Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มชฺฌิมนิกาย (ฎีกา) • Majjhimanikāya (ṭīkā) |
๑๐. วิตกฺกสณฺฐานสุตฺตวณฺณนา
10. Vitakkasaṇṭhānasuttavaṇṇanā
๒๑๖. ทสกุสลกมฺมปถวเสนาติ อิทํ นิทสฺสนมตฺตํ ทฎฺฐพฺพํ วฎฺฎปาทกสมาปตฺติจิตฺตสฺสปิ อิธ อธิจิตฺตภาเวน อนิจฺฉิตตฺตาฯ เตนาห ‘‘วิปสฺสนาปาทกอฎฺฐสมาปตฺติจิตฺต’’นฺติฯ อถ วา อนุตฺตริมนุสฺสธมฺมสงฺคหิตเมว เกวลํ ‘‘ปกติจิตฺต’’นฺติ วตฺตพฺพนฺติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ทสกุสลกมฺมปถวเสน อุปฺปนฺนํ จิตฺตํ จิตฺตเมวา’’ติ วตฺวา ยเทตฺถ อธิจิตฺตนฺติ อธิเปฺปตํ, ตํ ตเทว ทเสฺสโนฺต ‘‘วิปสฺสนาปาทกอฎฺฐสมาปตฺติจิตฺต’’นฺติ อาหฯ อิตรสฺส ปเนตฺถ วิธิ น ปฎิเสเธตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ วิปสฺสนาย สมฺปยุตฺตํ อธิจิตฺตนฺติ เกจิฯ อนุยุเตฺตนาติ อนุปฺปนฺนสฺส อุปฺปาทนวเสน, อุปฺปนฺนสฺส ปริพฺรูหนวเสน อนุ อนุ ยุเตฺตนฯ มูลกมฺมฎฺฐานนฺติ ปาริหาริยกมฺมฎฺฐานํฯ คเหตฺวา วิหรโนฺตติ ภาวนํ อนุยุญฺชโนฺตฯ ภาวนาย อปฺปนํ อปฺปโตฺตปิ อธิจิตฺตมนุยุโตฺตเยว ตทเตฺถปิ ตํสทฺทโวหารโตฯ
216.Dasakusalakammapathavasenāti idaṃ nidassanamattaṃ daṭṭhabbaṃ vaṭṭapādakasamāpatticittassapi idha adhicittabhāvena anicchitattā. Tenāha ‘‘vipassanāpādakaaṭṭhasamāpatticitta’’nti. Atha vā anuttarimanussadhammasaṅgahitameva kevalaṃ ‘‘pakaticitta’’nti vattabbanti dassento ‘‘dasakusalakammapathavasena uppannaṃ cittaṃ cittamevā’’ti vatvā yadettha adhicittanti adhippetaṃ, taṃ tadeva dassento ‘‘vipassanāpādakaaṭṭhasamāpatticitta’’nti āha. Itarassa panettha vidhi na paṭisedhetīti daṭṭhabbaṃ. Vipassanāya sampayuttaṃ adhicittanti keci. Anuyuttenāti anuppannassa uppādanavasena, uppannassa paribrūhanavasena anu anu yuttena. Mūlakammaṭṭhānanti pārihāriyakammaṭṭhānaṃ. Gahetvā viharantoti bhāvanaṃ anuyuñjanto. Bhāvanāya appanaṃ appattopi adhicittamanuyuttoyeva tadatthepi taṃsaddavohārato.
เยหิ ผลํ นาม ยถา อุปฺปชฺชนฎฺฐาเน ปกปฺปิยมานํ วิย โหติ, ตานิ นิมิตฺตานิฯ เตนาห ‘‘การณานี’’ติฯ กาเลน กาลนฺติ เอตฺถ กาเลนาติ ภุมฺมเตฺถ กรณวจนนฺติ อาห ‘‘สมเย สมเย’’ติฯ นนุ จ…เป.… นิรนฺตรํ มนสิ กาตพฺพนฺติ กสฺมา วุตฺตํ, นนุ จ ภาวนาย วีถิปฎิปนฺนตฺตา อพฺพุทนีหรณวิธิํ ทเสฺสเนฺตน ภควตา ‘‘ปญฺจ นิมิตฺตานิ กาเลน กาลํ มนสิ กาตพฺพานี’’ติ อยํ เทสนา อารทฺธาติ? ‘‘อธิจิตฺตมนุยุเตฺตนา’’ติ วุตฺตตฺตา อวิเจฺฉทวเสน ภาวนาย ยุตฺตปฺปยุโตฺต อธิจิตฺตมนุยุโตฺต นามาติ โจทกสฺส อธิปฺปาโยฯ อิตโร ภาวนํ อนุยุญฺชนฺตสฺสอาทิกมฺมิกสฺส กทาจิ ภาวนุปกฺกิเลสา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ตโต จิตฺตสฺส วิโสธนตฺถาย ยถากาลํ อิมานิ นิมิตฺตานิ มนสิ กาตพฺพานีติ ‘‘กาเลน กาล’’นฺติ สตฺถา อโวจาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปาฬิยญฺหี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิมานีติ อิมานิ ปาฬิยํ อาคตานิ ปญฺจ นิมิตฺตานิฯ อพฺพุทนฺติ อุปทฺทวํฯ
Yehi phalaṃ nāma yathā uppajjanaṭṭhāne pakappiyamānaṃ viya hoti, tāni nimittāni. Tenāha ‘‘kāraṇānī’’ti. Kālena kālanti ettha kālenāti bhummatthe karaṇavacananti āha ‘‘samaye samaye’’ti. Nanu ca…pe… nirantaraṃ manasi kātabbanti kasmā vuttaṃ, nanu ca bhāvanāya vīthipaṭipannattā abbudanīharaṇavidhiṃ dassentena bhagavatā ‘‘pañca nimittāni kālena kālaṃ manasi kātabbānī’’ti ayaṃ desanā āraddhāti? ‘‘Adhicittamanuyuttenā’’ti vuttattā avicchedavasena bhāvanāya yuttappayutto adhicittamanuyutto nāmāti codakassa adhippāyo. Itaro bhāvanaṃ anuyuñjantassaādikammikassa kadāci bhāvanupakkilesā uppajjeyyuṃ, tato cittassa visodhanatthāya yathākālaṃ imāni nimittāni manasi kātabbānīti ‘‘kālena kāla’’nti satthā avocāti dassento ‘‘pāḷiyañhī’’tiādimāha. Tattha imānīti imāni pāḷiyaṃ āgatāni pañca nimittāni. Abbudanti upaddavaṃ.
ฉนฺทสหคตา ราคสมฺปยุตฺตาติ ตณฺหาฉนฺทสหคตา กามราคสมฺปยุตฺตาฯ อิฎฺฐานิฎฺฐอสมเปกฺขิเตสูติ อิเฎฺฐสุ ปิเยสุ, อนิเฎฺฐสุ อปฺปิเยสุ, อสมํ อสมฺมา เปกฺขิเตสุฯ อสมเปกฺขนนฺติ เคหสฺสิตอญฺญาณุเปกฺขาวเสน อารมฺมณสฺส อโยนิโส คหณํฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา อุเปกฺขา พาลสฺส มูฬฺหสฺส ปุถุชฺชนสฺสา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๓.๓๐๘)ฯ เต ปริวิตกฺกาฯ ตโต นิมิตฺตโต อญฺญนฺติ ตโต ฉนฺทูปสํหิตาทิอกุสลวิตกฺกุปฺปตฺติการณโต อญฺญํ นวํ นิมิตฺตํฯ ‘‘มนสิกโรโต’’ติ หิ วุตฺตํ, ตสฺมา อารมฺมณํ, ตาทิโส ปุริมุปฺปโนฺน จิตฺตปฺปวตฺติอากาโร วา นิมิตฺตํฯ กุสลนิสฺสิตํ นิมิตฺตนฺติ กุสลจิตฺตปฺปวตฺติการณํ มนสิ กาตพฺพํ จิเตฺต ฐเปตพฺพํ, ภาวนาวเสน จิเนฺตตพฺพํ, จิตฺตสนฺตาเน วา สงฺกมิตพฺพํฯ อสุภญฺหิ อสุภนิมิตฺตนฺติฯ สงฺขาเรสุ อุปฺปเนฺน ฉนฺทูปสํหิเต วิตเกฺกติ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ เอวํ ‘‘โทสูปสญฺหิเต’’ติอาทีสุ ยถารหํ ตํ ตํ ปทํ อาเนตฺวา สมฺพนฺธิตพฺพํฯ ยตฺถ กตฺถจีติ ‘‘สเตฺตสุ สงฺขาเรสู’’ติ ยตฺถ กตฺถจิฯ ปญฺจธมฺมูปนิสฺสโยติ ปญฺจวิโธ ธมฺมูปสํหิโต อุปนิสฺสโยฯ
Chandasahagatā rāgasampayuttāti taṇhāchandasahagatā kāmarāgasampayuttā. Iṭṭhāniṭṭhaasamapekkhitesūti iṭṭhesu piyesu, aniṭṭhesu appiyesu, asamaṃ asammā pekkhitesu. Asamapekkhananti gehassitaaññāṇupekkhāvasena ārammaṇassa ayoniso gahaṇaṃ. Yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘cakkhunā rūpaṃ disvā upekkhā bālassa mūḷhassa puthujjanassā’’tiādi (ma. ni. 3.308). Te parivitakkā. Tato nimittato aññanti tato chandūpasaṃhitādiakusalavitakkuppattikāraṇato aññaṃ navaṃ nimittaṃ. ‘‘Manasikaroto’’ti hi vuttaṃ, tasmā ārammaṇaṃ, tādiso purimuppanno cittappavattiākāro vā nimittaṃ. Kusalanissitaṃ nimittanti kusalacittappavattikāraṇaṃ manasi kātabbaṃ citte ṭhapetabbaṃ, bhāvanāvasena cintetabbaṃ, cittasantāne vā saṅkamitabbaṃ. Asubhañhi asubhanimittanti. Saṅkhāresu uppanne chandūpasaṃhite vitakketi ānetvā sambandhitabbaṃ. Evaṃ ‘‘dosūpasañhite’’tiādīsu yathārahaṃ taṃ taṃ padaṃ ānetvā sambandhitabbaṃ. Yattha katthacīti ‘‘sattesu saṅkhāresū’’ti yattha katthaci. Pañcadhammūpanissayoti pañcavidho dhammūpasaṃhito upanissayo.
เอวํ ‘‘ฉนฺทูปสญฺหิเต’’ติอาทินา สเงฺขปโต วุตฺตมตฺถํ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ ‘‘อิมสฺส หตฺถา วา โสภนา’’ติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ ‘‘อสุภโต อุปสํหริตพฺพ’’นฺติ วตฺวา อุปสํหรณาการสฺส ทสฺสนํ ‘‘กิมฺหิ สารโตฺตสี’’ติฯ ฉวิราเคนาติ ฉวิราคตาย กาฬสามาทิวณฺณนิภายฯ กุผฬปูริโตติ ปเกฺกหิ กุณปผเลหิ ปุโณฺณฯ ‘‘กลิผลปูริโต’’ติ วา ปาโฐฯ
Evaṃ ‘‘chandūpasañhite’’tiādinā saṅkhepato vuttamatthaṃ vitthārato dassetuṃ ‘‘imassa hatthā vā sobhanā’’tiādi āraddhaṃ. Tattha ‘‘asubhatoupasaṃharitabba’’nti vatvā upasaṃharaṇākārassa dassanaṃ ‘‘kimhi sārattosī’’ti. Chavirāgenāti chavirāgatāya kāḷasāmādivaṇṇanibhāya. Kuphaḷapūritoti pakkehi kuṇapaphalehi puṇṇo. ‘‘Kaliphalapūrito’’ti vā pāṭho.
อสฺสามิกตาวกาลิกภาววเสนาติ อิทํ ปตฺตํ อนุกฺกเมน วณฺณวิการเญฺจว ชิณฺณภาวญฺจ ปตฺวา ฉิทฺทาวฉิทฺทํ ภินฺนํ วา หุตฺวา กปาลนิฎฺฐํ ภวิสฺสติฯ อิทํ จีวรํ อนุปุเพฺพน วณฺณวิการํ ชิณฺณตญฺจ อุปคนฺตฺวา ปาทปุญฺฉนโจฬกํ หุตฺวา ยฎฺฐิโกฎิยา ฉฑฺฑนียํ ภวิสฺสติฯ สเจ ปน เนสํ สามิโก ภเวยฺย, น เนสํ เอวํ วินสฺสิตุํ ทเทยฺยาติ เอวํ อสฺสามิกภาววเสน, ‘‘อนทฺธนิยํ อิทํ ตาวกาลิก’’นฺติ เอวํ ตาวกาลิกภาววเสน จ มนสิกโรโตฯ
Assāmikatāvakālikabhāvavasenāti idaṃ pattaṃ anukkamena vaṇṇavikārañceva jiṇṇabhāvañca patvā chiddāvachiddaṃ bhinnaṃ vā hutvā kapālaniṭṭhaṃ bhavissati. Idaṃ cīvaraṃ anupubbena vaṇṇavikāraṃ jiṇṇatañca upagantvā pādapuñchanacoḷakaṃ hutvā yaṭṭhikoṭiyā chaḍḍanīyaṃ bhavissati. Sace pana nesaṃ sāmiko bhaveyya, na nesaṃ evaṃ vinassituṃ dadeyyāti evaṃ assāmikabhāvavasena, ‘‘anaddhaniyaṃ idaṃ tāvakālika’’nti evaṃ tāvakālikabhāvavasena ca manasikaroto.
อาฆาตวินย…เป.… ภาเวตพฺพาติ – ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, อาฆาตปฎิวินยาฯ ยตฺถ หิ ภิกฺขุโน อุปฺปโนฺน อาฆาโต สพฺพโส ปฎิวิเนตโพฺพ’’ติอาทินา นเยน อาคตสฺส อาฆาตวินยสุตฺตสฺส (อ. นิ. ๕.๑๖๑) เจว กกจูปโมวาท(ม. นิ. ๑.๒๒๒-๒๓๓) ฉวาลาตูปมาทีนญฺจ (อิติวุ. ๙๑) วเสน อาฆาตํ ปฎิวิโนเทตฺวา เมตฺตา ภาเวตพฺพาฯ
Āghātavinaya…pe… bhāvetabbāti – ‘‘pañcime, bhikkhave, āghātapaṭivinayā. Yattha hi bhikkhuno uppanno āghāto sabbaso paṭivinetabbo’’tiādinā nayena āgatassa āghātavinayasuttassa (a. ni. 5.161) ceva kakacūpamovāda(ma. ni. 1.222-233) chavālātūpamādīnañca (itivu. 91) vasena āghātaṃ paṭivinodetvā mettā bhāvetabbā.
ครุสํวาโสติ ครุํ อุปนิสฺสาย วาโสฯ อุเทฺทโสติ ปริยตฺติธมฺมสฺส อุทฺทิสาปนเญฺจว อุทฺทิสนญฺจฯ อุทฺทิฎฺฐปริปุจฺฉนนฺติ ยถาอุคฺคหิตสฺส ธมฺมสฺส อตฺถปริปุจฺฉาฯ ปญฺจ ธมฺมูปนิสฺสายาติ ครุสํวาสาทิเก ปญฺจ ธเมฺม ปฎิจฺจฯ โมหธาตูติ โมโหฯ
Garusaṃvāsoti garuṃ upanissāya vāso. Uddesoti pariyattidhammassa uddisāpanañceva uddisanañca. Uddiṭṭhaparipucchananti yathāuggahitassa dhammassa atthaparipucchā. Pañca dhammūpanissāyāti garusaṃvāsādike pañca dhamme paṭicca. Mohadhātūti moho.
อุปนิสฺสิตพฺพาติ อุปนิสฺสยิตพฺพา, อยเมว วา ปาโฐฯ ยตฺตปฺปฎิยโตฺตติ ยโตฺต จ คามปฺปเวสนาปุจฺฉากรเณสุ อุสฺสุกฺกํ อาปโนฺน สชฺชิโต จ โหตีติ อโตฺถฯ อถสฺส โมโห ปหียตีติ อสฺส ภิกฺขุโน เอวํ ตตฺถ ยุตฺตปฺปยุตฺตสฺส ปจฺฉา โส โมโห วิคจฺฉติฯ เอวมฺปีติ เอวํ อุเทฺทเส อปฺปมชฺชเนนปิฯ ปุน เอวมฺปีติ อตฺถปริปุจฺฉาย กงฺขาวิโนทเนปิฯ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ อโตฺถ ปากโฎ โหตีติ สุยฺยมานสฺส ธมฺมสฺส เตสุ เตสุ ปเทสุ ‘‘อิธ สีลํ กถิตํ, อิธ สมาธิ, อิธ ปญฺญา’’ติ โส โส อโตฺถ วิภูโต โหติฯ อิทํ จกฺขุรูปาโลกาทิ อิมสฺส จกฺขุวิญฺญาณสฺส การณํ, อิทํ สาลิพีชภูมิสลิลาทิ อิมสฺส สาลิองฺกุรสฺส การณํฯ อิทํ น การณนฺติ ตเทว จกฺขุรูปาโลกาทิ โสตวิญฺญาณสฺส, ตเทว สาลิพีชาทิ กุทฺรุสกงฺกุรสฺส น การณนฺติ ฐานาฎฺฐานวินิจฺฉเย เฉโก โหติฯ
Upanissitabbāti upanissayitabbā, ayameva vā pāṭho. Yattappaṭiyattoti yatto ca gāmappavesanāpucchākaraṇesu ussukkaṃ āpanno sajjito ca hotīti attho. Athassa moho pahīyatīti assa bhikkhuno evaṃ tattha yuttappayuttassa pacchā so moho vigacchati. Evampīti evaṃ uddese appamajjanenapi. Puna evampīti atthaparipucchāya kaṅkhāvinodanepi. Tesu tesu ṭhānesu attho pākaṭo hotīti suyyamānassa dhammassa tesu tesu padesu ‘‘idha sīlaṃ kathitaṃ, idha samādhi, idha paññā’’ti so so attho vibhūto hoti. Idaṃ cakkhurūpālokādi imassa cakkhuviññāṇassa kāraṇaṃ, idaṃ sālibījabhūmisalilādi imassa sāliaṅkurassa kāraṇaṃ. Idaṃ na kāraṇanti tadeva cakkhurūpālokādi sotaviññāṇassa, tadeva sālibījādi kudrusakaṅkurassa na kāraṇanti ṭhānāṭṭhānavinicchaye cheko hoti.
อารมฺมเณสูติ กมฺมฎฺฐาเนสุฯ อิเม วิตกฺกาติ กามวิตกฺกาทโยฯ สเพฺพ กุสลา ธมฺมา สพฺพากุสลปฎิปกฺขาติ กตฺวา ‘‘ปหียนฺตี’’ติ วตฺตเพฺพ น สเพฺพ สเพฺพสํ อุชุวิปจฺจนีกภูตาติ ‘‘ปหียนฺติ เอวา’’ติ สาสงฺกํ วทติฯ เตนาห ‘‘อิมานี’’ติอาทิฯ
Ārammaṇesūti kammaṭṭhānesu. Ime vitakkāti kāmavitakkādayo. Sabbe kusalā dhammā sabbākusalapaṭipakkhāti katvā ‘‘pahīyantī’’ti vattabbe na sabbe sabbesaṃ ujuvipaccanīkabhūtāti ‘‘pahīyanti evā’’ti sāsaṅkaṃ vadati. Tenāha ‘‘imānī’’tiādi.
กุสลนิสฺสิตนฺติ กุสเลน นิสฺสิตํ นิสฺสยิตพฺพํฯ กุสลสฺส ปจฺจยภูตนฺติ ตเสฺสว เววจนํ, กุสลุปฺปตฺติการณํ ยถาวุตฺตอสุภนิมิตฺตาทิเมว วทติฯ สารผลเกติ จนฺทนมเย สารผลเกฯ วิสมาณินฺติ วิสมากาเรน ตตฺถ ฐิตํ อาณิํฯ หเนยฺยาติ ปหเรยฺย นิกฺขาเมยฺยฯ
Kusalanissitanti kusalena nissitaṃ nissayitabbaṃ. Kusalassa paccayabhūtanti tasseva vevacanaṃ, kusaluppattikāraṇaṃ yathāvuttaasubhanimittādimeva vadati. Sāraphalaketi candanamaye sāraphalake. Visamāṇinti visamākārena tattha ṭhitaṃ āṇiṃ. Haneyyāti pahareyya nikkhāmeyya.
๒๑๗. อโฎฺฎติ อาตุโร, ทุคฺคนฺธพาธตาย ปีฬิโตฯ ทุกฺขิโตติ สญฺชาตทุโกฺขฯ อิมินาปิ การเณนาติ อโกสลฺลสมฺภูตตาย กุสลปฎิปกฺขตาย เคหสฺสิตโรเคน สโรคตาย จ เอเต อกุสลา วิญฺญุครหิตพฺพตาย ชิคุจฺฉนียตาย จ สาวชฺชา อนิฎฺฐผลตาย นิรสฺสาทสํวตฺตนิยตาย จ ทุกฺขวิปากาติ เอวํ เตน เตน การเณน อกุสลาทิภาวํ อุปปริกฺขโตฯ
217.Aṭṭoti āturo, duggandhabādhatāya pīḷito. Dukkhitoti sañjātadukkho. Imināpi kāraṇenāti akosallasambhūtatāya kusalapaṭipakkhatāya gehassitarogena sarogatāya ca ete akusalā viññugarahitabbatāya jigucchanīyatāya ca sāvajjā aniṭṭhaphalatāya nirassādasaṃvattaniyatāya ca dukkhavipākāti evaṃ tena tena kāraṇena akusalādibhāvaṃ upaparikkhato.
‘‘อาตุรํ อสุจิํ ปูติํ, ปสฺส นเนฺท สมุสฺสยํ;
‘‘Āturaṃ asuciṃ pūtiṃ, passa nande samussayaṃ;
อุคฺฆรนฺตํ ปคฺฆรนฺตํ, พาลานํ อภินนฺทิต’’นฺติฯ (อป. เถรี ๒.๔.๑๕๗) –
Uggharantaṃ paggharantaṃ, bālānaṃ abhinandita’’nti. (apa. therī 2.4.157) –
เอวมาทิ กายวิจฺฉนฺทนียกถาทีหิ วาฯ อาทิ-สเทฺทน –
Evamādi kāyavicchandanīyakathādīhi vā. Ādi-saddena –
‘‘ตเสฺสว เตน ปาปิโย, โย กุทฺธํ ปฎิกุชฺฌติ;
‘‘Tasseva tena pāpiyo, yo kuddhaṃ paṭikujjhati;
กุทฺธํ อปฺปฎิกุชฺฌโนฺต, สงฺคามํ เชติ ทุชฺชย’’นฺติฯ (เถรคา. ๔๔๒) –
Kuddhaṃ appaṭikujjhanto, saṅgāmaṃ jeti dujjaya’’nti. (theragā. 442) –
เอวมาทิ ปฎิฆวูปสมนกถาทิกาปิ สงฺคณฺหาติฯ
Evamādi paṭighavūpasamanakathādikāpi saṅgaṇhāti.
๒๑๘. น สรณํ อสติ, อนนุสฺสรณํฯ อมนสิกรณํ อมนสิกาโรฯ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา นิสีทิตพฺพนฺติ กมฺมฎฺฐานมนสิกาเรเนว นิสีทิตพฺพํฯ อุคฺคหิโต ธมฺมกถาปพโนฺธติ กมฺมฎฺฐานสฺส อุปกาโร ธมฺมกถาปพโนฺธฯ มุฎฺฐิโปตฺถโกติ มุฎฺฐิปฺปมาโณ ปาริหาริยโปตฺถโกฯ สมนฺนาเนเนฺตนาติ สมนฺนาหรเนฺตนฯ โอกาโส น โหติ อารทฺธสฺส ปริโยสาเปตพฺพโตฯ อารทฺธสฺส อนฺตคมนํ อนารโมฺภวาติ เถรวาโทฯ ตสฺสาติ อุปชฺฌายสฺสฯ ปพฺภารโสธนํ กายกมฺมํ, อารภโนฺต เอว วิตกฺกนิคฺคณฺหนตฺถํ สํยุตฺตนิกายสชฺฌายนํ วจีกมฺมํ, ทสฺสนกิจฺจปุพฺพกมฺมกรณตฺถํ เตโชกสิณปริกมฺมนฺติ ตีณิ กมฺมานิ อาจิโนติฯ เถโร ตสฺส อาสยํ กสิณญฺจ สวิเสสํ ชานิตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ วิหาเร’’ติอาทิมโวจฯ เตนสฺส ยถาธิปฺปายํ สพฺพํ สมฺปาทิตํฯ อสติปพฺพํ นาม อสติยา วิตกฺกนิคฺคหณวิภาวนโตฯ
218. Na saraṇaṃ asati, ananussaraṇaṃ. Amanasikaraṇaṃ amanasikāro. Kammaṭṭhānaṃ gahetvā nisīditabbanti kammaṭṭhānamanasikāreneva nisīditabbaṃ. Uggahito dhammakathāpabandhoti kammaṭṭhānassa upakāro dhammakathāpabandho. Muṭṭhipotthakoti muṭṭhippamāṇo pārihāriyapotthako. Samannānentenāti samannāharantena. Okāso na hoti āraddhassa pariyosāpetabbato. Āraddhassa antagamanaṃ anārambhovāti theravādo. Tassāti upajjhāyassa. Pabbhārasodhanaṃ kāyakammaṃ, ārabhanto eva vitakkaniggaṇhanatthaṃ saṃyuttanikāyasajjhāyanaṃ vacīkammaṃ, dassanakiccapubbakammakaraṇatthaṃ tejokasiṇaparikammanti tīṇi kammāni ācinoti. Thero tassa āsayaṃ kasiṇañca savisesaṃ jānitvā ‘‘imasmiṃ vihāre’’tiādimavoca. Tenassa yathādhippāyaṃ sabbaṃ sampāditaṃ. Asatipabbaṃ nāma asatiyā vitakkaniggahaṇavibhāvanato.
๒๑๙. วิตกฺกมูลเภทํ ปพฺพนฺติ วิตกฺกมูลสฺส ตมฺมูลสฺส จ เภทวิภาวนํ วิตกฺกมูลเภทํ ปพฺพํฯ วิตกฺกํ สงฺขโรตีติ วิตกฺกสงฺขาโร, วิตกฺกปจฺจโย สุภนิมิตฺตาทีสุปิ สุภาทินา อโยนิโสมนสิกาโรฯ โส ปน วิตกฺกสงฺขาโร สํติฎฺฐติ เอตฺถาติ วิตกฺกสงฺขารสณฺฐานํ, อสุเภ สุภนฺติอาทิ สญฺญาวิปลฺลาโสฯ เตนาห ‘‘วิตกฺกานํ มูลญฺจ มูลมูลญฺจ มนสิ กาตพฺพ’’นฺติฯ วิตกฺกานํ มูลมูลํ คจฺฉนฺตสฺสาติ อุปปริกฺขนวเสน มิจฺฉาวิตกฺกานํ มูลํ อุปฺปตฺติการณํ ญาณคติยา คจฺฉนฺตสฺสฯ ยาถาวโต ชานนฺตสฺส ปุเพฺพ วิย วิตกฺกา อภิณฺหํ นปฺปวตฺตนฺตีติ อาห ‘‘วิตกฺกจาโร สิถิโล โหตี’’ติฯ ตสฺมิํ สิถิลีภูเต มตฺถกํ คจฺฉเนฺตติ วุตฺตนเยน วิตกฺกจาโร สิถิลภูโต, ตสฺมิํ วิตกฺกานํ มูลคมเน อนุกฺกเมน ถิรภาวปฺปตฺติยา มตฺถกํ คจฺฉเนฺตฯ วิตกฺกา สพฺพโส นิรุชฺฌนฺตีติ มิจฺฉาวิตกฺกา สเพฺพปิ คจฺฉนฺติ น สมุทาจรนฺติ, ภาวนาปาริปูริยา วา อนวเสสา ปหียนฺติฯ
219.Vitakkamūlabhedaṃ pabbanti vitakkamūlassa tammūlassa ca bhedavibhāvanaṃ vitakkamūlabhedaṃ pabbaṃ. Vitakkaṃ saṅkharotīti vitakkasaṅkhāro, vitakkapaccayo subhanimittādīsupi subhādinā ayonisomanasikāro. So pana vitakkasaṅkhāro saṃtiṭṭhati etthāti vitakkasaṅkhārasaṇṭhānaṃ, asubhe subhantiādi saññāvipallāso. Tenāha ‘‘vitakkānaṃ mūlañca mūlamūlañca manasi kātabba’’nti. Vitakkānaṃ mūlamūlaṃ gacchantassāti upaparikkhanavasena micchāvitakkānaṃ mūlaṃ uppattikāraṇaṃ ñāṇagatiyā gacchantassa. Yāthāvato jānantassa pubbe viya vitakkā abhiṇhaṃ nappavattantīti āha ‘‘vitakkacāro sithilo hotī’’ti. Tasmiṃ sithilībhūte matthakaṃ gacchanteti vuttanayena vitakkacāro sithilabhūto, tasmiṃ vitakkānaṃ mūlagamane anukkamena thirabhāvappattiyā matthakaṃ gacchante. Vitakkā sabbaso nirujjhantīti micchāvitakkā sabbepi gacchanti na samudācaranti, bhāvanāpāripūriyā vā anavasesā pahīyanti.
กณฺณมูเล ปติตนฺติ สสกสฺส กณฺณสมีเป กณฺณสกฺขลิํ ปหรนฺตํ วิย อุปปติตํฯ ตสฺส กิร สสกสฺส เหฎฺฐา มหามูสิกาหิ ขตมหาวาฎํ อุมงฺคสทิสํ อโหสิ, เตนสฺส ปาเตน มหาสโทฺท อโหสิฯ ปลายิํสุ ‘‘ปถวี อุทฺรียตี’’ติฯ มูลมูลํ คนฺตฺวา อนุวิเชฺชยฺยนฺติ ‘‘ปถวี ภิชฺชตี’’ติ ยตฺถายํ สโส อุฎฺฐิโต, ตตฺถ คนฺตฺวา ตสฺส มูลการณํ ยํนูน วีมํเสยฺยํฯ ปถวิยา ภิชฺชนฎฺฐานํ คเต ‘‘โก ชานาติ, กิํ ภวิสฺสตี’’ติ สโส ‘‘น สโกฺกมิ สามี’’ติ อาหฯ อาธิปจฺจวโต หิ ยาจนํ สณฺหมุทุกํฯ ทุทฺทุภายตีติ ทุทฺทุภาติ สทฺทํ กโรติฯ อนุรวทสฺสนเญฺหตํฯ ภทฺทเนฺตติ มิคราชสฺส ปิยสมุทาจาโร, มิคราช, ภทฺทํ เต อตฺถูติ อโตฺถฯ กิเมตนฺติ กิํ เอตํ, กิํ ตสฺส มูลการณํ? ทุทฺทุภนฺติ อิทมฺปิ ตสฺส อนุรวทสฺสนเมวฯ เอวนฺติ ยถา สสกสฺส มหาปถวีเภทนํ รวนาย มิจฺฉาคาหสมุฎฺฐานํ อมูลํ, เอวํ วิตกฺกจาโรปิ สญฺญาวิปลฺลาสสมุฎฺฐาโน อมูโลฯ เตนาห ‘‘วิตกฺกาน’’นฺติอาทิฯ
Kaṇṇamūle patitanti sasakassa kaṇṇasamīpe kaṇṇasakkhaliṃ paharantaṃ viya upapatitaṃ. Tassa kira sasakassa heṭṭhā mahāmūsikāhi khatamahāvāṭaṃ umaṅgasadisaṃ ahosi, tenassa pātena mahāsaddo ahosi. Palāyiṃsu ‘‘pathavī udrīyatī’’ti. Mūlamūlaṃ gantvā anuvijjeyyanti ‘‘pathavī bhijjatī’’ti yatthāyaṃ saso uṭṭhito, tattha gantvā tassa mūlakāraṇaṃ yaṃnūna vīmaṃseyyaṃ. Pathaviyā bhijjanaṭṭhānaṃ gate ‘‘ko jānāti, kiṃ bhavissatī’’ti saso ‘‘na sakkomi sāmī’’ti āha. Ādhipaccavato hi yācanaṃ saṇhamudukaṃ. Duddubhāyatīti duddubhāti saddaṃ karoti. Anuravadassanañhetaṃ. Bhaddanteti migarājassa piyasamudācāro, migarāja, bhaddaṃ te atthūti attho. Kimetanti kiṃ etaṃ, kiṃ tassa mūlakāraṇaṃ? Duddubhanti idampi tassa anuravadassanameva. Evanti yathā sasakassa mahāpathavībhedanaṃ ravanāya micchāgāhasamuṭṭhānaṃ amūlaṃ, evaṃ vitakkacāropi saññāvipallāsasamuṭṭhāno amūlo. Tenāha ‘‘vitakkāna’’ntiādi.
๒๒๐. อภิทนฺตนฺติ อภิภวนทนฺตํ, อุปริทนฺตนฺติ อโตฺถฯ เตนาห ‘‘อุปริทนฺต’’นฺติฯ โส หิ อิตรํ มุสลํ วิย อุทุกฺขลํ วิเสสโต กสฺสจิ ขาทนกาเล อภิภุยฺย วตฺตติฯ กุสลจิเตฺตนาติ พลวสมฺมาสงฺกปฺปสมฺปยุเตฺตนฯ อกุสลจิตฺตนฺติ กามวิตกฺกาทิสหิตํ อกุสลจิตฺตํฯ อภินิคฺคณฺหิตพฺพนฺติ ยถา ตสฺส อายติํ สมุทาจาโร น โหติ, เอวํ อภิภวิตฺวา นิคฺคเหตพฺพํ, อนุปฺปตฺติธมฺมตา อาปาเทตพฺพาติ อโตฺถฯ เก จ ตุเมฺห สติปิ จิรกาลภาวนาย เอวํ อทุพฺพลา โก จาหํ มม สนฺติเก ลทฺธปฺปติเฎฺฐ วิย ฐิเตปิ อิทาเนว อปฺปติเฎฺฐ กโรโนฺต อิติ เอวํ อภิภวิตฺวาฯ ตํ ปน อภิภวนาการํ ทเสฺสโนฺต ‘‘กามํ ตโจ จา’’ติอาทินา จตุรงฺคสมนฺนาคตวีริยปคฺคณฺหนมาหฯ อตฺถทีปิกนฺติ เอกนฺตโต วิตกฺกนิคฺคณฺหนตฺถโชตกํฯ อุปมนฺติ ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, พลวา ปุริโส’’ติอาทิกํ อุปมํฯ
220.Abhidantanti abhibhavanadantaṃ, uparidantanti attho. Tenāha ‘‘uparidanta’’nti. So hi itaraṃ musalaṃ viya udukkhalaṃ visesato kassaci khādanakāle abhibhuyya vattati. Kusalacittenāti balavasammāsaṅkappasampayuttena. Akusalacittanti kāmavitakkādisahitaṃ akusalacittaṃ. Abhiniggaṇhitabbanti yathā tassa āyatiṃ samudācāro na hoti, evaṃ abhibhavitvā niggahetabbaṃ, anuppattidhammatā āpādetabbāti attho. Ke ca tumhe satipi cirakālabhāvanāya evaṃ adubbalā ko cāhaṃ mama santike laddhappatiṭṭhe viya ṭhitepi idāneva appatiṭṭhe karonto iti evaṃ abhibhavitvā. Taṃ pana abhibhavanākāraṃ dassento ‘‘kāmaṃ taco cā’’tiādinā caturaṅgasamannāgatavīriyapaggaṇhanamāha. Atthadīpikanti ekantato vitakkaniggaṇhanatthajotakaṃ. Upamanti ‘‘seyyathāpi, bhikkhave, balavā puriso’’tiādikaṃ upamaṃ.
๒๒๑. ปริยาทานภาชนียนฺติ ยํ ตํ อาทิโต ‘‘อธิจิตฺตมนุยุเตฺตน ภิกฺขุนา ปญฺจ นิมิตฺตานิ กาเลน กาลํ มนสิ กาตพฺพานี’’ติ นิทฺทิฎฺฐํ, ตตฺถ ตสฺส นิมิตฺตสฺส มนสิกรณกาลปริยาทานสฺส วเสน วิภชนํฯ นิคมนํ วา เอตํ, ยทิทํ ‘‘ยโต โข, ภิกฺขเว’’ติอาทิฯ ยถาวุตฺตสฺส หิ อตฺถสฺส ปุน วจนํ นิคมนนฺติฯ ตถาปฎิปนฺนสฺส วา วสีภาววิสุทฺธิทสฺสนตฺถํ ‘‘ยโต โข, ภิกฺขเว’’ติอาทิ วุตฺตํฯ สตฺถาจริโยติ ธนุเพฺพทาจริโยฯ ยถา หิ สสนโต อสตฺถมฺปิ สตฺถคฺคหเณเนว สงฺคยฺหติ, เอวํ ธนุสิปฺปมฺปิ ธนุเพฺพทปริยาปนฺนเมวาติฯ
221.Pariyādānabhājanīyanti yaṃ taṃ ādito ‘‘adhicittamanuyuttena bhikkhunā pañca nimittāni kālena kālaṃ manasi kātabbānī’’ti niddiṭṭhaṃ, tattha tassa nimittassa manasikaraṇakālapariyādānassa vasena vibhajanaṃ. Nigamanaṃ vā etaṃ, yadidaṃ ‘‘yato kho, bhikkhave’’tiādi. Yathāvuttassa hi atthassa puna vacanaṃ nigamananti. Tathāpaṭipannassa vā vasībhāvavisuddhidassanatthaṃ ‘‘yato kho, bhikkhave’’tiādi vuttaṃ. Satthācariyoti dhanubbedācariyo. Yathā hi sasanato asatthampi satthaggahaṇeneva saṅgayhati, evaṃ dhanusippampi dhanubbedapariyāpannamevāti.
ปริยายติ ปริวิตเกฺกตีติ ปริยาโยฯ วาโรติ อาห ‘‘วิตกฺกวารปเถสู’’ติ, วิตกฺกานํ วาเรน ปวตฺตนมเคฺคสุฯ จิณฺณวสีติ อาเสวิตวสีฯ ปคุณวสีติ สุภาวิตวสีฯ สมฺมาวิตกฺกํเยว ยถิจฺฉิตํ ตถาวิตกฺกนโต, อิตรสฺส ปนสฺส เสตุฆาโตเยวาติฯ
Pariyāyati parivitakketīti pariyāyo. Vāroti āha ‘‘vitakkavārapathesū’’ti, vitakkānaṃ vārena pavattanamaggesu. Ciṇṇavasīti āsevitavasī. Paguṇavasīti subhāvitavasī. Sammāvitakkaṃyeva yathicchitaṃ tathāvitakkanato, itarassa panassa setughātoyevāti.
วิตกฺกสณฺฐานสุตฺตวณฺณนาย ลีนตฺถปฺปกาสนา สมตฺตาฯ
Vitakkasaṇṭhānasuttavaṇṇanāya līnatthappakāsanā samattā.
นิฎฺฐิตา จ สีหนาทวคฺควณฺณนาฯ
Niṭṭhitā ca sīhanādavaggavaṇṇanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / มชฺฌิมนิกาย • Majjhimanikāya / ๑๐. วิตกฺกสณฺฐานสุตฺตํ • 10. Vitakkasaṇṭhānasuttaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / มชฺฌิมนิกาย (อฎฺฐกถา) • Majjhimanikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. วิตกฺกสณฺฐานสุตฺตวณฺณนา • 10. Vitakkasaṇṭhānasuttavaṇṇanā