disābhāgehi, sannivesavasena vā samantato sanniviṭṭhehi dasahi cakkavāḷasahassehīti adhippāyo, na sabbaso cakkavāḷasahassehi dasahi dasahīti. Evaṃ sati cattālīsacakkavāḷasahassehi adhikehi vā āgamanaṃ vuttaṃ siyā, na cetaṃ adhippetanti. Samantato sannisinnenāti vā yojetabbaṃ. Samaṃ, sammā vā nisinnena sannisinnena, aññamaññaṃ abyābādhetvā bhagavati gāravaṃ katvā sotaṃ odahitvā nisajjadose vajjitabbe vajjetvā nisinnenāti attho. Mātaraṃ pamukhaṃ katvā sannisinnena devānaṃ gaṇena parivāritoti vā, mātaraṃ pamukhaṃ katvā abhidhammakathāmaggaṃ sampavattayīti vā yojanā kātabbā.

    อิทานิ เทสนาย สมุฎฺฐานํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตสฺสา ปญฺญาย เตชสา’’ติ อาหฯ ยา สา อาทิมฺหิ กรุณาย อุปมิตา สพฺพเญยฺยธมฺมานํ ยถาสภาวชานนสมตฺถา, เตสํ เทเสตพฺพปฺปการชานนสมตฺถา, โพเธตพฺพปุคฺคลานํ อาสยาธิมุตฺติยาทิวิภาวนสมตฺถา จ ปญฺญา, ตสฺสา จ ยถาวุตฺตพลโยคโตติ อโตฺถฯ เตน สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว อภิธมฺมกถาย สมุฎฺฐานภาเว สมตฺถํ, นาญฺญนฺติ อิมมตฺถํ ทีเปโนฺต อภิธมฺมกถาย อสาธารณภาวํ ทเสฺสติฯ มโคฺคติ อุปาโยฯ ขนฺธายตนาทีนํ กุสลาทีนญฺจ ธมฺมานํ อวโพธสฺส, สจฺจปฺปฎิเวธเสฺสว วา อุปายภาวโต ‘‘อภิธมฺมกถามโคฺค’’ติ วุโตฺตฯ ปพโนฺธ วา ‘‘มโคฺค’’ติ วุจฺจติฯ โส หิ ทีฆตฺตา มโคฺค วิยาติ มโคฺค, ตสฺมา อภิธมฺมกถาปพโนฺธ ‘‘อภิธมฺมกถามโคฺค’’ติ วุโตฺตฯ เทวานํ คเณน ปริวาริโตติ วตฺวา ปุน เทวานนฺติ วจนํ เตสํ คหณสมตฺถตํ ทีเปติฯ น หิ อสมตฺถานํ ภควา เทเสตีติฯ

    Idāni desanāya samuṭṭhānaṃ dassento ‘‘tassā paññāya tejasā’’ti āha. Yā sā ādimhi karuṇāya upamitā sabbañeyyadhammānaṃ yathāsabhāvajānanasamatthā, tesaṃ desetabbappakārajānanasamatthā, bodhetabbapuggalānaṃ āsayādhimuttiyādivibhāvanasamatthā ca paññā, tassā ca yathāvuttabalayogatoti attho. Tena sabbaññutaññāṇameva abhidhammakathāya samuṭṭhānabhāve samatthaṃ, nāññanti imamatthaṃ dīpento abhidhammakathāya asādhāraṇabhāvaṃ dasseti. Maggoti upāyo. Khandhāyatanādīnaṃ kusalādīnañca dhammānaṃ avabodhassa, saccappaṭivedhasseva vā upāyabhāvato ‘‘abhidhammakathāmaggo’’ti vutto. Pabandho vā ‘‘maggo’’ti vuccati. So hi dīghattā maggo viyāti maggo, tasmā abhidhammakathāpabandho ‘‘abhidhammakathāmaggo’’ti vutto. Devānaṃ gaṇena parivāritoti vatvā puna devānanti vacanaṃ tesaṃ gahaṇasamatthataṃ dīpeti. Na hi asamatthānaṃ bhagavā desetīti.

    . เอวํ กรุณาปญฺญามุเขหิ คุเณหิ ภควโต อภิธมฺมกถามคฺคปฺปวตฺตเนน จ หิตปฺปฎิปตฺติยา ปรมปณามารหตํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อธิเปฺปตํ ปณามํ กโรโนฺต อาห ‘‘ตสฺส ปาเท นมสฺสิตฺวา’’ติฯ ภควโต โถมเนเนว จ ธมฺมสฺส สฺวากฺขาตตา สงฺฆสฺส จ สุปฺปฎิปนฺนตา ทสฺสิตา โหติ ตปฺปภวสฺส อนญฺญถาภาวโต, ตสฺมา ปณามารหํ ตญฺจ รตนทฺวยํ ปณมโนฺต ‘‘สทฺธมฺมญฺจสฺส…เป.… จญฺชลิ’’นฺติ อาหฯ ตตฺถ ยสฺมา พุโทฺธ ‘‘สเทวเก โลเก ตถาคโต วนฺทนีโย’’ติ, สโงฺฆ จ ‘‘สุปฺปฎิปโนฺน…เป.… อญฺชลิกรณีโย’’ติ (อ. นิ. ๖.๑๐) วุโตฺต, ตสฺมา ‘‘ตสฺส ปาเท นมสฺสิตฺวา, กตฺวา สงฺฆสฺส จญฺชลิ’’นฺติ วุตฺตํฯ ธโมฺม ปน สฺวากฺขาตตาทิคุณยุโตฺต ตถานุสฺสรเณน ปูเชตโพฺพ โหติ ‘‘ตเมว ธมฺมํ สกฺกตฺวา ครุํกตฺวา อุปนิสฺสาย วิหเรยฺย’’นฺติ (สํ. นิ. ๑.๑๗๓; อ. นิ. ๔.๒๑) วจนโต, กายวาจาจิเตฺตหิ สพฺพถา ปูเชตโพฺพ, ตสฺมา ‘‘สทฺธมฺมญฺจสฺส ปูเชตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ สิรีมโตติ เอตฺถ สิรีติ ปญฺญาปุญฺญานํ อธิวจนนฺติ วทนฺติฯ อถ วา ปุญฺญนิพฺพตฺตา สรีรโสภคฺคาทิสมฺปตฺติ กตปุเญฺญ นิสฺสยติ, กตปุเญฺญหิ วา นิสฺสียตีติ ‘‘สิรี’’ติ วุจฺจติ, สา จ อติสยวตี ภควโต อตฺถีติ สิรีมา, ภควา, ตสฺส สิรีมโต

    6. Evaṃ karuṇāpaññāmukhehi guṇehi bhagavato abhidhammakathāmaggappavattanena ca hitappaṭipattiyā paramapaṇāmārahataṃ dassetvā idāni adhippetaṃ paṇāmaṃ karonto āha ‘‘tassa pāde namassitvā’’ti. Bhagavato thomaneneva ca dhammassa svākkhātatā saṅghassa ca suppaṭipannatā dassitā hoti tappabhavassa anaññathābhāvato, tasmā paṇāmārahaṃ tañca ratanadvayaṃ paṇamanto ‘‘saddhammañcassa…pe… cañjali’’nti āha. Tattha yasmā buddho ‘‘sadevake loke tathāgato vandanīyo’’ti, saṅgho ca ‘‘suppaṭipanno…pe… añjalikaraṇīyo’’ti (a. ni. 6.10) vutto, tasmā ‘‘tassa pāde namassitvā, katvā saṅghassa cañjali’’nti vuttaṃ. Dhammo pana svākkhātatādiguṇayutto tathānussaraṇena pūjetabbo hoti ‘‘tameva dhammaṃ sakkatvā garuṃkatvā upanissāya vihareyya’’nti (saṃ. ni. 1.173; a. ni. 4.21) vacanato, kāyavācācittehi sabbathā pūjetabbo, tasmā ‘‘saddhammañcassa pūjetvā’’ti vuttaṃ. Sirīmatoti ettha sirīti paññāpuññānaṃ adhivacananti vadanti. Atha vā puññanibbattā sarīrasobhaggādisampatti katapuññe nissayati, katapuññehi vā nissīyatīti ‘‘sirī’’ti vuccati, sā ca atisayavatī bhagavato atthīti sirīmā, bhagavā, tassa sirīmato.

    . นิปจฺจการสฺสาติ ปณามกิริยายฯ อานุภาเวนาติ พเลนฯ โสเสตฺวาติ สุกฺขาเปตฺวา อนฺตรธาเปตฺวา อตฺถํ ปกาสยิสฺสามีติ สมฺพโนฺธฯ อนฺตราเยติ อตฺถปฺปกาสนสฺส อุปฆาตเกฯ อเสสโตติ นิเสฺสเส สกเลฯ

    7. Nipaccakārassāti paṇāmakiriyāya. Ānubhāvenāti balena. Sosetvāti sukkhāpetvā antaradhāpetvā atthaṃ pakāsayissāmīti sambandho. Antarāyeti atthappakāsanassa upaghātake. Asesatoti nissese sakale.

    . อิทานิ อภิธมฺมสฺส คมฺภีรตฺถตฺตา อตฺถปฺปกาสนสฺส ทุกฺกรภาวํ ทีเปตุํ ‘‘วิสุทฺธาจารสีเลนา’’ติอาทินา อภิยาจนํ ทเสฺสติฯ ถุลฺลจฺจยาทิวิสุทฺธิยา วิสุทฺธาจาโร, ปาราชิกสงฺฆาทิเสสวิสุทฺธิยา วิสุทฺธสีโลฯ จาริตฺตวาริตฺตวิสุทฺธิยา วา วิสุทฺธาจารสีโล, เตนฯ สกฺกจฺจนฺติ จิตฺติํ กตฺวาฯ อภิยาจิโตติ อภิมุขํ ยาจิโตฯ เตน อนาทริยํ อตฺถปฺปกาสเน กาตุํ อสกฺกุเณยฺยํ ทเสฺสติฯ

    8. Idāni abhidhammassa gambhīratthattā atthappakāsanassa dukkarabhāvaṃ dīpetuṃ ‘‘visuddhācārasīlenā’’tiādinā abhiyācanaṃ dasseti. Thullaccayādivisuddhiyā visuddhācāro, pārājikasaṅghādisesavisuddhiyā visuddhasīlo. Cārittavārittavisuddhiyā vā visuddhācārasīlo, tena. Sakkaccanti cittiṃ katvā. Abhiyācitoti abhimukhaṃ yācito. Tena anādariyaṃ atthappakāsane kātuṃ asakkuṇeyyaṃ dasseti.

    . อิทานิ ยสฺส อตฺถํ ปกาเสตุกาโม, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยํ เทวเทโว’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ นฺติ อภิธมฺมํฯ เทวเทโวติ วิสุทฺธิสมฺมุติอุปปตฺติเทวานํ เทโวฯ โลเก หิ เย ‘‘สรณํ ปรายณ’’นฺติ คนฺตพฺพา คติภูตา, เต ‘‘เทวา’’ติ วุจฺจนฺติ, ภควา จ สพฺพเทวานํ คติภูโตติ ฯ นยโตติ สเงฺขปโตฯ สมาจิกฺขีติ สมฺมา อาจิกฺขิ ยถา เถโร พุชฺฌติฯ เวเนยฺยสเตฺต วิเนตีติ วินายโก, นายกวิรหิโต วา, สยมฺภูติ อโตฺถฯ

    9. Idāni yassa atthaṃ pakāsetukāmo, taṃ dassetuṃ ‘‘yaṃ devadevo’’tiādimāha. Tattha yanti abhidhammaṃ. Devadevoti visuddhisammutiupapattidevānaṃ devo. Loke hi ye ‘‘saraṇaṃ parāyaṇa’’nti gantabbā gatibhūtā, te ‘‘devā’’ti vuccanti, bhagavā ca sabbadevānaṃ gatibhūtoti . Nayatoti saṅkhepato. Samācikkhīti sammā ācikkhi yathā thero bujjhati. Veneyyasatte vinetīti vināyako, nāyakavirahito vā, sayambhūti attho.

    ๑๐-๑๒. ยญฺจาติ ยญฺจ อภิธมฺมํ ภิกฺขูนํ ปยิรุทาหาสีติ สมฺพโนฺธฯ ปยิรุทาหาสีติ กเถสิฯ อิตีติ อิมินา อนุกฺกเมนฯ ‘‘โย ธาริโต’’ติ นฺติ อุปโยควเสน วุโตฺต ยํ-สโทฺท ธาริโตติ ปจฺจเตฺตน สมฺพชฺฌมาโน ปจฺจตฺตวเสน ปริณมติ, ตสฺมา โย ธาริโต, โย จ สงฺคีโต, ตสฺส อตฺถํ ปกาสยิสฺสามีติ โยชนา กาตพฺพาฯ เวเทน ปญฺญาย อีหติ ปวตฺตตีติ เวเทโห, เตน มุนินาฯ อภิณฺหโสติ พหุโสฯ อภิธมฺมสฺสาติ เอตํ ‘‘อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ เอเตน โยเชตพฺพํฯ อิทานิ โย อตฺถปฺปกาสนสฺส นิสฺสโย, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อาทิโต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อาทิโตติ อาทิมฺหิ ปฐมสงฺคีติยํฯ

    10-12. Yañcāti yañca abhidhammaṃ bhikkhūnaṃ payirudāhāsīti sambandho. Payirudāhāsīti kathesi. Itīti iminā anukkamena. ‘‘Yo dhārito’’ti yanti upayogavasena vutto yaṃ-saddo dhāritoti paccattena sambajjhamāno paccattavasena pariṇamati, tasmā yo dhārito, yo ca saṅgīto, tassa atthaṃ pakāsayissāmīti yojanā kātabbā. Vedena paññāya īhati pavattatīti vedeho, tena muninā. Abhiṇhasoti bahuso. Abhidhammassāti etaṃ ‘‘atthaṃ pakāsayissāmī’’ti etena yojetabbaṃ. Idāni yo atthappakāsanassa nissayo, taṃ dassetuṃ ‘‘ādito’’tiādimāha. Tattha āditoti ādimhi paṭhamasaṅgītiyaṃ.

    ๑๓. ยา อฎฺฐกถา สงฺคีตา, กสฺส ปน สา อฎฺฐกถาติ? อญฺญสฺส วุตฺตสฺส อภาวา ‘‘ยสฺส อตฺถํ ปกาสยิสฺสามี’’ติ วุตฺตํ, อธิการวเสน ‘‘ตสฺส อภิธมฺมสฺสา’’ติ วิญฺญายติฯ สงฺคีตาติ อตฺถํ ปกาเสตุํ ยุตฺตฎฺฐาเน ‘‘อยํ เอตสฺส อโตฺถ, อยํ เอตสฺส อโตฺถ’’ติ สงฺคเหตฺวา วุตฺตา, ปจฺฉาปิ จ ทุติยตติยสงฺคีตีสุ อนุสงฺคีตา

    13. Yā aṭṭhakathā saṅgītā, kassa pana sā aṭṭhakathāti? Aññassa vuttassa abhāvā ‘‘yassa atthaṃ pakāsayissāmī’’ti vuttaṃ, adhikāravasena ‘‘tassa abhidhammassā’’ti viññāyati. Saṅgītāti atthaṃ pakāsetuṃ yuttaṭṭhāne ‘‘ayaṃ etassa attho, ayaṃ etassa attho’’ti saṅgahetvā vuttā, pacchāpi ca dutiyatatiyasaṅgītīsu anusaṅgītā.

    ๑๔-๑๖. อภิสงฺขตาติ รจิตาฯ ตโตติ อฎฺฐกถาโตฯ ตนฺตินยานุคนฺติ ตนฺติคติํ อนุคตํฯ ภาสนฺติ มาคธภาสํฯ นิกายนฺตรลทฺธีหีติ อนฺตรนฺตรา อนุปฺปเวสิตาหิฯ อสมฺมิสฺสนฺติ อโวกิณฺณํฯ อนากุลนฺติ สนิกาเยปิ อนาวิลํ ปริจฺฉินฺนํฯ อสมฺมิโสฺส อนากุโล จ โย มหาวิหารวาสีนํ อตฺถวินิจฺฉโย, ตํ ทีปยโนฺต อตฺถํ ปกาสยิสฺสามีติ ฯ เอเตน ติปิฎกจูฬนาคเตฺถราทีหิ วุโตฺต เถรวาโทปิ สงฺคหิโต โหติฯ อถ วา ตมฺพปณฺณิภาสํ อปเนตฺวา มาคธภาสญฺจ อาโรเปตฺวา ปกาสิยมาโน โย อภิธมฺมสฺส อโตฺถ อสมฺมิโสฺส อนากุโลเยว จ โหติ มหาวิหารวาสีนญฺจ วินิจฺฉยภูโต, ตํ อตฺถํ ‘‘เอโส มหาวิหารวาสีนํ วินิจฺฉโย’’ติ ทีปยโนฺต ปกาสยิสฺสามิฯ ตปฺปกาสเนเนว หิ โส ตถา ทีปิโต โหตีติฯ

    14-16. Abhisaṅkhatāti racitā. Tatoti aṭṭhakathāto. Tantinayānuganti tantigatiṃ anugataṃ. Bhāsanti māgadhabhāsaṃ. Nikāyantaraladdhīhīti antarantarā anuppavesitāhi. Asammissanti avokiṇṇaṃ. Anākulanti sanikāyepi anāvilaṃ paricchinnaṃ. Asammisso anākulo ca yo mahāvihāravāsīnaṃ atthavinicchayo, taṃ dīpayanto atthaṃ pakāsayissāmīti . Etena tipiṭakacūḷanāgattherādīhi vutto theravādopi saṅgahito hoti. Atha vā tambapaṇṇibhāsaṃ apanetvā māgadhabhāsañca āropetvā pakāsiyamāno yo abhidhammassa attho asammisso anākuloyeva ca hoti mahāvihāravāsīnañca vinicchayabhūto, taṃ atthaṃ ‘‘eso mahāvihāravāsīnaṃ vinicchayo’’ti dīpayanto pakāsayissāmi. Tappakāsaneneva hi so tathā dīpito hotīti.

    ๑๗. โตสยโนฺต วิจกฺขเณติ วิจกฺขเณ โตสยโนฺต คเหตพฺพํ คเหตฺวานาติ เอวํ โยเชตฺวา ‘‘คเหตพฺพฎฺฐาเนเยว คหิตํ สุฎฺฐุ กต’’นฺติ เอวํ โตสยโนฺตติ อตฺถํ วทนฺติฯ เอวํ สติ คเหตพฺพคฺคหเณเนว โตสนํ กตํ, น อเญฺญน อตฺถปฺปกาสเนนาติ เอตํ อาปเชฺชยฺยฯ โตสยโนฺต อตฺถํ ปกาสยิสฺสามีติ เอวํ ปน โยชนาย สติ คเหตพฺพคฺคหณํ อญฺญญฺจ สพฺพํ อตฺถปฺปกาสนํ โหตีติ สเพฺพน เตน โตสนํ กตํ โหติ, ตสฺมา โตสยโนฺต อตฺถํ ปกาสยิสฺสามีติ ยุตฺตรูปาฯ

    17. Tosayanto vicakkhaṇeti vicakkhaṇe tosayanto gahetabbaṃ gahetvānāti evaṃ yojetvā ‘‘gahetabbaṭṭhāneyeva gahitaṃ suṭṭhu kata’’nti evaṃ tosayantoti atthaṃ vadanti. Evaṃ sati gahetabbaggahaṇeneva tosanaṃ kataṃ, na aññena atthappakāsanenāti etaṃ āpajjeyya. Tosayanto atthaṃ pakāsayissāmīti evaṃ pana yojanāya sati gahetabbaggahaṇaṃ aññañca sabbaṃ atthappakāsanaṃ hotīti sabbena tena tosanaṃ kataṃ hoti, tasmā tosayanto atthaṃ pakāsayissāmīti yuttarūpā.

    ๑๘-๒๐. อิทานิ ยํ อตฺถปฺปกาสนํ กตฺตุกาโม, ตสฺส มหตฺตํ ปริหริตุํ ‘‘กมฺมฎฺฐานานี’’ติอาทิมาหฯ อตฺถวณฺณนนฺติ เอตฺถ วณฺณนา นาม วิวริตฺวา วิตฺถาเรตฺวา วจนํฯ อิตีติ ‘‘อปเนตฺวา ตโต ภาส’’นฺติ เอวมาทินา ยถาทสฺสิตปฺปกาเรนฯ อิติ โสตูนํ อุสฺสาหุปฺปาทนสฺส เหตุํ ทเสฺสติฯ อภิธมฺมกถนฺติ อภิธมฺมฎฺฐกถํฯ นิสาเมถาติ สุณาถฯ อิทานิ อวสฺสํ อยํ โสตพฺพาเยวาติ ทฬฺหํ อุสฺสาเหโนฺต อาห ‘‘ทุลฺลภา หิ อยํ กถา’’ติฯ

    18-20. Idāni yaṃ atthappakāsanaṃ kattukāmo, tassa mahattaṃ pariharituṃ ‘‘kammaṭṭhānānī’’tiādimāha. Atthavaṇṇananti ettha vaṇṇanā nāma vivaritvā vitthāretvā vacanaṃ. Itīti ‘‘apanetvā tato bhāsa’’nti evamādinā yathādassitappakārena. Iti sotūnaṃ ussāhuppādanassa hetuṃ dasseti. Abhidhammakathanti abhidhammaṭṭhakathaṃ. Nisāmethāti suṇātha. Idāni avassaṃ ayaṃ sotabbāyevāti daḷhaṃ ussāhento āha ‘‘dullabhā hi ayaṃ kathā’’ti.

    วีสติคาถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Vīsatigāthāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / วีสติคาถาวณฺณนา • Vīsatigāthāvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact