Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā

    ๑. สุตมยญาณนิเทฺทสวณฺณนา

    1. Sutamayañāṇaniddesavaṇṇanā

    วิสฺสชฺชนุเทฺทสวณฺณนา

    Vissajjanuddesavaṇṇanā

    . อิทานิ ยถานิกฺขิเตฺตน อุเทฺทเสน สงฺคหิเต ธเมฺม ปเภทโต ทเสฺสตุํ กถํ โสตาวธาเน ปญฺญา สุตมเย ญาณนฺติอาทิ นิเทฺทสวาโร อารโทฺธฯ ตตฺถ ยํ วุตฺตํ, ‘‘โสตาวธาเน ปญฺญา สุตมเย ญาณ’’นฺติ , ตํ กถํ โหตีติ? อยํ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาฯ ปญฺจวิธา หิ ปุจฺฉา – อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉา, ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา, วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉา, อนุมติปุจฺฉา, กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติฯ ตาสํ อิทํ นานตฺตํ –

    1. Idāni yathānikkhittena uddesena saṅgahite dhamme pabhedato dassetuṃ kathaṃ sotāvadhāne paññā sutamaye ñāṇantiādi niddesavāro āraddho. Tattha yaṃ vuttaṃ, ‘‘sotāvadhāne paññā sutamaye ñāṇa’’nti , taṃ kathaṃ hotīti? Ayaṃ kathetukamyatāpucchā. Pañcavidhā hi pucchā – adiṭṭhajotanāpucchā, diṭṭhasaṃsandanāpucchā, vimaticchedanāpucchā, anumatipucchā, kathetukamyatāpucchāti. Tāsaṃ idaṃ nānattaṃ –

    กตมา อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉา? (มหานิ. ๑๕๐; จูฬนิ. ปุณฺณกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๑๒) ปกติยา ลกฺขณํ อญฺญาตํ โหติ อทิฎฺฐํ อตุลิตํ อตีริตํ อวิภูตํ อวิภาวิตํ, ตสฺส ญาณาย ทสฺสนาย ตุลนาย ตีรณาย วิภูตาย วิภาวนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ, อยํ อทิฎฺฐโชตนาปุจฺฉาฯ

    Katamā adiṭṭhajotanāpucchā? (Mahāni. 150; cūḷani. puṇṇakamāṇavapucchāniddesa 12) pakatiyā lakkhaṇaṃ aññātaṃ hoti adiṭṭhaṃ atulitaṃ atīritaṃ avibhūtaṃ avibhāvitaṃ, tassa ñāṇāya dassanāya tulanāya tīraṇāya vibhūtāya vibhāvanatthāya pañhaṃ pucchati, ayaṃ adiṭṭhajotanāpucchā.

    กตมา ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉา? (มหานิ. ๑๕๐; จูฬนิ. ปุณฺณกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๑๒) ปกติยา ลกฺขณํ ญาตํ โหติ ทิฎฺฐํ ตุลิตํ ตีริตํ วิภูตํ วิภาวิตํ, โส อเญฺญหิ ปณฺฑิเตหิ สทฺธิํ สํสนฺทนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ, อยํ ทิฎฺฐสํสนฺทนาปุจฺฉาฯ

    Katamā diṭṭhasaṃsandanāpucchā? (Mahāni. 150; cūḷani. puṇṇakamāṇavapucchāniddesa 12) pakatiyā lakkhaṇaṃ ñātaṃ hoti diṭṭhaṃ tulitaṃ tīritaṃ vibhūtaṃ vibhāvitaṃ, so aññehi paṇḍitehi saddhiṃ saṃsandanatthāya pañhaṃ pucchati, ayaṃ diṭṭhasaṃsandanāpucchā.

    กตมา วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉา? (มหานิ. ๑๕๐; จูฬนิ. ปุณฺณกมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๑๒) ปกติยา สํสยปกฺขโนฺท โหติ วิมติปกฺขโนฺท เทฺวฬฺหกชาโต ‘‘เอวํ นุ โข, นนุ โข, กิํ นุ โข, กถํ นุ โข’’ติ? โส วิมติเจฺฉทนตฺถาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ, อยํ วิมติเจฺฉทนาปุจฺฉาฯ

    Katamā vimaticchedanāpucchā? (Mahāni. 150; cūḷani. puṇṇakamāṇavapucchāniddesa 12) pakatiyā saṃsayapakkhando hoti vimatipakkhando dveḷhakajāto ‘‘evaṃ nu kho, nanu kho, kiṃ nu kho, kathaṃ nu kho’’ti? So vimaticchedanatthāya pañhaṃ pucchati, ayaṃ vimaticchedanāpucchā.

    กตมา อนุมติปุจฺฉา? ภควา ภิกฺขูนํ อนุมติยา ปญฺหํ ปุจฺฉติ – ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา’’ติ? ‘‘อนิจฺจํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ยํ ปนานิจฺจํ, ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา’’ติ? ‘‘ทุกฺขํ, ภเนฺต’’ฯ ‘‘ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ติ (มหาว. ๒๑), อยํ อนุมติปุจฺฉาฯ

    Katamā anumatipucchā? Bhagavā bhikkhūnaṃ anumatiyā pañhaṃ pucchati – ‘‘taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, rūpaṃ niccaṃ vā aniccaṃ vā’’ti? ‘‘Aniccaṃ, bhante’’. ‘‘Yaṃ panāniccaṃ, dukkhaṃ vā taṃ sukhaṃ vā’’ti? ‘‘Dukkhaṃ, bhante’’. ‘‘Yaṃ panāniccaṃ dukkhaṃ vipariṇāmadhammaṃ, kallaṃ nu taṃ samanupassituṃ ‘etaṃ mama, esohamasmi, eso me attā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’ti (mahāva. 21), ayaṃ anumatipucchā.

    กตมา กเถตุกมฺยตาปุจฺฉา? ภควา ภิกฺขูนํ กเถตุกมฺยตาย ปญฺหํ ปุจฺฉติ – ‘‘จตฺตาโรเม , ภิกฺขเว, สติปฎฺฐานาฯ กตเม จตฺตาโร’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๙๐)? อยํ กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติฯ ตาสุ อยํ เถรสฺส กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาติ เวทิตพฺพาฯ

    Katamā kathetukamyatāpucchā? Bhagavā bhikkhūnaṃ kathetukamyatāya pañhaṃ pucchati – ‘‘cattārome , bhikkhave, satipaṭṭhānā. Katame cattāro’’ti (saṃ. ni. 5.390)? Ayaṃ kathetukamyatāpucchāti. Tāsu ayaṃ therassa kathetukamyatāpucchāti veditabbā.

    อิทานิ สมาติกุเทฺทสาย กเถตุกมฺยตาปุจฺฉาย ‘‘อิเม ธมฺมา อภิเญฺญยฺยาติ โสตาวธานํ, ตํปชานนา ปญฺญา สุตมเย ญาณ’’นฺติอาทโย โสฬส วิสฺสชฺชนุเทฺทสาฯ ตตฺถ อิเม ธมฺมา อภิเญฺญยฺยาติ ‘‘เทสยนฺตสฺสา’’ติ ปาฐเสโสฯ อิเม ธมฺมา อภิชานิตพฺพาติ สตฺถุโน, อญฺญตรสฺส วา ครุฎฺฐานิยสฺส สพฺรหฺมจาริสฺส ธมฺมํ เทสยนฺตสฺส ปุเพฺพ วุตฺตนเยน โสตาวธานํ สุตํ โสตาวธานํ นามฯ ตํปชานนา ปญฺญา ตสฺส สุตสฺส ปชานนา ปริยายปริจฺฉินฺทกปญฺญา สุตมเย ญาณํ นามาติ อโตฺถฯ ตสฺส ปชานนา ตํปชานนาติ สามิวจนสมาโสฯ ตํ ปชานนาติ วิภตฺติวิปลฺลาสวเสน อุปโยควจนํ วาฯ อภิเญฺญยฺยาติ จ สภาวลกฺขณาวโพธวเสน โสภเนนากาเรน ชานิตพฺพาฯ ปริเญฺญยฺยาติ สามญฺญลกฺขณาวโพธวเสน กิจฺจสมาปนวเสน จ พฺยาปิตฺวา ชานิตพฺพาฯ ภาเวตพฺพาติ วเฑฺฒตพฺพาฯ สจฺฉิกาตพฺพาติ ปจฺจกฺขํ กาตพฺพาฯ ทุวิธา หิ สจฺฉิกิริยา ปฎิลาภสจฺฉิกิริยา อารมฺมณสจฺฉิกิริยา จฯ ปจฺจนีกสมุทาจารวเสน ปริหานิยสงฺขาตํ หานํ ภชนฺตีติ หานภาคิยาฯ ตทนุธมฺมตาย สติยา สณฺฐานวเสน ฐานสงฺขาตํ ฐิติํ ภชนฺตีติ ฐิติภาคิยาฯ อุปริวิเสสาธิคมวเสน วิเสสํ ภชนฺตีติ วิเสสภาคิยาฯ อนิพฺพิทฺธปุพฺพํ อปฺปทาลิตปุพฺพํ โลภกฺขนฺธํ โทสกฺขนฺธํ โมหกฺขนฺธํ นิพฺพิชฺฌติ ปทาเลตีติ อริยมโคฺค นิเพฺพโธ นาม, นิพฺพิทาสหคตานํ สญฺญามนสิการานํ สมุทาจารวเสน ตํ นิเพฺพธํ ภชนฺตีติ นิเพฺพธภาคิยา

    Idāni samātikuddesāya kathetukamyatāpucchāya ‘‘ime dhammā abhiññeyyāti sotāvadhānaṃ, taṃpajānanā paññā sutamaye ñāṇa’’ntiādayo soḷasa vissajjanuddesā. Tattha ime dhammā abhiññeyyāti ‘‘desayantassā’’ti pāṭhaseso. Ime dhammā abhijānitabbāti satthuno, aññatarassa vā garuṭṭhāniyassa sabrahmacārissa dhammaṃ desayantassa pubbe vuttanayena sotāvadhānaṃ sutaṃ sotāvadhānaṃ nāma. Taṃpajānanā paññā tassa sutassa pajānanā pariyāyaparicchindakapaññā sutamaye ñāṇaṃ nāmāti attho. Tassa pajānanā taṃpajānanāti sāmivacanasamāso. Taṃ pajānanāti vibhattivipallāsavasena upayogavacanaṃ vā. Abhiññeyyāti ca sabhāvalakkhaṇāvabodhavasena sobhanenākārena jānitabbā. Pariññeyyāti sāmaññalakkhaṇāvabodhavasena kiccasamāpanavasena ca byāpitvā jānitabbā. Bhāvetabbāti vaḍḍhetabbā. Sacchikātabbāti paccakkhaṃ kātabbā. Duvidhā hi sacchikiriyā paṭilābhasacchikiriyā ārammaṇasacchikiriyā ca. Paccanīkasamudācāravasena parihāniyasaṅkhātaṃ hānaṃ bhajantīti hānabhāgiyā. Tadanudhammatāya satiyā saṇṭhānavasena ṭhānasaṅkhātaṃ ṭhitiṃ bhajantīti ṭhitibhāgiyā. Uparivisesādhigamavasena visesaṃ bhajantīti visesabhāgiyā. Anibbiddhapubbaṃ appadālitapubbaṃ lobhakkhandhaṃ dosakkhandhaṃ mohakkhandhaṃ nibbijjhati padāletīti ariyamaggo nibbedho nāma, nibbidāsahagatānaṃ saññāmanasikārānaṃ samudācāravasena taṃ nibbedhaṃ bhajantīti nibbedhabhāgiyā.

    สเพฺพ สงฺขาราติ สเพฺพ สปฺปจฺจยา ธมฺมาฯ เต หิ สงฺขตสงฺขารา นามฯ ปจฺจเยหิ สงฺคมฺม กรียนฺตีติ สงฺขารา, เต เอว ปจฺจเยหิ สงฺคมฺม กตตฺตา สงฺขตาติ วิเสเสตฺวา วุตฺตาฯ กมฺมนิพฺพตฺตา เตภูมกรูปารูปธมฺมา อภิสงฺขตสงฺขาราติ อฎฺฐกถาสุ (วิสุทฺธิ. ๒.๕๘๗; วิภ. อฎฺฐ. ๒๒๖ สงฺขารปทนิเทฺทส) วุตฺตาฯ เตปิ ‘‘อนิจฺจา ว สงฺขารา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๘๖; ๒.๑๔๓; ที. นิ. ๒.๒๒๑, ๒๗๒) สงฺขตสงฺขาเรสุ สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ ‘‘อวิชฺชาคโต อยํ, ภิกฺขเว, ปุริสปุคฺคโล ปุญฺญเญฺจว สงฺขารํ อภิสงฺขโรตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๕๑) อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราว อาคตา เตภูมิกกุสลากุสลเจตนา อภิสงฺขรณกสงฺขารา นามฯ ‘‘ยาวติกา อภิสงฺขารสฺส คติ, ตาวติกํ คนฺตฺวา อกฺขาหตํ มเญฺญ อฎฺฐาสี’’ติอาทีสุ อาคตํ กายิกํ เจตสิกํ วีริยํ ปโยคาภิสงฺขาโร นามฯ ‘‘สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปนฺนสฺส โข, อาวุโส วิสาข, ภิกฺขุโน ปฐมํ นิรุชฺฌติ วจีสงฺขาโร, ตโต กายสงฺขาโร, ตโต จิตฺตสงฺขาโร’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๔๖๔) อาคตา วิตกฺกวิจาราฯ วาจํ สงฺขโรนฺตีติ วจีสงฺขาราฯ อสฺสาสปสฺสาสา กาเยน สงฺขรียนฺตีติ กายสงฺขาราฯ สญฺญา จ เวทนา จ จิเตฺตน สงฺขรียนฺตีติ จิตฺตสงฺขาราฯ อิธ ปน สงฺขตสงฺขารา อธิเปฺปตาฯ

    Sabbe saṅkhārāti sabbe sappaccayā dhammā. Te hi saṅkhatasaṅkhārā nāma. Paccayehi saṅgamma karīyantīti saṅkhārā, te eva paccayehi saṅgamma katattā saṅkhatāti visesetvā vuttā. Kammanibbattā tebhūmakarūpārūpadhammā abhisaṅkhatasaṅkhārāti aṭṭhakathāsu (visuddhi. 2.587; vibha. aṭṭha. 226 saṅkhārapadaniddesa) vuttā. Tepi ‘‘aniccā va saṅkhārā’’tiādīsu (saṃ. ni. 1.186; 2.143; dī. ni. 2.221, 272) saṅkhatasaṅkhāresu saṅgahaṃ gacchanti. ‘‘Avijjāgato ayaṃ, bhikkhave, purisapuggalo puññañceva saṅkhāraṃ abhisaṅkharotī’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.51) avijjāpaccayā saṅkhārāva āgatā tebhūmikakusalākusalacetanā abhisaṅkharaṇakasaṅkhārā nāma. ‘‘Yāvatikā abhisaṅkhārassa gati, tāvatikaṃ gantvā akkhāhataṃ maññe aṭṭhāsī’’tiādīsu āgataṃ kāyikaṃ cetasikaṃ vīriyaṃ payogābhisaṅkhāro nāma. ‘‘Saññāvedayitanirodhaṃ samāpannassa kho, āvuso visākha, bhikkhuno paṭhamaṃ nirujjhati vacīsaṅkhāro, tato kāyasaṅkhāro, tato cittasaṅkhāro’’tiādīsu (ma. ni. 1.464) āgatā vitakkavicārā. Vācaṃ saṅkharontīti vacīsaṅkhārā. Assāsapassāsā kāyena saṅkharīyantīti kāyasaṅkhārā. Saññā ca vedanā ca cittena saṅkharīyantīti cittasaṅkhārā. Idha pana saṅkhatasaṅkhārā adhippetā.

    อนิจฺจาติ หุตฺวา อภาวเฎฺฐนฯ ทุกฺขาติ ปีฬนเฎฺฐนฯ สเพฺพ ธมฺมาติ นิพฺพานมฺปิ อโนฺตกตฺวา วุตฺตาฯ อนตฺตาติ อวสวตฺตนเฎฺฐนฯ อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจนฺติอาทีสุ ‘‘ทุกฺขสมุทโย ทุกฺขนิโรโธ’’ติ วตฺตเพฺพ ‘‘ทุกฺขสมุทยํ ทุกฺขนิโรธ’’นฺติ ลิงฺควิปลฺลาโส กโตฯ ยสฺมา ปน พุทฺธาทโย อริยา ปฎิวิชฺฌนฺติ, ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺติฯ ยถาห ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, อริยสจฺจานิ…เป.… อิมานิ โข, ภิกฺขเว, จตฺตาริ อริยสจฺจานิฯ อริยา อิมานิ ปฎิวิชฺฌนฺติ, ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺตี’’ติฯ อริยสฺส สจฺจานีติปิ อริยสจฺจานิฯ ยถาห ‘‘สเทวเก โลเก…เป.… สเทวมนุสฺสาย ตถาคโต อริโย, ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๘)ฯ เอเตสํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา อริยภาวสิทฺธิโตปิ อริยสจฺจานิฯ ยถาห ‘‘อิเมสํ โข, ภิกฺขเว, จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ ยถาภูตํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ อริโยติ วุจฺจตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๓)ฯ อริยานิ สจฺจานีติปิ อริยสจฺจานิฯ อริยานีติ อวิตถานิ, อวิสํวาทกานีติ อโตฺถฯ ยถาห ‘‘อิมานิ โข, ภิกฺขเว, จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิ, ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๗)ฯ สจฺจานีติ โก สจฺจโฎฺฐติ เจ? โย ปญฺญาจกฺขุนา อุปปริกฺขมานานํ มายาว วิปรีโต, มรีจีว วิสํวาทโก, ติตฺถิยานํ ปริกปฺปิตอตฺตาว อนุปลพฺภสภาโว จ น โหติ, อถ โข พาธนปภวสนฺตินิยฺยานปฺปกาเรน ตจฺฉาวิปรีตภูตภาเวน อริยญาณสฺส โคจโร โหติเยวฯ เอส อคฺคิลกฺขณํ วิย โลกปกติ วิย จ ตจฺฉาวิปรีตภูตภาโว สจฺจโฎฺฐติ เวทิตโพฺพฯ ยถาห ‘‘อิทํ ทุกฺขนฺติ, ภิกฺขเว, ตถเมตํ อวิตถเมตํ อนญฺญถเมต’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๐) วิตฺถาโรฯ อปิจ –

    Aniccāti hutvā abhāvaṭṭhena. Dukkhāti pīḷanaṭṭhena. Sabbe dhammāti nibbānampi antokatvā vuttā. Anattāti avasavattanaṭṭhena. Idaṃ dukkhaṃ ariyasaccantiādīsu ‘‘dukkhasamudayo dukkhanirodho’’ti vattabbe ‘‘dukkhasamudayaṃ dukkhanirodha’’nti liṅgavipallāso kato. Yasmā pana buddhādayo ariyā paṭivijjhanti, tasmā ariyasaccānīti vuccanti. Yathāha ‘‘cattārimāni, bhikkhave, ariyasaccāni…pe… imāni kho, bhikkhave, cattāri ariyasaccāni. Ariyā imāni paṭivijjhanti, tasmā ariyasaccānīti vuccantī’’ti. Ariyassa saccānītipi ariyasaccāni. Yathāha ‘‘sadevake loke…pe… sadevamanussāya tathāgato ariyo, tasmā ariyasaccānīti vuccantī’’ti (saṃ. ni. 5.1098). Etesaṃ abhisambuddhattā ariyabhāvasiddhitopi ariyasaccāni. Yathāha ‘‘imesaṃ kho, bhikkhave, catunnaṃ ariyasaccānaṃ yathābhūtaṃ abhisambuddhattā tathāgato arahaṃ sammāsambuddho ariyoti vuccatī’’ti (saṃ. ni. 5.1093). Ariyāni saccānītipi ariyasaccāni. Ariyānīti avitathāni, avisaṃvādakānīti attho. Yathāha ‘‘imāni kho, bhikkhave, cattāri ariyasaccāni tathāni avitathāni anaññathāni, tasmā ariyasaccānīti vuccantī’’ti (saṃ. ni. 5.1097). Saccānīti ko saccaṭṭhoti ce? Yo paññācakkhunā upaparikkhamānānaṃ māyāva viparīto, marīcīva visaṃvādako, titthiyānaṃ parikappitaattāva anupalabbhasabhāvo ca na hoti, atha kho bādhanapabhavasantiniyyānappakārena tacchāviparītabhūtabhāvena ariyañāṇassa gocaro hotiyeva. Esa aggilakkhaṇaṃ viya lokapakati viya ca tacchāviparītabhūtabhāvo saccaṭṭhoti veditabbo. Yathāha ‘‘idaṃ dukkhanti, bhikkhave, tathametaṃ avitathametaṃ anaññathameta’’nti (saṃ. ni. 5.1090) vitthāro. Apica –

    นาพาธกํ ยโต ทุกฺขํ, ทุกฺขา อญฺญํ น พาธกํ;

    Nābādhakaṃ yato dukkhaṃ, dukkhā aññaṃ na bādhakaṃ;

    พาธกตฺตนิยาเมน, ตโต สจฺจมิทํ มตํฯ

    Bādhakattaniyāmena, tato saccamidaṃ mataṃ.

    ตํ วินา นาญฺญโต ทุกฺขํ, น โหติ น จ ตํ ตโต;

    Taṃ vinā nāññato dukkhaṃ, na hoti na ca taṃ tato;

    ทุกฺขเหตุ นิยาเมน, อิติ สจฺจํ วิสตฺติกาฯ

    Dukkhahetu niyāmena, iti saccaṃ visattikā.

    นาญฺญา นิพฺพานโต สนฺติ, สนฺตํ น จ น ตํ ยโต;

    Nāññā nibbānato santi, santaṃ na ca na taṃ yato;

    สนฺตภาวนิยาเมน, ตโต สจฺจมิทํ มตํฯ

    Santabhāvaniyāmena, tato saccamidaṃ mataṃ.

    มคฺคา อญฺญํ น นิยฺยานํ, อนิยฺยาโน น จาปิ โส;

    Maggā aññaṃ na niyyānaṃ, aniyyāno na cāpi so;

    ตจฺฉนิยฺยานภาเวน, อิติ โส สจฺจสมฺมโตฯ

    Tacchaniyyānabhāvena, iti so saccasammato.

    อิติ ตจฺฉาวิปลฺลาส-ภูตภาวํ จตูสฺวปิ;

    Iti tacchāvipallāsa-bhūtabhāvaṃ catūsvapi;

    ทุกฺขาทีสฺววิเสเสน, สจฺจฎฺฐํ อาหุ ปณฺฑิตาติฯ

    Dukkhādīsvavisesena, saccaṭṭhaṃ āhu paṇḍitāti.

    โส ปนายํ สจฺจสโทฺท อเนเกสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ เสยฺยถิทํ – ‘‘สจฺจํ ภเณ น กุเชฺฌยฺยา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๒๒๔) วาจาสเจฺจฯ ‘‘สเจฺจ ฐิตา สมณพฺราหฺมณา จา’’ติอาทีสุ (ชา. ๒.๒๑.๔๓๓) วิรติสเจฺจฯ ‘‘กสฺมา นุ สจฺจานิ วทนฺติ นานา, ปวาทิยาเส กุสลาวทานา’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๙๑) ทิฎฺฐิสเจฺจฯ ‘‘เอกญฺหิ สจฺจํ น ทุตียมตฺถิ, ยสฺมิํ ปชา โน วิวเท ปชาน’’นฺติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๙๐; มหานิ. ๑๑๙) ปรมตฺถสเจฺจ นิพฺพาเน เจว มเคฺค จฯ ‘‘จตุนฺนํ สจฺจานํ กติ กุสลา กติ อกุสลา’’ติอาทีสุ (วิภ. ๒๑๖) อริยสเจฺจฯ สฺวายมิธาปิ อริยสเจฺจ ปวตฺตตีติฯ

    So panāyaṃ saccasaddo anekesu atthesu dissati. Seyyathidaṃ – ‘‘saccaṃ bhaṇe na kujjheyyā’’tiādīsu (dha. pa. 224) vācāsacce. ‘‘Sacce ṭhitā samaṇabrāhmaṇā cā’’tiādīsu (jā. 2.21.433) viratisacce. ‘‘Kasmā nu saccāni vadanti nānā, pavādiyāse kusalāvadānā’’tiādīsu (su. ni. 891) diṭṭhisacce. ‘‘Ekañhi saccaṃ na dutīyamatthi, yasmiṃ pajā no vivade pajāna’’ntiādīsu (su. ni. 890; mahāni. 119) paramatthasacce nibbāne ceva magge ca. ‘‘Catunnaṃ saccānaṃ kati kusalā kati akusalā’’tiādīsu (vibha. 216) ariyasacce. Svāyamidhāpi ariyasacce pavattatīti.

    นิเทฺทสวารสงฺคหิตสฺส วิสฺสชฺชนุเทฺทสสฺส

    Niddesavārasaṅgahitassa vissajjanuddesassa

    อตฺถวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Atthavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๑. สุตมยญาณนิเทฺทโส • 1. Sutamayañāṇaniddeso


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact