Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā

    ๒. ทุติยวโคฺค

    2. Dutiyavaggo

    ๑. วิตกฺกสุตฺตวณฺณนา

    1. Vitakkasuttavaṇṇanā

    ๓๘. ทุติยวคฺคสฺส ปฐเม ตถาคตํ, ภิกฺขเวติ เอตฺถ ตถาคต-สโทฺท ตาว สตฺตโวหารสมฺมาสมฺพุทฺธาทีสุ ทิสฺสติฯ ตถา เหส ‘‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๖๕) สตฺตโวหาเรฯ

    38. Dutiyavaggassa paṭhame tathāgataṃ, bhikkhaveti ettha tathāgata-saddo tāva sattavohārasammāsambuddhādīsu dissati. Tathā hesa ‘‘hoti tathāgato paraṃ maraṇā’’tiādīsu (dī. ni. 1.65) sattavohāre.

    ‘‘ตถาคตํ เทวมนุสฺสปูชิตํ,

    ‘‘Tathāgataṃ devamanussapūjitaṃ,

    พุทฺธํ นมสฺสาม สุวตฺถิ โหตู’’ติฯ (ขุ. ปา. ๖.๑๖) –

    Buddhaṃ namassāma suvatthi hotū’’ti. (khu. pā. 6.16) –

    อาทีสุ สมฺมาสมฺพุเทฺธฯ

    Ādīsu sammāsambuddhe.

    ‘‘ตถาคตํ เทวมนุสฺสปูชิตํ,

    ‘‘Tathāgataṃ devamanussapūjitaṃ,

    ธมฺมํ นมสฺสาม สุวตฺถิ โหตู’’ติฯ (ขุ. ปา. ๖.๑๗) –

    Dhammaṃ namassāma suvatthi hotū’’ti. (khu. pā. 6.17) –

    อาทีสุ ธเมฺมฯ

    Ādīsu dhamme.

    ‘‘ตถาคตํ เทวมนุสฺสปูชิตํ,

    ‘‘Tathāgataṃ devamanussapūjitaṃ,

    สงฺฆํ นมสฺสาม สุวตฺถิ โหตู’’ติฯ (ขุ. ปา. ๖.๑๘) –

    Saṅghaṃ namassāma suvatthi hotū’’ti. (khu. pā. 6.18) –

    อาทีสุ สเงฺฆฯ อิธ ปน สมฺมาสมฺพุเทฺธฯ ตสฺมา ตถาคตนฺติ เอตฺถ อฎฺฐหิ การเณหิ ภควา ตถาคโตติ วุจฺจติฯ กตเมหิ อฎฺฐหิ? ตถา อาคโตติ ตถาคโต, ตถา คโตติ ตถาคโต, ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโต, ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโต, ตถทสฺสิตาย ตถาคโต, ตถวาทิตาย ตถาคโต, ตถาการิตาย ตถาคโต, อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโตติฯ

    Ādīsu saṅghe. Idha pana sammāsambuddhe. Tasmā tathāgatanti ettha aṭṭhahi kāraṇehi bhagavā tathāgatoti vuccati. Katamehi aṭṭhahi? Tathā āgatoti tathāgato, tathā gatoti tathāgato, tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato, tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato, tathadassitāya tathāgato, tathavāditāya tathāgato, tathākāritāya tathāgato, abhibhavanaṭṭhena tathāgatoti.

    กถํ ภควา ตถา อาคโตติ ตถาคโต? ยถา เยน อภินีหาเรน ทานปารมิํ ปูเรตฺวา สีลเนกฺขมฺมปญฺญาวีริยขนฺติสจฺจอธิฎฺฐานเมตฺตาอุเปกฺขาปารมิํ ปูเรตฺวา อิมา ทส ปารมิโย, ทส อุปปารมิโย, ทส ปรมตฺถปารมิโยติ สมติํส ปารมิโย ปูเรตฺวา องฺคปริจฺจาคํ, อตฺตปริจฺจาคํ, ธนปริจฺจาคํ, ทารปริจฺจาคํ, รชฺชปริจฺจาคนฺติ อิมานิ ปญฺจ มหาปริจฺจาคานิ ปริจฺจชิตฺวา ยถา วิปสฺสิอาทโย สมฺมาสมฺพุทฺธา อาคตา , ตถา อมฺหากํ ภควาปิ อาคโตติ ตถาคโตฯ ยถาห –

    Kathaṃ bhagavā tathā āgatoti tathāgato? Yathā yena abhinīhārena dānapāramiṃ pūretvā sīlanekkhammapaññāvīriyakhantisaccaadhiṭṭhānamettāupekkhāpāramiṃ pūretvā imā dasa pāramiyo, dasa upapāramiyo, dasa paramatthapāramiyoti samatiṃsa pāramiyo pūretvā aṅgapariccāgaṃ, attapariccāgaṃ, dhanapariccāgaṃ, dārapariccāgaṃ, rajjapariccāganti imāni pañca mahāpariccāgāni pariccajitvā yathā vipassiādayo sammāsambuddhā āgatā , tathā amhākaṃ bhagavāpi āgatoti tathāgato. Yathāha –

    ‘‘ยเถว โลกมฺหิ วิปสฺสิอาทโย,

    ‘‘Yatheva lokamhi vipassiādayo,

    สพฺพญฺญุภาวํ มุนโย อิธาคตา;

    Sabbaññubhāvaṃ munayo idhāgatā;

    ตถา อยํ สกฺยมุนีปิ อาคโต,

    Tathā ayaṃ sakyamunīpi āgato,

    ตถาคโต วุจฺจติ เตน จกฺขุมา’’ติฯ –

    Tathāgato vuccati tena cakkhumā’’ti. –

    เอวํ ตถา อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Evaṃ tathā āgatoti tathāgato.

    กถํ ตถา คโตติ ตถาคโต? ยถา สมฺปติชาตาว วิปสฺสิอาทโย สเมหิ ปาเทหิ ปถวิยํ ปติฎฺฐาย อุตฺตราภิมุขา สตฺตปทวีติหาเรน คตา, ตถา อมฺหากํ ภควาปิ คโตติ ตถาคโตฯ ยถาหุ –

    Kathaṃ tathā gatoti tathāgato? Yathā sampatijātāva vipassiādayo samehi pādehi pathaviyaṃ patiṭṭhāya uttarābhimukhā sattapadavītihārena gatā, tathā amhākaṃ bhagavāpi gatoti tathāgato. Yathāhu –

    ‘‘มุหุตฺตชาโตว ควํปตี ยถา,

    ‘‘Muhuttajātova gavaṃpatī yathā,

    สเมหิ ปาเทหิ ผุสี วสุนฺธรํ;

    Samehi pādehi phusī vasundharaṃ;

    โส วิกฺกมี สตฺต ปทานิ โคตโม,

    So vikkamī satta padāni gotamo,

    เสตญฺจ ฉตฺตํ อนุธารยุํ มรูฯ

    Setañca chattaṃ anudhārayuṃ marū.

    ‘‘คนฺตฺวาน โส สตฺต ปทานิ โคตโม,

    ‘‘Gantvāna so satta padāni gotamo,

    ทิสา วิโลเกสิ สมา สมนฺตโต;

    Disā vilokesi samā samantato;

    อฎฺฐงฺคุเปตํ คิรมพฺภุทีรยิ,

    Aṭṭhaṅgupetaṃ giramabbhudīrayi,

    สีโห ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฎฺฐิโต’’ติฯ –

    Sīho yathā pabbatamuddhaniṭṭhito’’ti. –

    เอวํ ตถา คโตติ ตถาคโตฯ

    Evaṃ tathā gatoti tathāgato.

    กถํ ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโต? สเพฺพสํ รูปารูปธมฺมานํ สลกฺขณํ, สามญฺญลกฺขณํ, ตถํ, อวิตถํ, ญาณคติยา อาคโต, อวิรชฺฌิตฺวา ปโตฺต, อนุพุโทฺธติ ตถาคโตฯ ยถาห –

    Kathaṃ tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato? Sabbesaṃ rūpārūpadhammānaṃ salakkhaṇaṃ, sāmaññalakkhaṇaṃ, tathaṃ, avitathaṃ, ñāṇagatiyā āgato, avirajjhitvā patto, anubuddhoti tathāgato. Yathāha –

    ‘‘สเพฺพสํ ปน ธมฺมานํ, สกสามญฺญลกฺขณํ;

    ‘‘Sabbesaṃ pana dhammānaṃ, sakasāmaññalakkhaṇaṃ;

    ตถเมวาคโต ยสฺมา, ตสฺมา นาโถ ตถาคโต’’ติฯ –

    Tathamevāgato yasmā, tasmā nātho tathāgato’’ti. –

    เอวํ ตถลกฺขณํ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Evaṃ tathalakkhaṇaṃ āgatoti tathāgato.

    กถํ ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโต? ตถธมฺมา นาม จตฺตาริ อริยสจฺจานิฯ ยถาห ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? อิทํ ทุกฺขํ อริยสจฺจนฺติ , ภิกฺขเว, ตถเมตํ อวิตถเมตํ อนญฺญถเมต’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๐) วิตฺถาโรฯ ตานิ จ ภควา อภิสมฺพุโทฺธ, ตสฺมาปิ ตถานํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโตฯ อภิสมฺพุทฺธโตฺถ หิ เอตฺถ คต-สโทฺทฯ เอวํ ตถธเมฺม ยาถาวโต อภิสมฺพุโทฺธติ ตถาคโตฯ

    Kathaṃ tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato? Tathadhammā nāma cattāri ariyasaccāni. Yathāha ‘‘cattārimāni, bhikkhave, tathāni avitathāni anaññathāni. Katamāni cattāri? Idaṃ dukkhaṃ ariyasaccanti , bhikkhave, tathametaṃ avitathametaṃ anaññathameta’’nti (saṃ. ni. 5.1090) vitthāro. Tāni ca bhagavā abhisambuddho, tasmāpi tathānaṃ abhisambuddhattā tathāgato. Abhisambuddhattho hi ettha gata-saddo. Evaṃ tathadhamme yāthāvato abhisambuddhoti tathāgato.

    กถํ ตถทสฺสิตาย ตถาคโต? ยํ สเทวเก โลเก…เป.… สเทวมนุสฺสาย ปชาย อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ จกฺขุทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉนฺตํ รูปารมฺมณํ นาม อตฺถิ, ตํ ภควา สพฺพาการโต ชานาติ ปสฺสติฯ เอวํ ชานตา ปสฺสตา จาเนน ตํ อิฎฺฐาทิวเสน วา ทิฎฺฐสุตมุตวิญฺญาเตสุ ลพฺภมานปทวเสน วา ‘‘กตมํ ตํ รูปํ รูปายตนํ, ยํ รูปํ จตุนฺนํ มหาภูตานํ อุปาทาย วณฺณนิภา สนิทสฺสนํ สปฺปฎิฆํ นีลํ ปีตก’’นฺติอาทินา (ธ. ส. ๖๑๖) นเยน อเนเกหิ นาเมหิ เตรสหิ วาเรหิ เทฺวปญฺญาสาย นเยหิ วิภชฺชมานํ ตถเมว โหติ, วิตถํ นตฺถิฯ เอส นโย โสตทฺวาราทีสุ อาปาถมาคจฺฉเนฺตสุ สทฺทาทีสุฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –

    Kathaṃ tathadassitāya tathāgato? Yaṃ sadevake loke…pe… sadevamanussāya pajāya aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ cakkhudvāre āpāthamāgacchantaṃ rūpārammaṇaṃ nāma atthi, taṃ bhagavā sabbākārato jānāti passati. Evaṃ jānatā passatā cānena taṃ iṭṭhādivasena vā diṭṭhasutamutaviññātesu labbhamānapadavasena vā ‘‘katamaṃ taṃ rūpaṃ rūpāyatanaṃ, yaṃ rūpaṃ catunnaṃ mahābhūtānaṃ upādāya vaṇṇanibhā sanidassanaṃ sappaṭighaṃ nīlaṃ pītaka’’ntiādinā (dha. sa. 616) nayena anekehi nāmehi terasahi vārehi dvepaññāsāya nayehi vibhajjamānaṃ tathameva hoti, vitathaṃ natthi. Esa nayo sotadvārādīsu āpāthamāgacchantesu saddādīsu. Vuttañhetaṃ bhagavatā –

    ‘‘ยํ, ภิกฺขเว, สเทวกสฺส โลกสฺส…เป.… สเทวมนุสฺสาย ทิฎฺฐํ สุตํ มุตํ วิญฺญาตํ ปตฺตํ ปริเยสิตํ อนุวิจริตํ มนสา, ตมหํ ชานามิ…เป.… ตมหํ อพฺภญฺญาสิํ, ตํ ตถาคตสฺส วิทิตํ, ตํ ตถาคโต น อุปฎฺฐาสี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔)ฯ

    ‘‘Yaṃ, bhikkhave, sadevakassa lokassa…pe… sadevamanussāya diṭṭhaṃ sutaṃ mutaṃ viññātaṃ pattaṃ pariyesitaṃ anuvicaritaṃ manasā, tamahaṃ jānāmi…pe… tamahaṃ abbhaññāsiṃ, taṃ tathāgatassa viditaṃ, taṃ tathāgato na upaṭṭhāsī’’ti (a. ni. 4.24).

    เอวํ ตถทสฺสิตาย ตถาคโตฯ เอตฺถ ตถทสฺสิอเตฺถ ตถาคโตติ ปทสฺส สมฺภโว เวทิตโพฺพฯ

    Evaṃ tathadassitāya tathāgato. Ettha tathadassiatthe tathāgatoti padassa sambhavo veditabbo.

    กถํ ตถวาทิตาย ตถาคโต? ยํ รตฺติํ ภควา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ, ยญฺจ รตฺติํ อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิ, เอตฺถนฺตเร ปญฺจจตฺตาลีสวสฺสปริมาณกาเล ยํ ภควตา ภาสิตํ สุตฺตเคยฺยาทิ, สพฺพํ ตํ ปริสุทฺธํ ปริปุณฺณํ ราคมทาทินิมฺมทนํ เอกสทิสํ ตถํ อวิตถํฯ เตนาห –

    Kathaṃ tathavāditāya tathāgato? Yaṃ rattiṃ bhagavā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho, yañca rattiṃ anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyi, etthantare pañcacattālīsavassaparimāṇakāle yaṃ bhagavatā bhāsitaṃ suttageyyādi, sabbaṃ taṃ parisuddhaṃ paripuṇṇaṃ rāgamadādinimmadanaṃ ekasadisaṃ tathaṃ avitathaṃ. Tenāha –

    ‘‘ยญฺจ, จุนฺท, รตฺติํ ตถาคโต อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌติ, ยญฺจ รตฺติํ อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายติ, ยํ เอตสฺมิํ อนฺตเร ภาสติ ลปติ นิทฺทิสติ, สพฺพํ ตํ ตเถว โหติ, โน อญฺญถาฯ ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๘๘; อ. นิ. ๔.๒๓)ฯ

    ‘‘Yañca, cunda, rattiṃ tathāgato anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambujjhati, yañca rattiṃ anupādisesāya nibbānadhātuyā parinibbāyati, yaṃ etasmiṃ antare bhāsati lapati niddisati, sabbaṃ taṃ tatheva hoti, no aññathā. Tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti (dī. ni. 3.188; a. ni. 4.23).

    คทอโตฺถ หิ เอตฺถ คตสโทฺทฯ เอวํ ตถวาทิตาย ตถาคโตฯ อปิจ อาคทนํ อาคโท, วจนนฺติ อโตฺถฯ ตโถ อวิปรีโต อาคโท อสฺสาติ ทการสฺส ตการํ กตฺวา ตถาคโตติ, เอวเมฺปตฺถ ปทสิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ

    Gadaattho hi ettha gatasaddo. Evaṃ tathavāditāya tathāgato. Apica āgadanaṃ āgado, vacananti attho. Tatho aviparīto āgado assāti dakārassa takāraṃ katvā tathāgatoti, evampettha padasiddhi veditabbā.

    กถํ ตถาการิตาย ตถาคโต? ภควโต หิ วาจาย กาโย อนุโลเมติ, กายสฺสปิ วาจาฯ ตสฺมา ยถาวาที ตถาการี, ยถาการี ตถาวาที จ โหติฯ เอวํภูตสฺส จสฺส ยถา วาจา, กาโยปิ ตถา คโต ปวโตฺตฯ ยถา จ กาโย, วาจาปิ ตถา คตาติ ตถาคโตฯ เตนาห ‘‘ยถาวาที, ภิกฺขเว, ตถาคโต ตถาการี, ยถาการี ตถาวาทีฯ อิติ ยถาวาที ตถาการี, ยถาการี ตถาวาทีฯ ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติฯ เอวํ ตถาการิตาย ตถาคโตฯ

    Kathaṃ tathākāritāya tathāgato? Bhagavato hi vācāya kāyo anulometi, kāyassapi vācā. Tasmā yathāvādī tathākārī, yathākārī tathāvādī ca hoti. Evaṃbhūtassa cassa yathā vācā, kāyopi tathā gato pavatto. Yathā ca kāyo, vācāpi tathā gatāti tathāgato. Tenāha ‘‘yathāvādī, bhikkhave, tathāgato tathākārī, yathākārī tathāvādī. Iti yathāvādī tathākārī, yathākārī tathāvādī. Tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti. Evaṃ tathākāritāya tathāgato.

    กถํ อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโต? ยสฺมา ภควา อุปริ ภวคฺคํ เหฎฺฐา อวีจิํ ปริยนฺตํ กริตฺวา ติริยํ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ สพฺพสเตฺต อภิภวติ สีเลนปิ สมาธินาปิ ปญฺญายปิ วิมุตฺติยาปิ วิมุตฺติญาณทสฺสเนนปิ, น ตสฺส ตุลา วา ปมาณํ วา อตฺถิ, อถ โข อตุโล อปฺปเมโยฺย อนุตฺตโร เทวานํ อติเทโว สกฺกานํ อติสโกฺก พฺรหฺมานํ อติพฺรหฺมา สพฺพสตฺตุตฺตโม, ตสฺมา ตถาคโตฯ เตนาห –

    Kathaṃ abhibhavanaṭṭhena tathāgato? Yasmā bhagavā upari bhavaggaṃ heṭṭhā avīciṃ pariyantaṃ karitvā tiriyaṃ aparimāṇāsu lokadhātūsu sabbasatte abhibhavati sīlenapi samādhināpi paññāyapi vimuttiyāpi vimuttiñāṇadassanenapi, na tassa tulā vā pamāṇaṃ vā atthi, atha kho atulo appameyyo anuttaro devānaṃ atidevo sakkānaṃ atisakko brahmānaṃ atibrahmā sabbasattuttamo, tasmā tathāgato. Tenāha –

    ‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… มนุสฺสาย ตถาคโต อภิภู อนภิภูโต อญฺญทตฺถุ ทโส วสวตฺตี, ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๘๘; อ. นิ. ๔.๒๓)ฯ

    ‘‘Sadevake, bhikkhave, loke…pe… manussāya tathāgato abhibhū anabhibhūto aññadatthu daso vasavattī, tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti (dī. ni. 3.188; a. ni. 4.23).

    ตตฺรายํ ปทสิทฺธิ – อคโท วิย อคโท, เทสนาวิลาโส เจว ปุญฺญุสฺสโย จฯ เตน เหส มหานุภาโว ภิสโกฺก วิย ทิพฺพาคเทน สเปฺป, สพฺพปรปฺปวาทิโน สเทวกญฺจ โลกํ อภิภวติฯ อิติ สพฺพโลกาภิภวเน ตโถ อวิปรีโต ยถาวุโตฺต อคโท เอตสฺสาติ ทการสฺส ตการํ กตฺวา ตถาคโตติ เวทิตโพฺพฯ เอวํ อภิภวนเฎฺฐน ตถาคโตฯ

    Tatrāyaṃ padasiddhi – agado viya agado, desanāvilāso ceva puññussayo ca. Tena hesa mahānubhāvo bhisakko viya dibbāgadena sappe, sabbaparappavādino sadevakañca lokaṃ abhibhavati. Iti sabbalokābhibhavane tatho aviparīto yathāvutto agado etassāti dakārassa takāraṃ katvā tathāgatoti veditabbo. Evaṃ abhibhavanaṭṭhena tathāgato.

    อปิจ ตถาย คโตติ ตถาคโต, ตถํ คโตติ ตถาคโตฯ ตตฺถ สกลโลกํ ตีรณปริญฺญาย ตถาย คโต อวคโตติ ตถาคโต, โลกสมุทยํ ปหานปริญฺญาย ตถาย คโต อตีโตติ ตถาคโต, โลกนิโรธํ สจฺฉิกิริยาย ตถาย คโต อธิคโตติ ตถาคโตฯ โลกนิโรธคามินิํ ปฎิปทํ ตถํ คโต ปฎิปโนฺนติ ตถาคโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –

    Apica tathāya gatoti tathāgato, tathaṃ gatoti tathāgato. Tattha sakalalokaṃ tīraṇapariññāya tathāya gato avagatoti tathāgato, lokasamudayaṃ pahānapariññāya tathāya gato atītoti tathāgato, lokanirodhaṃ sacchikiriyāya tathāya gato adhigatoti tathāgato. Lokanirodhagāminiṃ paṭipadaṃ tathaṃ gato paṭipannoti tathāgato. Vuttañhetaṃ bhagavatā –

    ‘‘โลโก, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธฯ โลกสฺมา ตถาคโต วิสํยุโตฺตฯ โลกสมุทโย, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ, โลกสมุทโย ตถาคตสฺส ปหีโนฯ โลกนิโรโธ, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ, โลกนิโรโธ ตถาคตสฺส สจฺฉิกโตฯ โลกนิโรธคามินี ปฎิปทา, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา, โลกนิโรธคามินี ปฎิปทา ตถาคตสฺส ภาวิตาฯ ยํ, ภิกฺขเว, สเทวกสฺส…เป.… สพฺพํ ตํ ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธํฯ ตสฺมา ‘ตถาคโต’ติ วุจฺจตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๓)ฯ

    ‘‘Loko, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddho. Lokasmā tathāgato visaṃyutto. Lokasamudayo, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddho, lokasamudayo tathāgatassa pahīno. Lokanirodho, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddho, lokanirodho tathāgatassa sacchikato. Lokanirodhagāminī paṭipadā, bhikkhave, tathāgatena abhisambuddhā, lokanirodhagāminī paṭipadā tathāgatassa bhāvitā. Yaṃ, bhikkhave, sadevakassa…pe… sabbaṃ taṃ tathāgatena abhisambuddhaṃ. Tasmā ‘tathāgato’ti vuccatī’’ti (a. ni. 4.23).

    อปเรหิปิ อฎฺฐหิ การเณหิ ภควา ตถาคโตฯ ตถาย อาคโตติ ตถาคโต, ตถาย คโตติ ตถาคโต, ตถานิ อาคโตติ ตถาคโต, ตถา คโตติ ตถาคโต, ตถาวิโธติ ตถาคโต, ตถาปวตฺติโกติ ตถาคโต, ตเถหิ อาคโตติ ตถาคโต, ตถา คตภาเวน ตถาคโตติฯ

    Aparehipi aṭṭhahi kāraṇehi bhagavā tathāgato. Tathāya āgatoti tathāgato, tathāya gatoti tathāgato, tathāni āgatoti tathāgato, tathā gatoti tathāgato, tathāvidhoti tathāgato, tathāpavattikoti tathāgato, tathehi āgatoti tathāgato, tathā gatabhāvena tathāgatoti.

    กถํ ตถาย อาคโตติ ตถาคโต? ยา สา ภควตา สุเมธภูเตน ทีปงฺกรทสพลสฺส ปาทมูเล –

    Kathaṃ tathāya āgatoti tathāgato? Yā sā bhagavatā sumedhabhūtena dīpaṅkaradasabalassa pādamūle –

    ‘‘มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ, เหตุ สตฺถารทสฺสนํ;

    ‘‘Manussattaṃ liṅgasampatti, hetu satthāradassanaṃ;

    ปพฺพชฺชา คุณสมฺปตฺติ, อธิกาโร จ ฉนฺทตา;

    Pabbajjā guṇasampatti, adhikāro ca chandatā;

    อฎฺฐธมฺมสโมธานา, อภินีหาโร สมิชฺฌตี’’ติฯ (พุ. วํ. ๒.๕๙) –

    Aṭṭhadhammasamodhānā, abhinīhāro samijjhatī’’ti. (bu. vaṃ. 2.59) –

    เอวํ วุตฺตํ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อภินีหารํ สมฺปาเทเนฺตน ‘‘อหํ สเทวกํ โลกํ ติโณฺณ ตาเรสฺสามิ, มุโตฺต โมเจสฺสามิ, ทโนฺต ทเมสฺสามิ, อสฺสโตฺถ อสฺสาเสสฺสามิ, ปรินิพฺพุโต ปรินิพฺพาเปสฺสามิ , สุโทฺธ โสเธสฺสามิ , พุโทฺธ โพเธสฺสามี’’ติ มหาปฎิญฺญา ปวตฺติตาฯ วุตฺตํ เหตํ –

    Evaṃ vuttaṃ aṭṭhaṅgasamannāgataṃ abhinīhāraṃ sampādentena ‘‘ahaṃ sadevakaṃ lokaṃ tiṇṇo tāressāmi, mutto mocessāmi, danto damessāmi, assattho assāsessāmi, parinibbuto parinibbāpessāmi , suddho sodhessāmi , buddho bodhessāmī’’ti mahāpaṭiññā pavattitā. Vuttaṃ hetaṃ –

    ‘‘กิํ เม เอเกน ติเณฺณน, ปุริเสน ถามทสฺสินา;

    ‘‘Kiṃ me ekena tiṇṇena, purisena thāmadassinā;

    สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตฺวา, สนฺตาเรสฺสํ สเทวกํฯ

    Sabbaññutaṃ pāpuṇitvā, santāressaṃ sadevakaṃ.

    ‘‘อิมินา เม อธิกาเรน, กเตน ปุริสุตฺตเม;

    ‘‘Iminā me adhikārena, katena purisuttame;

    สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตฺวา, ตาเรมิ ชนตํ พหุํฯ

    Sabbaññutaṃ pāpuṇitvā, tāremi janataṃ bahuṃ.

    ‘‘สํสารโสตํ ฉินฺทิตฺวา, วิทฺธํเสตฺวา ตโย ภเว;

    ‘‘Saṃsārasotaṃ chinditvā, viddhaṃsetvā tayo bhave;

    ธมฺมนาวํ สมารุยฺห, สนฺตาเรสฺสํ สเทวกํฯ

    Dhammanāvaṃ samāruyha, santāressaṃ sadevakaṃ.

    ‘‘กิํ เม อญฺญาตเวเสน, ธมฺมํ สจฺฉิกเตนิธ;

    ‘‘Kiṃ me aññātavesena, dhammaṃ sacchikatenidha;

    สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตฺวา, พุโทฺธ เหสฺสํ สเทวเก’’ติฯ (พุ. วํ. ๕๕-๕๘);

    Sabbaññutaṃ pāpuṇitvā, buddho hessaṃ sadevake’’ti. (bu. vaṃ. 55-58);

    ตํ ปเนตํ มหาปฎิญฺญํ สกลสฺสปิ พุทฺธกรธมฺมสมุทายสฺส ปวิจยปจฺจเวกฺขณสมาทานานํ การณภูตํ อวิสํวาเทโนฺต โลกนาโถ ยสฺมา มหากปฺปานํ สตสหสฺสาธิกานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ สกฺกจฺจํ นิรนฺตรํ นิรวเสสโต ทานปารมิอาทโย สมติํสปารมิโย ปูเรตฺวา, องฺคปริจฺจาคาทโย ปญฺจ มหาปริจฺจาเค ปริจฺจชิตฺวา, สจฺจาธิฎฺฐานาทีนิ จตฺตาริ อธิฎฺฐานานิ ปริพฺรูเหตฺวา, ปุญฺญญาณสมฺภาเร สมฺภริตฺวา ปุพฺพโยคปุพฺพจริยธมฺมกฺขานญาตตฺถจริยาทโย อุกฺกํสาเปตฺวา, พุทฺธิจริยํ ปรมโกฎิํ ปาเปตฺวา อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิ; ตสฺมา ตเสฺสว สา มหาปฎิญฺญา ตถา อวิตถา อนญฺญถา, น ตสฺส วาลคฺคมตฺตมฺปิ วิตถํ อตฺถิฯ ตถา หิ ทีปงฺกโร ทสพโล โกณฺฑโญฺญ, มงฺคโล…เป.… กสฺสโป ภควาติ อิเม จตุวีสติ สมฺมาสมฺพุทฺธา ปฎิปาฎิยา อุปฺปนฺนา ‘‘พุโทฺธ ภวิสฺสตี’’ติ นํ พฺยากริํสุฯ เอวํ จตุวีสติยา พุทฺธานํ สนฺติเก ลทฺธพฺยากรโณ เย เต กตาภินีหาเรหิ โพธิสเตฺตหิ ลทฺธพฺพา อานิสํสา, เต ลภิตฺวาว อาคโตติ ตาย ยถาวุตฺตาย มหาปฎิญฺญาย ตถาย อภิสมฺพุทฺธภาวํ อาคโต อธิคโตติ ตถาคโตฯ เอวํ ตถาย อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Taṃ panetaṃ mahāpaṭiññaṃ sakalassapi buddhakaradhammasamudāyassa pavicayapaccavekkhaṇasamādānānaṃ kāraṇabhūtaṃ avisaṃvādento lokanātho yasmā mahākappānaṃ satasahassādhikāni cattāri asaṅkhyeyyāni sakkaccaṃ nirantaraṃ niravasesato dānapāramiādayo samatiṃsapāramiyo pūretvā, aṅgapariccāgādayo pañca mahāpariccāge pariccajitvā, saccādhiṭṭhānādīni cattāri adhiṭṭhānāni paribrūhetvā, puññañāṇasambhāre sambharitvā pubbayogapubbacariyadhammakkhānañātatthacariyādayo ukkaṃsāpetvā, buddhicariyaṃ paramakoṭiṃ pāpetvā anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambujjhi; tasmā tasseva sā mahāpaṭiññā tathā avitathā anaññathā, na tassa vālaggamattampi vitathaṃ atthi. Tathā hi dīpaṅkaro dasabalo koṇḍañño, maṅgalo…pe… kassapo bhagavāti ime catuvīsati sammāsambuddhā paṭipāṭiyā uppannā ‘‘buddho bhavissatī’’ti naṃ byākariṃsu. Evaṃ catuvīsatiyā buddhānaṃ santike laddhabyākaraṇo ye te katābhinīhārehi bodhisattehi laddhabbā ānisaṃsā, te labhitvāva āgatoti tāya yathāvuttāya mahāpaṭiññāya tathāya abhisambuddhabhāvaṃ āgato adhigatoti tathāgato. Evaṃ tathāya āgatoti tathāgato.

    กถํ ตถาย คโตติ ตถาคโต? ยายํ มหากรุณา โลกนาถสฺส, ยาย มหาทุกฺขสมฺพาธปฺปฎิปนฺนํ สตฺตนิกายํ ทิสฺวา ‘‘ตสฺส นตฺถโญฺญ โกจิ ปฎิสรณํ, อหเมว นํ อิโต สํสารทุกฺขโต มุโตฺต โมเจสฺสามี’’ติ สมุสฺสาหิตมานโส มหาภินีหารํ อกาสิฯ กตฺวา จ ยถาปณิธานํ สกลโลกหิตสมฺปาทนาย อุสฺสุกฺกมาปโนฺน อตฺตโน กายชีวิตนิรเปโกฺข ปเรสํ โสตปถคมนมเตฺตนปิ จิตฺตุตฺราสสมุปฺปาทิกา อติทุกฺกรา ทุกฺกรจริยา สมาจรโนฺต ยถา มหาโพธิสตฺตานํ ปฎิปตฺติ หานภาคิยา สํกิเลสภาคิยา ฐิติภาคิยา วา น โหติ, อถ โข อุตฺตริ วิเสสภาคิยาว โหติ, ตถา ปฎิปชฺชมาโน อนุปุเพฺพน นิรวเสเส โพธิสมฺภาเร สมาเนตฺวา อภิสโมฺพธิํ ปาปุณิฯ ตโต ปรญฺจ ตาเยว มหากรุณาย สโญฺจทิตมานโส ปวิเวกรติํ ปรมญฺจ สนฺตํ วิโมกฺขสุขํ ปหาย พาลชนพหุเล โลเก เตหิ สมุปฺปาทิตํ สมฺมานาวมานวิปฺปการํ อคเณตฺวา เวเนยฺยชนวินยเนน นิรวเสสํ พุทฺธกิจฺจํ นิฎฺฐเปสิฯ ตตฺร โย ภควโต สเตฺตสุ มหากรุณาย สโมกฺกมนากาโร, โส ปรโต อาวิ ภวิสฺสติฯ ยถา พุทฺธภูตสฺส โลกนาถสฺส สเตฺตสุ มหากรุณา, เอวํ โพธิสตฺตภูตสฺสปิ มหาภินีหารกาลาทีสูติ สพฺพตฺถ สพฺพทา จ เอกสทิสตาย ตถาว สา อวิตถา อนญฺญถาฯ ตสฺมา ตีสุปิ อวตฺถาสุ สพฺพสเตฺตสุ สมานรสาย ตถาย มหากรุณาย สกลโลกหิตาย คโต ปฎิปโนฺนติ ตถาคโตฯ เอวํ ตถาย คโตติ ตถาคโตฯ

    Kathaṃ tathāya gatoti tathāgato? Yāyaṃ mahākaruṇā lokanāthassa, yāya mahādukkhasambādhappaṭipannaṃ sattanikāyaṃ disvā ‘‘tassa natthañño koci paṭisaraṇaṃ, ahameva naṃ ito saṃsāradukkhato mutto mocessāmī’’ti samussāhitamānaso mahābhinīhāraṃ akāsi. Katvā ca yathāpaṇidhānaṃ sakalalokahitasampādanāya ussukkamāpanno attano kāyajīvitanirapekkho paresaṃ sotapathagamanamattenapi cittutrāsasamuppādikā atidukkarā dukkaracariyā samācaranto yathā mahābodhisattānaṃ paṭipatti hānabhāgiyā saṃkilesabhāgiyā ṭhitibhāgiyā vā na hoti, atha kho uttari visesabhāgiyāva hoti, tathā paṭipajjamāno anupubbena niravasese bodhisambhāre samānetvā abhisambodhiṃ pāpuṇi. Tato parañca tāyeva mahākaruṇāya sañcoditamānaso pavivekaratiṃ paramañca santaṃ vimokkhasukhaṃ pahāya bālajanabahule loke tehi samuppāditaṃ sammānāvamānavippakāraṃ agaṇetvā veneyyajanavinayanena niravasesaṃ buddhakiccaṃ niṭṭhapesi. Tatra yo bhagavato sattesu mahākaruṇāya samokkamanākāro, so parato āvi bhavissati. Yathā buddhabhūtassa lokanāthassa sattesu mahākaruṇā, evaṃ bodhisattabhūtassapi mahābhinīhārakālādīsūti sabbattha sabbadā ca ekasadisatāya tathāva sā avitathā anaññathā. Tasmā tīsupi avatthāsu sabbasattesu samānarasāya tathāya mahākaruṇāya sakalalokahitāya gato paṭipannoti tathāgato. Evaṃ tathāya gatoti tathāgato.

    กถํ ตถานิ อาคโตติ ตถาคโต? ตถานิ นาม จตฺตาริ อริยมคฺคญาณานิฯ ตานิ หิ ‘‘อิทํ ทุกฺขํ, อยํ ทุกฺขสมุทโย, อยํ ทุกฺขนิโรโธ, อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา’’ติ เอวํ สพฺพเญยฺยสงฺคาหกานํ ปวตฺตินิวตฺติตทุภยเหตุภูตานํ จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ, ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ สงฺขตโฎฺฐ สนฺตาปโฎฺฐ วิปริณามโฎฺฐ, สมุทยสฺส อายูหนโฎฺฐ นิทานโฎฺฐ สํโยคโฎฺฐ ปลิโพธโฎฺฐ, นิโรธสฺส นิสฺสรณโฎฺฐ วิเวกโฎฺฐ อสงฺขตโฎฺฐ อมตโฎฺฐ, มคฺคสฺส นิยฺยานโฎฺฐ เหตฺวโฎฺฐ ทสฺสนโฎฺฐ อธิปเตยฺยโฎฺฐติอาทีนํ ตพฺพิภาคานญฺจ ยถาภูตสภาวาวโพธวิพนฺธกสฺส สํกิเลสปกฺขสฺส สมุจฺฉินฺทเนน ปฎิลทฺธาย ตตฺถ อสโมฺมหาภิสมยสงฺขาตาย อวิปรีตาการปฺปวตฺติยา ธมฺมานํ สภาวสรสลกฺขณสฺส อวิสํวาทนโต ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิ, ตานิ ภควา อนญฺญเนโยฺย สยเมว อาคโต อธิคโต, ตสฺมา ตถานิ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Kathaṃ tathāni āgatoti tathāgato? Tathāni nāma cattāri ariyamaggañāṇāni. Tāni hi ‘‘idaṃ dukkhaṃ, ayaṃ dukkhasamudayo, ayaṃ dukkhanirodho, ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā’’ti evaṃ sabbañeyyasaṅgāhakānaṃ pavattinivattitadubhayahetubhūtānaṃ catunnaṃ ariyasaccānaṃ, dukkhassa pīḷanaṭṭho saṅkhataṭṭho santāpaṭṭho vipariṇāmaṭṭho, samudayassa āyūhanaṭṭho nidānaṭṭho saṃyogaṭṭho palibodhaṭṭho, nirodhassa nissaraṇaṭṭho vivekaṭṭho asaṅkhataṭṭho amataṭṭho, maggassa niyyānaṭṭho hetvaṭṭho dassanaṭṭho adhipateyyaṭṭhotiādīnaṃ tabbibhāgānañca yathābhūtasabhāvāvabodhavibandhakassa saṃkilesapakkhassa samucchindanena paṭiladdhāya tattha asammohābhisamayasaṅkhātāya aviparītākārappavattiyā dhammānaṃ sabhāvasarasalakkhaṇassa avisaṃvādanato tathāni avitathāni anaññathāni, tāni bhagavā anaññaneyyo sayameva āgato adhigato, tasmā tathāni āgatoti tathāgato.

    ยถา จ มคฺคญาณานิ, เอวํ ภควโต ตีสุ กาเลสุ อปฺปฎิหตญาณานิ จตุปฎิสมฺภิทาญาณานิ จตุเวสารชฺชญาณานิ ปญฺจคติปริเจฺฉทญาณานิ ฉอสาธารณญาณานิ สตฺตโพชฺฌงฺควิภาวนญาณานิ อฎฺฐมคฺคงฺควิภาวนญาณานิ นวานุปุพฺพวิหารสมาปตฺติญาณานิ ทสพลญาณานิ จ วิภาเวตพฺพานิฯ

    Yathā ca maggañāṇāni, evaṃ bhagavato tīsu kālesu appaṭihatañāṇāni catupaṭisambhidāñāṇāni catuvesārajjañāṇāni pañcagatiparicchedañāṇāni chaasādhāraṇañāṇāni sattabojjhaṅgavibhāvanañāṇāni aṭṭhamaggaṅgavibhāvanañāṇāni navānupubbavihārasamāpattiñāṇāni dasabalañāṇāni ca vibhāvetabbāni.

    ตตฺรายํ วิภาวนา – ยญฺหิ กิญฺจิ อปริมาณาสุ โลกธาตูสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ หีนาทิเภทภินฺนานํ หีนาทิเภทภินฺนาสุ อตีตาสุ ขนฺธายตนธาตูสุ สภาวกิจฺจาทิ อวตฺถาวิเสสาทิ ขนฺธปฎิพทฺธนามโคตฺตาทิ จ ชานิตพฺพํฯ อนินฺทฺริยพเทฺธสุ จ อติสุขุมติโรหิตวิทูรเทเสสุ รูปธเมฺมสุ โย ตํตํปจฺจยวิเสเสหิ สทฺธิํ ปจฺจยุปฺปนฺนานํ วณฺณสณฺฐานคนฺธรสผสฺสาทิวิเสโส, ตตฺถ สพฺพเตฺถว หตฺถตเล ฐปิตอามลโก วิย ปจฺจกฺขโต อสงฺคมปฺปฎิหตํ ภควโต ญาณํ ปวตฺตติ, ตถา อนาคตาสุ ปจฺจุปฺปนฺนาสุ จาติ อิมานิ ตีสุ กาเลสุ อปฺปฎิหตญาณานิ นามฯ ยถาห –

    Tatrāyaṃ vibhāvanā – yañhi kiñci aparimāṇāsu lokadhātūsu aparimāṇānaṃ sattānaṃ hīnādibhedabhinnānaṃ hīnādibhedabhinnāsu atītāsu khandhāyatanadhātūsu sabhāvakiccādi avatthāvisesādi khandhapaṭibaddhanāmagottādi ca jānitabbaṃ. Anindriyabaddhesu ca atisukhumatirohitavidūradesesu rūpadhammesu yo taṃtaṃpaccayavisesehi saddhiṃ paccayuppannānaṃ vaṇṇasaṇṭhānagandharasaphassādiviseso, tattha sabbattheva hatthatale ṭhapitaāmalako viya paccakkhato asaṅgamappaṭihataṃ bhagavato ñāṇaṃ pavattati, tathā anāgatāsu paccuppannāsu cāti imāni tīsu kālesu appaṭihatañāṇāni nāma. Yathāha –

    ‘‘อตีตํเส พุทฺธสฺส ภควโต อปฺปฎิหตํ ญาณํ, อนาคตํเส พุทฺธสฺส ภควโต อปฺปฎิหตํ ญาณํ, ปจฺจุปฺปนฺนํเส พุทฺธสฺส ภควโต อปฺปฎิหตํ ญาณ’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๓.๕)ฯ

    ‘‘Atītaṃse buddhassa bhagavato appaṭihataṃ ñāṇaṃ, anāgataṃse buddhassa bhagavato appaṭihataṃ ñāṇaṃ, paccuppannaṃse buddhassa bhagavato appaṭihataṃ ñāṇa’’nti (paṭi. ma. 3.5).

    ตานิ ปเนตานิ ตตฺถ ตตฺถ ธมฺมานํ สภาวสรสลกฺขณสฺส อวิสํวาทนโต ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิ, ตานิ ภควา สยมฺภุญาเณน อธิคญฺฉิฯ เอวํ ตถานิ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Tāni panetāni tattha tattha dhammānaṃ sabhāvasarasalakkhaṇassa avisaṃvādanato tathāni avitathāni anaññathāni, tāni bhagavā sayambhuñāṇena adhigañchi. Evaṃ tathāni āgatoti tathāgato.

    ตถา อตฺถปฎิสมฺภิทา, ธมฺมปฎิสมฺภิทา, นิรุตฺติปฎิสมฺภิทา, ปฎิภานปฎิสมฺภิทาติ จตโสฺส ปฎิสมฺภิทาฯ ตตฺถ อตฺถปเภทสฺส สลฺลกฺขณวิภาวนววตฺถานกรณสมตฺถํ อเตฺถ ปเภทคตํ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทาฯ ธมฺมปเภทสฺส สลฺลกฺขณวิภาวนววตฺถานกรณสมตฺถํ ธเมฺม ปเภทคตํ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทาฯ นิรุตฺติปเภทสฺส สลฺลกฺขณวิภาวนววตฺถานกรณสมตฺถํ นิรุตฺตาภิลาเป ปเภทคตํ ญาณํ นิรุตฺติปฎิสมฺภิทาฯ ปฎิภานปเภทสฺส สลฺลกฺขณวิภาวนววตฺถานกรณสมตฺถํ ปฎิภาเน ปเภทคตํ ญาณํ ปฎิภานปฎิสมฺภิทาฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Tathā atthapaṭisambhidā, dhammapaṭisambhidā, niruttipaṭisambhidā, paṭibhānapaṭisambhidāti catasso paṭisambhidā. Tattha atthapabhedassa sallakkhaṇavibhāvanavavatthānakaraṇasamatthaṃ atthe pabhedagataṃ ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā. Dhammapabhedassa sallakkhaṇavibhāvanavavatthānakaraṇasamatthaṃ dhamme pabhedagataṃ ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā. Niruttipabhedassa sallakkhaṇavibhāvanavavatthānakaraṇasamatthaṃ niruttābhilāpe pabhedagataṃ ñāṇaṃ niruttipaṭisambhidā. Paṭibhānapabhedassa sallakkhaṇavibhāvanavavatthānakaraṇasamatthaṃ paṭibhāne pabhedagataṃ ñāṇaṃ paṭibhānapaṭisambhidā. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘อเตฺถ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา, ธเมฺม ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา, ตตฺร ธมฺมนิรุตฺตาภิลาเป ญาณํ นิรุตฺติปฎิสมฺภิทา, ญาเณสุ ญาณํ ปฎิภานปฎิสมฺภิทา’’ติ (วิภ. ๗๑๘)ฯ

    ‘‘Atthe ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā, dhamme ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā, tatra dhammaniruttābhilāpe ñāṇaṃ niruttipaṭisambhidā, ñāṇesu ñāṇaṃ paṭibhānapaṭisambhidā’’ti (vibha. 718).

    เอตฺถ จ เหตุอนุสาเรน อรณียโต อธิคนฺตพฺพโต จ สเงฺขปโต เหตุผลํ อโตฺถ นามฯ ปเภทโต ปน ยํกิญฺจิ ปจฺจยุปฺปนฺนํ, นิพฺพานํ, ภาสิตโตฺถ, วิปาโก, กิริยาติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา อโตฺถฯ ตํ อตฺถํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ตสฺมิํ อเตฺถ ปเภทคตํ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทาฯ ธโมฺมติ สเงฺขปโต ปจฺจโยฯ โส หิ ยสฺมา ตํ ตํ อตฺถํ วิทหติ ปวเตฺตติ เจว ปาเปติ จ, ตสฺมา ธโมฺมติ วุจฺจติฯ ปเภทโต ปน โย โกจิ ผลนิพฺพตฺตโก เหตุ, อริยมโคฺค, ภาสิตํ, กุสลํ, อกุสลนฺติ อิเม ปญฺจ ธมฺมา ธโมฺม, ตํ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ตสฺมิํ ธเมฺม ปเภทคตํ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทาฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Ettha ca hetuanusārena araṇīyato adhigantabbato ca saṅkhepato hetuphalaṃ attho nāma. Pabhedato pana yaṃkiñci paccayuppannaṃ, nibbānaṃ, bhāsitattho, vipāko, kiriyāti ime pañca dhammā attho. Taṃ atthaṃ paccavekkhantassa tasmiṃ atthe pabhedagataṃ ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā. Dhammoti saṅkhepato paccayo. So hi yasmā taṃ taṃ atthaṃ vidahati pavatteti ceva pāpeti ca, tasmā dhammoti vuccati. Pabhedato pana yo koci phalanibbattako hetu, ariyamaggo, bhāsitaṃ, kusalaṃ, akusalanti ime pañca dhammā dhammo, taṃ dhammaṃ paccavekkhantassa tasmiṃ dhamme pabhedagataṃ ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ทุเกฺข ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา, ทุกฺขสมุทเย ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา, ทุกฺขนิโรเธ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา, ทุกฺขนิโรธคามินิยา ปฎิปทาย ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา’’ติ (วิภ. ๗๑๙)ฯ

    ‘‘Dukkhe ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā, dukkhasamudaye ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā, dukkhanirodhe ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā, dukkhanirodhagāminiyā paṭipadāya ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā’’ti (vibha. 719).

    อถ วา เหตุมฺหิ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา, เหตุผเล ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทาฯ เย ธมฺมา ชาตา ภูตา สญฺชาตา นิพฺพตฺตา อภินิพฺพตฺตา ปาตุภูตา, อิเมสุ ธเมฺมสุ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทาฯ ยมฺหา ธมฺมา เต ธมฺมา ชาตา ภูตา สญฺชาตา นิพฺพตฺตา อภินิพฺพตฺตา ปาตุภูตา, เตสุ ธเมฺมสุ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทาฯ ชรามรเณ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา, ชรามรณสมุทเย ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทาฯ ชรามรณนิโรเธ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา, ชรามรณนิโรธคามินิยา ปฎิปทาย ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทาฯ ชาติยา, ภเว, อุปาทาเน, ตณฺหาย, เวทนาย, ผเสฺส, สฬายตเน, นามรูเป, วิญฺญาเณ, สงฺขาเรสุ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา, สงฺขารสมุทเย ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทาฯ สงฺขารนิโรเธ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา , สงฺขารนิโรธคามินิยา ปฎิปทาย ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทาฯ

    Atha vā hetumhi ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā, hetuphale ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā. Ye dhammā jātā bhūtā sañjātā nibbattā abhinibbattā pātubhūtā, imesu dhammesu ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā. Yamhā dhammā te dhammā jātā bhūtā sañjātā nibbattā abhinibbattā pātubhūtā, tesu dhammesu ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā. Jarāmaraṇe ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā, jarāmaraṇasamudaye ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā. Jarāmaraṇanirodhe ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā, jarāmaraṇanirodhagāminiyā paṭipadāya ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā. Jātiyā, bhave, upādāne, taṇhāya, vedanāya, phasse, saḷāyatane, nāmarūpe, viññāṇe, saṅkhāresu ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā, saṅkhārasamudaye ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā. Saṅkhāranirodhe ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā , saṅkhāranirodhagāminiyā paṭipadāya ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā.

    ‘‘อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ชานาติ – สุตฺตํ, เคยฺยํ…เป.… เวทลฺลํฯ อยํ วุจฺจติ ธมฺมปฎิสมฺภิทาฯ โส ตสฺส ตเสฺสว ภาสิตสฺส อตฺถํ ชานาติ – ‘อยํ อิมสฺส ภาสิตสฺส อโตฺถ, อยํ อิมสฺส ภาสิตสฺส อโตฺถ’ติ, อยํ วุจฺจติ อตฺถปฎิสมฺภิทา (วิภ. ๗๒๔)ฯ

    ‘‘Idha bhikkhu dhammaṃ jānāti – suttaṃ, geyyaṃ…pe… vedallaṃ. Ayaṃ vuccati dhammapaṭisambhidā. So tassa tasseva bhāsitassa atthaṃ jānāti – ‘ayaṃ imassa bhāsitassa attho, ayaṃ imassa bhāsitassa attho’ti, ayaṃ vuccati atthapaṭisambhidā (vibha. 724).

    ‘‘กตเม ธมฺมา กุสลา? ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ โสมนสฺสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ รูปารมฺมณํ วา…เป.… ธมฺมารมฺมณํ วา ยํ ยํ วา ปนารพฺภ, ตสฺมิํ สมเย ผโสฺส โหติ…เป.… อวิเกฺขโป โหติฯ อิเม ธมฺมา กุสลาฯ อิเมสุ ธเมฺมสุ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา, เตสํ วิปาเก ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา’’ติอาทิ วิตฺถาโร (วิภ. ๗๒๕)ฯ

    ‘‘Katame dhammā kusalā? Yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti somanassasahagataṃ ñāṇasampayuttaṃ rūpārammaṇaṃ vā…pe… dhammārammaṇaṃ vā yaṃ yaṃ vā panārabbha, tasmiṃ samaye phasso hoti…pe… avikkhepo hoti. Ime dhammā kusalā. Imesu dhammesu ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā, tesaṃ vipāke ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā’’tiādi vitthāro (vibha. 725).

    ตสฺมิํ อเตฺถ จ ธเมฺม จ สภาวนิรุตฺติ อพฺยภิจารโวหาโร อภิลาโป, ตสฺมิํ สภาวนิรุตฺตาภิลาเป มาคธิกาย สพฺพสตฺตานํ มูลภาสาย ‘‘อยํ สภาวนิรุตฺติ, อยํ น สภาวนิรุตฺตี’’ติ ปเภทคตํ ญาณํ นิรุตฺติปฎิสมฺภิทาฯ ยถาวุเตฺตสุ เตสุ ญาเณสุ โคจรกิจฺจาทิวเสน วิตฺถารโต ปวตฺตํ สพฺพมฺปิ ญาณมารมฺมณํ กตฺวา ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ตสฺมิํ ญาเณ ปเภทคตํ ญาณํ ปฎิภานปฎิสมฺภิทาฯ อิติ อิมานิ จตฺตาริ ปฎิสมฺภิทาญาณานิ สยเมว ภควตา อธิคตานิ อตฺถธมฺมาทิเก ตสฺมิํ ตสฺมิํ อตฺตโน วิสเย อวิสํวาทนวเสน อวิปรีตาการปฺปวตฺติยา ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ เอวมฺปิ ภควา ตถานิ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Tasmiṃ atthe ca dhamme ca sabhāvanirutti abyabhicāravohāro abhilāpo, tasmiṃ sabhāvaniruttābhilāpe māgadhikāya sabbasattānaṃ mūlabhāsāya ‘‘ayaṃ sabhāvanirutti, ayaṃ na sabhāvaniruttī’’ti pabhedagataṃ ñāṇaṃ niruttipaṭisambhidā. Yathāvuttesu tesu ñāṇesu gocarakiccādivasena vitthārato pavattaṃ sabbampi ñāṇamārammaṇaṃ katvā paccavekkhantassa tasmiṃ ñāṇe pabhedagataṃ ñāṇaṃ paṭibhānapaṭisambhidā. Iti imāni cattāri paṭisambhidāñāṇāni sayameva bhagavatā adhigatāni atthadhammādike tasmiṃ tasmiṃ attano visaye avisaṃvādanavasena aviparītākārappavattiyā tathāni avitathāni anaññathāni. Evampi bhagavā tathāni āgatoti tathāgato.

    ตถา ยํ กิญฺจิ เญยฺยํ นาม, สพฺพํ ตํ ภควตา สพฺพากาเรน ญาตํ ทิฎฺฐํ อธิคตํ อภิสมฺพุทฺธํฯ ตถา หิสฺส อภิเญฺญยฺยา ธมฺมา อภิเญฺญยฺยโต พุทฺธา, ปริเญฺญยฺยา ธมฺมา ปริเญฺญยฺยโต พุทฺธา, ปหาตพฺพา ธมฺมา ปหาตพฺพโต พุทฺธา, สจฺฉิกาตพฺพา ธมฺมา สจฺฉิกาตพฺพโต พุทฺธา, ภาเวตพฺพา ธมฺมา ภาเวตพฺพโต พุทฺธา, ยโต นํ โกจิ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เทโว วา มาโร วา พฺรหฺมา วา ‘‘อิเม นาม เต ธมฺมา อนภิสมฺพุทฺธา’’ติ สห ธเมฺมน อนุยุญฺชิตุํ สมโตฺถ นตฺถิฯ

    Tathā yaṃ kiñci ñeyyaṃ nāma, sabbaṃ taṃ bhagavatā sabbākārena ñātaṃ diṭṭhaṃ adhigataṃ abhisambuddhaṃ. Tathā hissa abhiññeyyā dhammā abhiññeyyato buddhā, pariññeyyā dhammā pariññeyyato buddhā, pahātabbā dhammā pahātabbato buddhā, sacchikātabbā dhammā sacchikātabbato buddhā, bhāvetabbā dhammā bhāvetabbato buddhā, yato naṃ koci samaṇo vā brāhmaṇo vā devo vā māro vā brahmā vā ‘‘ime nāma te dhammā anabhisambuddhā’’ti saha dhammena anuyuñjituṃ samattho natthi.

    ยํ กิญฺจิ ปหาตพฺพํ นาม, สพฺพํ ตํ ภควตา อนวเสสโต โพธิมูเลเยว ปหีนํ อนุปฺปตฺติธมฺมํ, น ตสฺส ปหานาย อุตฺตริ กรณียํ อตฺถิ ฯ ตถา หิสฺส โลภโทสโมหวิปรีตมนสิการอหิริกาโนตฺตปฺปถินมิทฺธ- โกธูปนาหมกฺขปลาสอิสฺสามจฺฉริย- มายาสาเฐยฺยถมฺภสารมฺภมานาติมานมทปมาทติวิธากุสลมูลทุจฺจริต- วิสมสญฺญามลวิตกฺกปปญฺจเอสนาตณฺหาจตุพฺพิธวิปริเยสอาสว- คนฺถโอฆโยคาคติตณฺหุปาทานปญฺจาภินนฺทนนีวรณ- เจโตขิลเจตโสวินิพนฺธฉวิวาทมูลสตฺตานุสย- อฎฺฐมิจฺฉตฺตนวอาฆาตวตฺถุตณฺหามูลกทสอกุสล- กมฺมปถเอกวีสติอเนสนทฺวาสฎฺฐิทิฎฺฐิคตอฎฺฐสตตณฺหาวิจริตาทิปฺปเภทํ ทิยฑฺฒกิเลสสหสฺสํ สห วาสนาย ปหีนํ สมุจฺฉินฺนํ สมูหตํ, ยโต นํ โกจิ สมโณ วา…เป.… พฺรหฺมา วา ‘‘อิเม นาม เต กิเลสา อปฺปหีนา’’ติ สห ธเมฺมน อนุยุญฺชิตุํ สมโตฺถ นตฺถิฯ

    Yaṃ kiñci pahātabbaṃ nāma, sabbaṃ taṃ bhagavatā anavasesato bodhimūleyeva pahīnaṃ anuppattidhammaṃ, na tassa pahānāya uttari karaṇīyaṃ atthi . Tathā hissa lobhadosamohaviparītamanasikāraahirikānottappathinamiddha- kodhūpanāhamakkhapalāsaissāmacchariya- māyāsāṭheyyathambhasārambhamānātimānamadapamādatividhākusalamūladuccarita- visamasaññāmalavitakkapapañcaesanātaṇhācatubbidhavipariyesaāsava- ganthaoghayogāgatitaṇhupādānapañcābhinandananīvaraṇa- cetokhilacetasovinibandhachavivādamūlasattānusaya- aṭṭhamicchattanavaāghātavatthutaṇhāmūlakadasaakusala- kammapathaekavīsatianesanadvāsaṭṭhidiṭṭhigataaṭṭhasatataṇhāvicaritādippabhedaṃ diyaḍḍhakilesasahassaṃ saha vāsanāya pahīnaṃ samucchinnaṃ samūhataṃ, yato naṃ koci samaṇo vā…pe… brahmā vā ‘‘ime nāma te kilesā appahīnā’’ti saha dhammena anuyuñjituṃ samattho natthi.

    เย จิเม ภควตา กมฺมวิปากกิเลสูปวาทอาณาวีติกฺกมปฺปเภทา อนฺตรายิกา ธมฺมา วุตฺตา, อลเมว เต เอกเนฺตน อนฺตรายาย, ยโต นํ โกจิ สมโณ วา…เป.… พฺรหฺมา วา ‘‘นาลํ เต ปฎิเสวโต อนฺตรายายา’’ติ สห ธเมฺมน อนุยุญฺชิตุํ สมโตฺถ นตฺถิฯ

    Ye cime bhagavatā kammavipākakilesūpavādaāṇāvītikkamappabhedā antarāyikā dhammā vuttā, alameva te ekantena antarāyāya, yato naṃ koci samaṇo vā…pe… brahmā vā ‘‘nālaṃ te paṭisevato antarāyāyā’’ti saha dhammena anuyuñjituṃ samattho natthi.

    โย จ ภควตา นิรวเสสวฎฺฎทุกฺขนิสฺสรณาย สีลสมาธิปญฺญาสงฺคโห สตฺตโกฎฺฐาสิโก สตฺตติํสปฺปเภโท อริยมคฺคปุพฺพงฺคโม อนุตฺตโร นิยฺยานธโมฺม เทสิโต, โส เอกเนฺตเนว นิยฺยาติ ปฎิปนฺนสฺส วฎฺฎทุกฺขโต, ยโต นํ โกจิ สมโณ วา…เป.… พฺรหฺมา วา ‘‘นิยฺยานธโมฺม ตยา เทสิโต น นิยฺยาตี’’ติ สห ธเมฺมน อนุยุญฺชิตุํ สมโตฺถ นตฺถิฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส เต ปฎิชานโต อิเม ธมฺมา อนภิสมฺพุทฺธา’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๕๐) วิตฺถาโรฯ เอวเมตานิ อตฺตโน ญาณปฺปหานเทสนาวิเสสานํ อวิตถภาวาวโพธนโต อวิปรีตาการปฺปวตฺตานิ ภควโต จตุเวสารชฺชญาณานิ ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ เอวมฺปิ ภควา ตถานิ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Yo ca bhagavatā niravasesavaṭṭadukkhanissaraṇāya sīlasamādhipaññāsaṅgaho sattakoṭṭhāsiko sattatiṃsappabhedo ariyamaggapubbaṅgamo anuttaro niyyānadhammo desito, so ekanteneva niyyāti paṭipannassa vaṭṭadukkhato, yato naṃ koci samaṇo vā…pe… brahmā vā ‘‘niyyānadhammo tayā desito na niyyātī’’ti saha dhammena anuyuñjituṃ samattho natthi. Vuttañhetaṃ – ‘‘sammāsambuddhassa te paṭijānato ime dhammā anabhisambuddhā’’ti (ma. ni. 1.150) vitthāro. Evametāni attano ñāṇappahānadesanāvisesānaṃ avitathabhāvāvabodhanato aviparītākārappavattāni bhagavato catuvesārajjañāṇāni tathāni avitathāni anaññathāni. Evampi bhagavā tathāni āgatoti tathāgato.

    ตถา นิรยคติ, ติรจฺฉานคติ, เปตคติ, มนุสฺสคติ, เทวคตีติ ปญฺจ คติโยฯ ตาสุ สญฺชีวาทโย อฎฺฐ มหานิรยา , กุกฺกุฬาทโย โสฬส อุสฺสทนิรยา, โลกนฺตริกนิรโย จาติ สเพฺพปิเม เอกนฺตทุกฺขตาย นิรสฺสาทเฎฺฐน นิรยา จ, สกกมฺมุนา คนฺตพฺพโต คติ จาติ นิรยคติ ฯ ติพฺพนฺธการสีตนรกาปิ เอเตเสฺวว อโนฺตคธา กิมิกีฎปฎงฺคสรีสปปกฺขิโสณสิงฺคาลาทโย ติริยํ อญฺฉิตภาเวน ติรจฺฉานา นามฯ เต เอว คตีติ ติรจฺฉานคติฯ ขุปฺปิปาสิตปรทตฺตูปชีวินิชฺฌามตณฺหิกาทโย ทุกฺขพหุลตาย ปกฎฺฐสุขโต อิตา วิคตาติ เปตา, เต เอว คตีติ เปตคติฯ กาลกญฺจิกาทิอสุราปิ เอเตเสฺวว อโนฺตคธาฯ ปริตฺตทีปวาสีหิ สทฺธิํ ชมฺพุทีปาทิจตุมหาทีปวาสิโน มนโส อุสฺสนฺนตาย มนุสฺสา, เต เอว คตีติ มนุสฺสคติฯ จาตุมหาราชิกโต ปฎฺฐาย ยาว เนวสญฺญานาสญฺญายตนูปคาติ อิเม ฉพฺพีสติ เทวนิกายา ทิพฺพนฺติ อตฺตโน อิทฺธานุภาเวน กีฬนฺติ โชเตนฺติ จาติ เทวา, เต เอว คตีติ เทวคติ

    Tathā nirayagati, tiracchānagati, petagati, manussagati, devagatīti pañca gatiyo. Tāsu sañjīvādayo aṭṭha mahānirayā , kukkuḷādayo soḷasa ussadanirayā, lokantarikanirayo cāti sabbepime ekantadukkhatāya nirassādaṭṭhena nirayā ca, sakakammunā gantabbato gati cāti nirayagati. Tibbandhakārasītanarakāpi etesveva antogadhā kimikīṭapaṭaṅgasarīsapapakkhisoṇasiṅgālādayo tiriyaṃ añchitabhāvena tiracchānā nāma. Te eva gatīti tiracchānagati. Khuppipāsitaparadattūpajīvinijjhāmataṇhikādayo dukkhabahulatāya pakaṭṭhasukhato itā vigatāti petā, te eva gatīti petagati. Kālakañcikādiasurāpi etesveva antogadhā. Parittadīpavāsīhi saddhiṃ jambudīpādicatumahādīpavāsino manaso ussannatāya manussā, te eva gatīti manussagati. Cātumahārājikato paṭṭhāya yāva nevasaññānāsaññāyatanūpagāti ime chabbīsati devanikāyā dibbanti attano iddhānubhāvena kīḷanti jotenti cāti devā, te eva gatīti devagati.

    ตา ปเนตา คติโย ยสฺมา ตํตํกมฺมนิพฺพโตฺต อุปปตฺติภววิเสโส, ตสฺมา อตฺถโต วิปากกฺขนฺธา กฎตฺตา จ รูปํฯ ตตฺถ ‘‘อยํ นาม คติ นาม อิมินา กมฺมุนา ชายติ, ตสฺส กมฺมสฺส ปจฺจยวิเสเสหิ เอวํ วิภาคภินฺนตฺตา วิสุํ เอเต สตฺตนิกายา เอวํ วิภาคภินฺนา’’ติ ยถาสกํเหตุผลวิภาคปริจฺฉินฺทนวเสน ฐานโส เหตุโส ภควโต ญาณํ ปวตฺตติฯ เตนาห ภควา –

    Tā panetā gatiyo yasmā taṃtaṃkammanibbatto upapattibhavaviseso, tasmā atthato vipākakkhandhā kaṭattā ca rūpaṃ. Tattha ‘‘ayaṃ nāma gati nāma iminā kammunā jāyati, tassa kammassa paccayavisesehi evaṃ vibhāgabhinnattā visuṃ ete sattanikāyā evaṃ vibhāgabhinnā’’ti yathāsakaṃhetuphalavibhāgaparicchindanavasena ṭhānaso hetuso bhagavato ñāṇaṃ pavattati. Tenāha bhagavā –

    ‘‘ปญฺจ โข อิมา, สาริปุตฺต, คติโยฯ กตมา ปญฺจ? นิรโย, ติรจฺฉานโยนิ, เปตฺติวิสโย, มนุสฺสา, เทวาฯ นิรยญฺจาหํ, สาริปุตฺต, ปชานามิ, นิรยคามิญฺจ มคฺคํ, นิรยคามินิญฺจ ปฎิปทํ; ยถา ปฎิปโนฺน จ กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ, ตญฺจ ปชานามี’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๑๕๓)ฯ

    ‘‘Pañca kho imā, sāriputta, gatiyo. Katamā pañca? Nirayo, tiracchānayoni, pettivisayo, manussā, devā. Nirayañcāhaṃ, sāriputta, pajānāmi, nirayagāmiñca maggaṃ, nirayagāminiñca paṭipadaṃ; yathā paṭipanno ca kāyassa bhedā paraṃ maraṇā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ nirayaṃ upapajjati, tañca pajānāmī’’tiādi (ma. ni. 1.153).

    ตานิ ปเนตานิ ภควโต ญาณานิ ตสฺมิํ ตสฺมิํ วิสเย อวิปรีตาการปฺปวตฺติยา อวิสํวาทนโต ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ เอวมฺปิ ภควา ตถานิ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Tāni panetāni bhagavato ñāṇāni tasmiṃ tasmiṃ visaye aviparītākārappavattiyā avisaṃvādanato tathāni avitathāni anaññathāni. Evampi bhagavā tathāni āgatoti tathāgato.

    ตถา ยํ สตฺตานํ สทฺธาทิโยควิกลภาวาวโพเธน อปฺปรชกฺขมหารชกฺขตาทิวิเสสวิภาวนํ ปญฺญาสาย อากาเรหิ ปวตฺตํ ภควโต อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘สโทฺธ ปุคฺคโล อปฺปรชโกฺข, อสฺสโทฺธ ปุคฺคโล มหารชโกฺข’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๑) วิตฺถาโรฯ

    Tathā yaṃ sattānaṃ saddhādiyogavikalabhāvāvabodhena apparajakkhamahārajakkhatādivisesavibhāvanaṃ paññāsāya ākārehi pavattaṃ bhagavato indriyaparopariyattañāṇaṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘saddho puggalo apparajakkho, assaddho puggalo mahārajakkho’’ti (paṭi. ma. 1.111) vitthāro.

    ยญฺจ ‘‘อยํ ปุคฺคโล อปฺปรชโกฺข, อยํ สสฺสตทิฎฺฐิโก, อยํ อุเจฺฉททิฎฺฐิโก, อยํ อนุโลมิกายํ ขนฺติยํ ฐิโต, อยํ ยถาภูตญาเณ ฐิโต, อยํ กามาสโย, น เนกฺขมฺมาทิอาสโย, อยํ เนกฺขมฺมาสโย, น กามาทิอาสโย’’ติอาทินา ‘‘อิมสฺส กามราโค อติวิย ถามคโต, น ปฎิฆาทิโก, อิมสฺส ปฎิโฆ อติวิย ถามคโต, น กามราคาทิโก’’ติอาทินา ‘‘อิมสฺส ปุญฺญาภิสงฺขาโร อธิโก, น อปุญฺญาภิสงฺขาโร น อาเนญฺชาภิสงฺขาโร, อิมสฺส อปุญฺญาภิสงฺขาโร อธิโก, น ปุญฺญาภิสงฺขาโร น อาเนญฺชาภิสงฺขาโร, อิมสฺส อาเนญฺชาภิสงฺขาโร อธิโก, น ปุญฺญาภิสงฺขาโร น อปุญฺญาภิสงฺขาโรฯ อิมสฺส กายสุจริตํ อธิกํ, อิมสฺส วจีสุจริตํ, อิมสฺส มโนสุจริตํฯ อยํ หีนาธิมุตฺติโก, อยํ ปณีตาธิมุตฺติโก, อยํ กมฺมาวรเณน สมนฺนาคโต, อยํ กิเลสาวรเณน สมนฺนาคโต, อยํ วิปากาวรเณน สมนฺนาคโต, อยํ น กมฺมาวรเณน สมนฺนาคโต, น กิเลสาวรเณน, น วิปากาวรเณน สมนฺนาคโต’’ติอาทินา จ สตฺตานํ อาสยาทีนํ ยถาภูตํ วิภาวนาการปฺปวตฺตํ ภควโต อาสยานุสยญาณํฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –

    Yañca ‘‘ayaṃ puggalo apparajakkho, ayaṃ sassatadiṭṭhiko, ayaṃ ucchedadiṭṭhiko, ayaṃ anulomikāyaṃ khantiyaṃ ṭhito, ayaṃ yathābhūtañāṇe ṭhito, ayaṃ kāmāsayo, na nekkhammādiāsayo, ayaṃ nekkhammāsayo, na kāmādiāsayo’’tiādinā ‘‘imassa kāmarāgo ativiya thāmagato, na paṭighādiko, imassa paṭigho ativiya thāmagato, na kāmarāgādiko’’tiādinā ‘‘imassa puññābhisaṅkhāro adhiko, na apuññābhisaṅkhāro na āneñjābhisaṅkhāro, imassa apuññābhisaṅkhāro adhiko, na puññābhisaṅkhāro na āneñjābhisaṅkhāro, imassa āneñjābhisaṅkhāro adhiko, na puññābhisaṅkhāro na apuññābhisaṅkhāro. Imassa kāyasucaritaṃ adhikaṃ, imassa vacīsucaritaṃ, imassa manosucaritaṃ. Ayaṃ hīnādhimuttiko, ayaṃ paṇītādhimuttiko, ayaṃ kammāvaraṇena samannāgato, ayaṃ kilesāvaraṇena samannāgato, ayaṃ vipākāvaraṇena samannāgato, ayaṃ na kammāvaraṇena samannāgato, na kilesāvaraṇena, na vipākāvaraṇena samannāgato’’tiādinā ca sattānaṃ āsayādīnaṃ yathābhūtaṃ vibhāvanākārappavattaṃ bhagavato āsayānusayañāṇaṃ. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –

    ‘‘อิธ ตถาคโต สตฺตานํ อาสยํ ชานาติ, อนุสยํ ชานาติ, จริตํ ชานาติ, อธิมุตฺติํ ชานาติ, ภพฺพาภเพฺพ สเตฺต ชานาตี’’ติอาทิ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๓)ฯ

    ‘‘Idha tathāgato sattānaṃ āsayaṃ jānāti, anusayaṃ jānāti, caritaṃ jānāti, adhimuttiṃ jānāti, bhabbābhabbe satte jānātī’’tiādi (paṭi. ma. 1.113).

    ยญฺจ อุปริมเหฎฺฐิมปุรตฺถิมปจฺฉิมกาเยหิ ทกฺขิณวามอกฺขิกณฺณโสตนาสิกาโสตอํสกูฎปสฺสหตฺถปาเทหิ องฺคุลงฺคุลนฺตเรหิ โลมโลมกูเปหิ จ อคฺคิกฺขนฺธูทกธาราปวตฺตนํ อนญฺญสาธารณํ วิวิธวิกุพฺพนิทฺธินิมฺมาปนกํ ภควโต ยมกปาฎิหาริยญาณํฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –

    Yañca uparimaheṭṭhimapuratthimapacchimakāyehi dakkhiṇavāmaakkhikaṇṇasotanāsikāsotaaṃsakūṭapassahatthapādehi aṅgulaṅgulantarehi lomalomakūpehi ca aggikkhandhūdakadhārāpavattanaṃ anaññasādhāraṇaṃ vividhavikubbaniddhinimmāpanakaṃ bhagavato yamakapāṭihāriyañāṇaṃ. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –

    ‘‘อิธ ตถาคโต ยมกปาฎิหาริยํ กโรติ อสาธารณํ สาวเกหิฯ อุปริมกายโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, เหฎฺฐิมกายโต อุทกธารา ปวตฺตติฯ เหฎฺฐิมกายโต อคฺคิกฺขโนฺธ ปวตฺตติ, อุปริมกายโต อุทกธารา ปวตฺตตี’’ติอาทิ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๖)ฯ

    ‘‘Idha tathāgato yamakapāṭihāriyaṃ karoti asādhāraṇaṃ sāvakehi. Uparimakāyato aggikkhandho pavattati, heṭṭhimakāyato udakadhārā pavattati. Heṭṭhimakāyato aggikkhandho pavattati, uparimakāyato udakadhārā pavattatī’’tiādi (paṭi. ma. 1.116).

    ยญฺจ ราคาทีหิ ชาติอาทีหิ จ อเนเกหิ ทุกฺขธเมฺมหิ อุปทฺทุตํ สตฺตนิกายํ ตโต นีหริตุกามตาวเสน นานานเยหิ ปวตฺตสฺส ภควโต มหากรุโณกฺกมนสฺส ปจฺจยภูตํ มหากรุณาสมาปตฺติญาณํฯ ยถาห –

    Yañca rāgādīhi jātiādīhi ca anekehi dukkhadhammehi upaddutaṃ sattanikāyaṃ tato nīharitukāmatāvasena nānānayehi pavattassa bhagavato mahākaruṇokkamanassa paccayabhūtaṃ mahākaruṇāsamāpattiñāṇaṃ. Yathāha –

    ‘‘กตมํ ตถาคตสฺส มหากรุณาสมาปตฺติญาณํ? พหุเกหิ อากาเรหิ ปสฺสนฺตานํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ สเตฺตสุ มหากรุณา โอกฺกมติ, อาทิโตฺต โลกสนฺนิวาโสติ ปสฺสนฺตานํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ สเตฺตสุ มหากรุณา โอกฺกมตี’’ติฯ –

    ‘‘Katamaṃ tathāgatassa mahākaruṇāsamāpattiñāṇaṃ? Bahukehi ākārehi passantānaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ sattesu mahākaruṇā okkamati, āditto lokasannivāsoti passantānaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ sattesu mahākaruṇā okkamatī’’ti. –

    อาทินา (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๗) เอกูนนวุติยา อากาเรหิ วิภชนํ กตํฯ

    Ādinā (paṭi. ma. 1.117) ekūnanavutiyā ākārehi vibhajanaṃ kataṃ.

    ยํ ปน ยาวตา ธมฺมธาตุ, ยตฺตกํ ญาตพฺพํ สงฺขตาสงฺขตาทิ, ตสฺส สพฺพสฺส ปโรปเทเสน วินา สพฺพาการโต ปฎิชานนสมตฺถํ อากงฺขามตฺตปฺปฎิพทฺธวุตฺติ อนญฺญสาธารณํ ภควโต ญาณํ สพฺพถา อนวเสสสงฺขตาสงฺขตสมฺมุติสจฺจาวโพธโต สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, ตตฺถาวรณาภาวโตว นิสฺสงฺคปฺปวตฺติํ อุปาทาย อนาวรณญาณนฺติ จ วุจฺจติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน ปรโต อาวิ ภวิสฺสติฯ

    Yaṃ pana yāvatā dhammadhātu, yattakaṃ ñātabbaṃ saṅkhatāsaṅkhatādi, tassa sabbassa paropadesena vinā sabbākārato paṭijānanasamatthaṃ ākaṅkhāmattappaṭibaddhavutti anaññasādhāraṇaṃ bhagavato ñāṇaṃ sabbathā anavasesasaṅkhatāsaṅkhatasammutisaccāvabodhato sabbaññutaññāṇaṃ, tatthāvaraṇābhāvatova nissaṅgappavattiṃ upādāya anāvaraṇañāṇanti ca vuccati. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana parato āvi bhavissati.

    เอวเมตานิ ภควโต ฉ อสาธารณญาณานิ อวิปรีตาการปฺปวตฺติยา ยถาสกํวิสยสฺส อวิสํวาทนโต ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ เอวมฺปิ ภควา ตถานิ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Evametāni bhagavato cha asādhāraṇañāṇāni aviparītākārappavattiyā yathāsakaṃvisayassa avisaṃvādanato tathāni avitathāni anaññathāni. Evampi bhagavā tathāni āgatoti tathāgato.

    ตถา ‘‘สตฺติเม, ภิกฺขเว, โพชฺฌงฺคา – สติสโมฺพชฺฌโงฺค, ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌโงฺค, วีริยสโมฺพชฺฌโงฺค, ปีติสโมฺพชฺฌโงฺค, ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌโงฺค, สมาธิสโมฺพชฺฌโงฺค, อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌโงฺค’’ติ (ปฎิ. ม. ๒.๑๗; สํ. นิ. ๕.๑๘๕) เอวํ สรูปโต ยายํ โลกุตฺตรมคฺคกฺขเณ อุปฺปชฺชมานา ลีนุทฺธจฺจปติฎฺฐานายูหนกามสุขตฺตกิลมถานุโยคอุเจฺฉทสสฺสตาภินิเวสาทีนํ อเนเกสํ อุปทฺทวานํ ปฎิปกฺขภูตา สติอาทิเภทา ธมฺมสามคฺคี, ยาย อริยสาวโก พุชฺฌติ, กิเลสนิทฺทาย อุฎฺฐหติ, จตฺตาริ วา สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌติ, นิพฺพานเมว วา สจฺฉิกโรติ, สา ธมฺมสามคฺคี ‘‘โพธี’’ติ วุจฺจติ, ตสฺสา โพธิยา องฺคาติ โพชฺฌงฺคาฯ อริยสาวโก วา ยถาวุตฺตาย ธมฺมสามคฺคิยา พุชฺฌตีติ กตฺวา ‘‘โพธี’’ติ วุจฺจติฯ ตสฺส โพธิสฺส องฺคาติ โพชฺฌงฺคาติ เอวํ สามญฺญลกฺขณโต , อุปฎฺฐานลกฺขโณ สติสโมฺพชฺฌโงฺค, ปวิจยลกฺขโณ ธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌโงฺค, ปคฺคหลกฺขโณ วีริยสโมฺพชฺฌโงฺค, ผรณลกฺขโณ ปีติสโมฺพชฺฌโงฺค, อุปสมลกฺขโณ ปสฺสทฺธิสโมฺพชฺฌโงฺค, อวิเกฺขปลกฺขโณ สมาธิสโมฺพชฺฌโงฺค ปฎิสงฺขานลกฺขโณ อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌโงฺคติ เอวํ วิเสสลกฺขณโต

    Tathā ‘‘sattime, bhikkhave, bojjhaṅgā – satisambojjhaṅgo, dhammavicayasambojjhaṅgo, vīriyasambojjhaṅgo, pītisambojjhaṅgo, passaddhisambojjhaṅgo, samādhisambojjhaṅgo, upekkhāsambojjhaṅgo’’ti (paṭi. ma. 2.17; saṃ. ni. 5.185) evaṃ sarūpato yāyaṃ lokuttaramaggakkhaṇe uppajjamānā līnuddhaccapatiṭṭhānāyūhanakāmasukhattakilamathānuyogaucchedasassatābhinivesādīnaṃ anekesaṃ upaddavānaṃ paṭipakkhabhūtā satiādibhedā dhammasāmaggī, yāya ariyasāvako bujjhati, kilesaniddāya uṭṭhahati, cattāri vā saccāni paṭivijjhati, nibbānameva vā sacchikaroti, sā dhammasāmaggī ‘‘bodhī’’ti vuccati, tassā bodhiyā aṅgāti bojjhaṅgā. Ariyasāvako vā yathāvuttāya dhammasāmaggiyā bujjhatīti katvā ‘‘bodhī’’ti vuccati. Tassa bodhissa aṅgāti bojjhaṅgāti evaṃ sāmaññalakkhaṇato, upaṭṭhānalakkhaṇo satisambojjhaṅgo, pavicayalakkhaṇo dhammavicayasambojjhaṅgo, paggahalakkhaṇo vīriyasambojjhaṅgo, pharaṇalakkhaṇo pītisambojjhaṅgo, upasamalakkhaṇo passaddhisambojjhaṅgo, avikkhepalakkhaṇo samādhisambojjhaṅgo paṭisaṅkhānalakkhaṇo upekkhāsambojjhaṅgoti evaṃ visesalakkhaṇato.

    ‘‘ตตฺถ กตโม สติสโมฺพชฺฌโงฺค? อิธ ภิกฺขุ สติมา โหติ ปรเมน สติเนปเกฺกน สมนฺนาคโต, จิรกตมฺปิ จิรภาสิตมฺปิ สริตา โหติ อนุสฺสริตา’’ติอาทินา (วิภ. ๔๖๗) สตฺตนฺนํ โพชฺฌงฺคานํ อญฺญมญฺญูปการวเสน เอกกฺขเณ ปวตฺติทสฺสนโตฯ ‘‘ตตฺถ กตโม สติสโมฺพชฺฌโงฺค? อตฺถิ อชฺฌตฺตํ ธเมฺมสุ สติ, อตฺถิ พหิทฺธา ธเมฺมสุ สตี’’ติอาทินา (วิภ. ๔๖๙) เตสํ วิสยวิภาวนาปวตฺติทสฺสนโตฯ ‘‘ตตฺถ กตโม สติสโมฺพชฺฌโงฺค? อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สติสโมฺพชฺฌงฺคํ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ, วิราคนิสฺสิตํ, นิโรธนิสฺสิตํ, โวสคฺคปริณามิ’’นฺติอาทินา (วิภ. ๔๗๑) ภาวนาวิธิทสฺสนโตฯ ‘‘ตตฺถ กตเม สตฺต โพชฺฌงฺคา? อิธ ภิกฺขุ ยสฺมิํ สมเย โลกุตฺตรํ ฌานํ ภาเวติ…เป.… ตสฺมิํ สมเย สตฺต โพชฺฌงฺคา โหนฺติ, สติสโมฺพชฺฌโงฺค…เป.… อุเปกฺขาสโมฺพชฺฌโงฺคฯ ตตฺถ กตโม สติสโมฺพชฺฌโงฺค? ยา สติ อนุสฺสตี’’ติอาทินา (วิภ. ๔๗๘) ฉนวุติยา นยสหสฺสวิภาเคหีติ เอวํ นานาการโต ปวตฺตานิ ภควโต โพชฺฌงฺควิภาวนญาณานิ ตสฺส ตสฺส อตฺถสฺส อวิสํวาทนโต ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ เอวมฺปิ ภควา ตถานิ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    ‘‘Tattha katamo satisambojjhaṅgo? Idha bhikkhu satimā hoti paramena satinepakkena samannāgato, cirakatampi cirabhāsitampi saritā hoti anussaritā’’tiādinā (vibha. 467) sattannaṃ bojjhaṅgānaṃ aññamaññūpakāravasena ekakkhaṇe pavattidassanato. ‘‘Tattha katamo satisambojjhaṅgo? Atthi ajjhattaṃ dhammesu sati, atthi bahiddhā dhammesu satī’’tiādinā (vibha. 469) tesaṃ visayavibhāvanāpavattidassanato. ‘‘Tattha katamo satisambojjhaṅgo? Idha, bhikkhave, bhikkhu satisambojjhaṅgaṃ bhāveti vivekanissitaṃ, virāganissitaṃ, nirodhanissitaṃ, vosaggapariṇāmi’’ntiādinā (vibha. 471) bhāvanāvidhidassanato. ‘‘Tattha katame satta bojjhaṅgā? Idha bhikkhu yasmiṃ samaye lokuttaraṃ jhānaṃ bhāveti…pe… tasmiṃ samaye satta bojjhaṅgā honti, satisambojjhaṅgo…pe… upekkhāsambojjhaṅgo. Tattha katamo satisambojjhaṅgo? Yā sati anussatī’’tiādinā (vibha. 478) chanavutiyā nayasahassavibhāgehīti evaṃ nānākārato pavattāni bhagavato bojjhaṅgavibhāvanañāṇāni tassa tassa atthassa avisaṃvādanato tathāni avitathāni anaññathāni. Evampi bhagavā tathāni āgatoti tathāgato.

    ตถา ‘‘ตตฺถ กตมํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา อริยสจฺจํ? อยเมว อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค, เสยฺยถิทํ – สมฺมาทิฎฺฐิ…เป.… สมฺมาสมาธี’’ติ (วิภ. ๒๐๕) เอวํ สรูปโตฯ สพฺพกิเลเสหิ อารกตฺตา อริยภาวกรตฺตา อริยผลปฎิลาภกรตฺตา จ อริโยฯ อริยานํ อฎฺฐวิธตฺตา นิพฺพานาธิคมาย เอกนฺตการณตฺตา จ อฎฺฐงฺคิโกฯ กิเลเส มาเรโนฺต คจฺฉติ, อตฺถิเกหิ มคฺคียติ, สยํ วา นิพฺพานํ มคฺคยตีติ มโคฺคติ เอวํ สามญฺญลกฺขณโตฯ ‘‘สมฺมาทสฺสนลกฺขณา สมฺมาทิฎฺฐิ, สมฺมาอภินิโรปนลกฺขโณ สมฺมาสงฺกโปฺป , สมฺมาปริคฺคหณลกฺขณา สมฺมาวาจา , สมฺมาสมุฎฺฐาปนลกฺขโณ สมฺมากมฺมโนฺต, สมฺมาโวทานลกฺขโณ สมฺมาอาชีโว, สมฺมาปคฺคหลกฺขโณ สมฺมาวายาโม, สมฺมาอุปฎฺฐานลกฺขณา สมฺมาสติ , สมฺมาอวิเกฺขปลกฺขโณ สมฺมาสมาธี’’ติ เอวํ วิเสสลกฺขณโตฯ สมฺมาทิฎฺฐิ ตาว อเญฺญหิปิ อตฺตโน ปจฺจนีกกิเลเสหิ สทฺธิํ มิจฺฉาทิฎฺฐิํ ปชหติ, นิพฺพานํ อารมฺมณํ กโรติ, ตปฺปฎิจฺฉาทกโมหวิธมเนน อสโมฺมหโต สมฺปยุตฺตธเมฺม จ ปสฺสติ, ตถา สมฺมาสงฺกปฺปาทโยปิ มิจฺฉาสงฺกปฺปาทีนิ ปชหนฺติ, นิโรธญฺจ อารมฺมณํ กโรนฺติ, สหชาตธมฺมานํ สมฺมาอภินิโรปนปริคฺคหณสมุฎฺฐาปนโวทานปคฺคหอุปฎฺฐานสมาทหนานิ จ กโรนฺตีติ เอวํ กิจฺจวิภาคโตฯ สมฺมาทิฎฺฐิ ปุพฺพภาเค นานกฺขณา วิสุํ ทุกฺขาทิอารมฺมณา หุตฺวา มคฺคกาเล เอกกฺขณา นิพฺพานเมว อารมฺมณํ กตฺวา กิจฺจโต ‘‘ทุเกฺข ญาณ’’นฺติอาทีนิ จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ สมฺมาสงฺกปฺปาทโยปิ ปุพฺพภาเค นานกฺขณา นานารมฺมณา, มคฺคกาเล เอกกฺขณา เอการมฺมณา, เตสุ สมฺมาสงฺกโปฺป กิจฺจโต ‘‘เนกฺขมฺมสงฺกโปฺป’’ติอาทีนิ ตีณิ นามานิ ลภติฯ สมฺมาวาจาทโย ตโย ปุพฺพภาเค ‘‘มุสาวาทา เวรมณี’’ติอาทิวิภาคา วิรติโยปิ เจตนาโยปิ หุตฺวา มคฺคกฺขเณ วิรติโยว, สมฺมาวายามสติโย กิจฺจโต สมฺมปฺปธานสติปฎฺฐานวเสน จตฺตาริ นามานิ ลภนฺติฯ สมฺมาสมาธิ ปน มคฺคกฺขเณปิ ปฐมชฺฌานาทิวเสน นานา เอวาติ เอวํ ปุพฺพภาคาปรภาเคสุ ปวตฺติวิภาคโตฯ ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สมฺมาทิฎฺฐิํ ภาเวติ วิเวกนิสฺสิต’’นฺติอาทินา (วิภ. ๔๘๙) ภาวนาวิธิโตฯ ‘‘ตตฺถ กตโม อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค? อิธ, ภิกฺขุ, ยสฺมิํ สมเย โลกุตฺตรํ ฌานํ ภาเวติ…เป.… ทุกฺขปฎิปทํ ทนฺธาภิญฺญํ, ตสฺมิํ สมเย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค โหติ – สมฺมาทิฎฺฐิ สมฺมาสงฺกโปฺป’’ติอาทินา (วิภ. ๔๙๙) จตุราสีติยา นยสหสฺสวิภาเคหีติ เอวํ อเนกาการโต ปวตฺตานิ ภควโต อริยมคฺควิภาวนญาณานิ อตฺถสฺส อวิสํวาทนโต สพฺพานิปิ ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิ เอวมฺปิ ภควา ตถานิ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Tathā ‘‘tattha katamaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadā ariyasaccaṃ? Ayameva ariyo aṭṭhaṅgiko maggo, seyyathidaṃ – sammādiṭṭhi…pe… sammāsamādhī’’ti (vibha. 205) evaṃ sarūpato. Sabbakilesehi ārakattā ariyabhāvakarattā ariyaphalapaṭilābhakarattā ca ariyo. Ariyānaṃ aṭṭhavidhattā nibbānādhigamāya ekantakāraṇattā ca aṭṭhaṅgiko. Kilese mārento gacchati, atthikehi maggīyati, sayaṃ vā nibbānaṃ maggayatīti maggoti evaṃ sāmaññalakkhaṇato. ‘‘Sammādassanalakkhaṇā sammādiṭṭhi, sammāabhiniropanalakkhaṇo sammāsaṅkappo , sammāpariggahaṇalakkhaṇā sammāvācā , sammāsamuṭṭhāpanalakkhaṇo sammākammanto, sammāvodānalakkhaṇo sammāājīvo, sammāpaggahalakkhaṇo sammāvāyāmo, sammāupaṭṭhānalakkhaṇā sammāsati , sammāavikkhepalakkhaṇo sammāsamādhī’’ti evaṃ visesalakkhaṇato. Sammādiṭṭhi tāva aññehipi attano paccanīkakilesehi saddhiṃ micchādiṭṭhiṃ pajahati, nibbānaṃ ārammaṇaṃ karoti, tappaṭicchādakamohavidhamanena asammohato sampayuttadhamme ca passati, tathā sammāsaṅkappādayopi micchāsaṅkappādīni pajahanti, nirodhañca ārammaṇaṃ karonti, sahajātadhammānaṃ sammāabhiniropanapariggahaṇasamuṭṭhāpanavodānapaggahaupaṭṭhānasamādahanāni ca karontīti evaṃ kiccavibhāgato. Sammādiṭṭhi pubbabhāge nānakkhaṇā visuṃ dukkhādiārammaṇā hutvā maggakāle ekakkhaṇā nibbānameva ārammaṇaṃ katvā kiccato ‘‘dukkhe ñāṇa’’ntiādīni cattāri nāmāni labhati. Sammāsaṅkappādayopi pubbabhāge nānakkhaṇā nānārammaṇā, maggakāle ekakkhaṇā ekārammaṇā, tesu sammāsaṅkappo kiccato ‘‘nekkhammasaṅkappo’’tiādīni tīṇi nāmāni labhati. Sammāvācādayo tayo pubbabhāge ‘‘musāvādā veramaṇī’’tiādivibhāgā viratiyopi cetanāyopi hutvā maggakkhaṇe viratiyova, sammāvāyāmasatiyo kiccato sammappadhānasatipaṭṭhānavasena cattāri nāmāni labhanti. Sammāsamādhi pana maggakkhaṇepi paṭhamajjhānādivasena nānā evāti evaṃ pubbabhāgāparabhāgesu pavattivibhāgato. ‘‘Idha, bhikkhave, bhikkhu sammādiṭṭhiṃ bhāveti vivekanissita’’ntiādinā (vibha. 489) bhāvanāvidhito. ‘‘Tattha katamo aṭṭhaṅgiko maggo? Idha, bhikkhu, yasmiṃ samaye lokuttaraṃ jhānaṃ bhāveti…pe… dukkhapaṭipadaṃ dandhābhiññaṃ, tasmiṃ samaye aṭṭhaṅgiko maggo hoti – sammādiṭṭhi sammāsaṅkappo’’tiādinā (vibha. 499) caturāsītiyā nayasahassavibhāgehīti evaṃ anekākārato pavattāni bhagavato ariyamaggavibhāvanañāṇāni atthassa avisaṃvādanato sabbānipi tathāni avitathāni anaññathāni evampi bhagavā tathāni āgatoti tathāgato.

    ตถา ปฐมชฺฌานสมาปตฺติยา จ นิโรธสมาปตฺตีติ เอตาสุ อนุปฎิปาฎิยา วิหริตพฺพเฎฺฐน สมาปชฺชิตพฺพเฎฺฐน จ อนุปุพฺพวิหารสมาปตฺตีสุ สมฺปาทนปจฺจเวกฺขณาทิวเสน ยถารหํ สมฺปโยควเสน จ ปวตฺตานิ ภควโต ญาณานิ ตทตฺถสิทฺธิยา ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ เอวมฺปิ ภควา ตถานิ อาคโตติ ตถาคโตฯ ตถา ‘‘อิทํ อิมสฺส ฐานํ , อิทํ อฎฺฐาน’’นฺติ อวิปรีตํ ตสฺส ตสฺส ผลสฺส การณาการณชานนํ, เตสํ เตสํ สตฺตานํ อตีตาทิเภทภินฺนสฺส กมฺมสมาทานสฺส อนวเสสโต ยถาภูตํ วิปากนฺตรชานนํ, อายูหนกฺขเณเยว ตสฺส ตสฺส สตฺตสฺส ‘‘อยํ นิรยคามินี ปฎิปทา…เป.… อยํ นิพฺพานคามินี ปฎิปทา’’ติ ยาถาวโต สาสวานาสวกมฺมวิภาคชานนํ, ขนฺธายตนานํ อุปาทินฺนานุปาทินฺนาทิอเนกสภาวํ นานาสภาวญฺจ ตสฺส โลกสฺส ‘‘อิมาย นาม ธาตุยา อุสฺสนฺนตฺตา อิมสฺมิํ ธมฺมปฺปพเนฺธ อยํ วิเสโส ชายตี’’ติอาทินา นเยน ยถาภูตํ ธาตุนานตฺตชานนํ, สทฺธาทิอินฺทฺริยานํ ติกฺขมุทุตาชานนํ สํกิเลสาทีหิ สทฺธิํ ฌานวิโมกฺขาทิชานนํ, สตฺตานํ อปริมาณาสุ ชาตีสุ ตปฺปฎิพเนฺธน สทฺธิํ อนวเสสโต ปุเพฺพนิวุตฺถกฺขนฺธสนฺตติชานนํ หีนาทิวิภาเคหิ สทฺธิํ จุติปฎิสนฺธิชานนํ, ‘‘อิทํ ทุกฺข’’นฺติอาทินา เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว จตุสจฺจชานนนฺติ อิมานิ ภควโต ทสพลญาณานิ อวิรชฺฌิตฺวา ยถาสกํวิสยาวคาหนโต ยถาธิเปฺปตตฺถสาธนโต จ ยถาภูตวุตฺติยา ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Tathā paṭhamajjhānasamāpattiyā ca nirodhasamāpattīti etāsu anupaṭipāṭiyā viharitabbaṭṭhena samāpajjitabbaṭṭhena ca anupubbavihārasamāpattīsu sampādanapaccavekkhaṇādivasena yathārahaṃ sampayogavasena ca pavattāni bhagavato ñāṇāni tadatthasiddhiyā tathāni avitathāni anaññathāni. Evampi bhagavā tathāni āgatoti tathāgato. Tathā ‘‘idaṃ imassa ṭhānaṃ , idaṃ aṭṭhāna’’nti aviparītaṃ tassa tassa phalassa kāraṇākāraṇajānanaṃ, tesaṃ tesaṃ sattānaṃ atītādibhedabhinnassa kammasamādānassa anavasesato yathābhūtaṃ vipākantarajānanaṃ, āyūhanakkhaṇeyeva tassa tassa sattassa ‘‘ayaṃ nirayagāminī paṭipadā…pe… ayaṃ nibbānagāminī paṭipadā’’ti yāthāvato sāsavānāsavakammavibhāgajānanaṃ, khandhāyatanānaṃ upādinnānupādinnādianekasabhāvaṃ nānāsabhāvañca tassa lokassa ‘‘imāya nāma dhātuyā ussannattā imasmiṃ dhammappabandhe ayaṃ viseso jāyatī’’tiādinā nayena yathābhūtaṃ dhātunānattajānanaṃ, saddhādiindriyānaṃ tikkhamudutājānanaṃ saṃkilesādīhi saddhiṃ jhānavimokkhādijānanaṃ, sattānaṃ aparimāṇāsu jātīsu tappaṭibandhena saddhiṃ anavasesato pubbenivutthakkhandhasantatijānanaṃ hīnādivibhāgehi saddhiṃ cutipaṭisandhijānanaṃ, ‘‘idaṃ dukkha’’ntiādinā heṭṭhā vuttanayeneva catusaccajānananti imāni bhagavato dasabalañāṇāni avirajjhitvā yathāsakaṃvisayāvagāhanato yathādhippetatthasādhanato ca yathābhūtavuttiyā tathāni avitathāni anaññathāni. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘อิธ ตถาคโต ฐานญฺจ ฐานโต อฎฺฐานญฺจ อฎฺฐานโต ยถาภูตํ ปชานาตี’’ติอาทิ (วิภ. ๘๐๙; อ. นิ. ๑๐.๒๑)ฯ

    ‘‘Idha tathāgato ṭhānañca ṭhānato aṭṭhānañca aṭṭhānato yathābhūtaṃ pajānātī’’tiādi (vibha. 809; a. ni. 10.21).

    เอวมฺปิ ภควา ตถานิ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Evampi bhagavā tathāni āgatoti tathāgato.

    ยถา เจเตสมฺปิ ญาณานํ วเสน, เอวํ ยถาวุตฺตานํ สติปฎฺฐานสมฺมปฺปธานาทิวิภาวนญาณาทิอนนฺตาปริเมยฺยเภทานํ อนญฺญสาธารณานํ ปญฺญาวิเสสานํ วเสน ภควา ตถานิ ญาณานิ อาคโต อธิคโตติ ตถาคโต, เอวมฺปิ ตถานิ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Yathā cetesampi ñāṇānaṃ vasena, evaṃ yathāvuttānaṃ satipaṭṭhānasammappadhānādivibhāvanañāṇādianantāparimeyyabhedānaṃ anaññasādhāraṇānaṃ paññāvisesānaṃ vasena bhagavā tathāni ñāṇāni āgato adhigatoti tathāgato, evampi tathāni āgatoti tathāgato.

    กถํ ตถา คโตติ ตถาคโต? ยา ตา ภควโต อภิชาติอภิสโมฺพธิธมฺมวินยปญฺญาปนอนุปาทิเสสนิพฺพานธาตุโย, ตา ตถาฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยทตฺถํ ตา โลกนาเถน อภิปตฺถิตา ปวตฺติตา จ, ตทตฺถสฺส เอกนฺตสิทฺธิยา อวิสํวาทนโต อวิปรีตตฺถวุตฺติยา ตถา อวิตถา อนญฺญถาฯ ตถา หิ อยํ ภควา โพธิสตฺตภูโต สมติํสปารมิปริปูรณาทิกํ วุตฺตปฺปการํ สพฺพพุทฺธตฺตเหตุํ สมฺปาเทตฺวา ตุสิตปุเร ฐิโต พุทฺธโกลาหลํ สุตฺวา ทสสหสฺสจกฺกวาฬเทวตาหิ เอกโต สนฺนิปติตาหิ อุปสงฺกมิตฺวา –

    Kathaṃ tathā gatoti tathāgato? Yā tā bhagavato abhijātiabhisambodhidhammavinayapaññāpanaanupādisesanibbānadhātuyo, tā tathā. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yadatthaṃ tā lokanāthena abhipatthitā pavattitā ca, tadatthassa ekantasiddhiyā avisaṃvādanato aviparītatthavuttiyā tathā avitathā anaññathā. Tathā hi ayaṃ bhagavā bodhisattabhūto samatiṃsapāramiparipūraṇādikaṃ vuttappakāraṃ sabbabuddhattahetuṃ sampādetvā tusitapure ṭhito buddhakolāhalaṃ sutvā dasasahassacakkavāḷadevatāhi ekato sannipatitāhi upasaṅkamitvā –

    ‘‘กาโล โข เต มหาวีร, อุปฺปชฺช มาตุกุจฺฉิยํ;

    ‘‘Kālo kho te mahāvīra, uppajja mātukucchiyaṃ;

    สเทวกํ ตารยโนฺต, พุชฺฌสฺสุ อมตํ ปท’’นฺติฯ (พุ. วํ. ๑.๖๗) –

    Sadevakaṃ tārayanto, bujjhassu amataṃ pada’’nti. (bu. vaṃ. 1.67) –

    อายาจิโต อุปฺปนฺนปุพฺพนิมิโตฺต ปญฺจ มหาวิโลกนานิ วิโลเกตฺวา ‘‘อิทานิ อหํ มนุสฺสโยนิยํ อุปฺปชฺชิตฺวา อภิสมฺพุชฺฌิสฺสามี’’ติ อาสาฬฺหิปุณฺณมายํ สกฺยราชกุเล มหามายาย เทวิยา กุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ คเหตฺวา ทส มาเส เทวมนุเสฺสหิ มหตา ปริหาเรน ปริหริยมาโน วิสาขปุณฺณมายํ ปจฺจูสสมเย อภิชาติํ ปาปุณิฯ

    Āyācito uppannapubbanimitto pañca mahāvilokanāni viloketvā ‘‘idāni ahaṃ manussayoniyaṃ uppajjitvā abhisambujjhissāmī’’ti āsāḷhipuṇṇamāyaṃ sakyarājakule mahāmāyāya deviyā kucchiyaṃ paṭisandhiṃ gahetvā dasa māse devamanussehi mahatā parihārena parihariyamāno visākhapuṇṇamāyaṃ paccūsasamaye abhijātiṃ pāpuṇi.

    อภิชาติกฺขเณ ปนสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหณกฺขเณ วิย ทฺวตฺติํส ปุพฺพนิมิตฺตานิ ปาตุรเหสุํ, อยํ ทสสหสฺสิโลกธาตุ สํกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ, ทสสุ จกฺกวาฬสหเสฺสสุ อปริมาโณ โอภาโส ผริ, ตสฺส, ตํ สิริํ ทฎฺฐุกามา วิย อนฺธา จกฺขูนิ ปฎิลภิํสุ, พธิรา สทฺทํ สุณิํสุ, มูคา สมาลปิํสุ, ขุชฺชา อุชุคตฺตา อเหสุํ, ปงฺคุลา ปทสา คมนํ ปฎิลภิํสุ, พนฺธนคตา สพฺพสตฺตา อนฺทุพนฺธนาทีหิ มุจฺจิํสุ, สพฺพนรเกสุ อคฺคิ นิพฺพายิ, เปตฺติวิสเย ขุปฺปิปาสา วูปสมิ, ติรจฺฉานานํ ภยํ นาโหสิ, สพฺพสตฺตานํ โรโค วูปสมิ, สพฺพสตฺตา ปิยํวทา อเหสุํ, มธุเรนากาเรน อสฺสา หสิํสุ, วารณา คชฺชิํสุ, สพฺพตูริยานิ สกสกนินฺนาทํ มุญฺจิํสุ, อฆฎฺฎิตานิ เอว มนุสฺสานํ หตฺถูปคาทีนิ อาภรณานิ มธุเรนากาเรน สทฺทํ มุญฺจิํสุ, สพฺพทิสา วิปฺปสนฺนา อเหสุํ, สตฺตานํ สุขํ อุปฺปาทยมาโน มุทุสีตลวาโต วายิ, อกาลเมโฆ วสฺสิ, ปถวิโตปิ อุทกํ อุพฺภิชฺชิตฺวา วิสฺสนฺทิ, ปกฺขิโน อากาสคมนํ วิชหิํสุ, นทิโย อสนฺทมานา อฎฺฐํสุ, มหาสมุเทฺท มธุรํ อุทกํ อโหสิ, อุปกฺกิเลสวินิมุเตฺต สูริเย ทิปฺปมาเน เอว อากาสคตา สพฺพา โชติโย โชติํสุ, ฐเปตฺวา อรูปาวจเร เทเว อวเสสา สเพฺพ เทวา สเพฺพ จ เนรยิกา ทิสฺสมานรูปา อเหสุํ, ตรุกุฎฺฎกวาฎเสลาทโย อนาวรณภูตา อเหสุํ, สตฺตานํ จุตูปปาตา นาเหสุํ, สพฺพํ อนิฎฺฐคนฺธํ อภิภวิตฺวา ทิพฺพคโนฺธ ปวายิ, สเพฺพ ผลูปคา รุกฺขา ผลธรา สมฺปชฺชิํสุ, มหาสมุโทฺท สพฺพตฺถกเมว ปญฺจวเณฺณหิ ปทุเมหิ สญฺฉนฺนตโล อโหสิ, ถลชชลชาทีนิ สพฺพปุปฺผานิ ปุปฺผิํสุ, รุกฺขานํ ขเนฺธสุ ขนฺธปทุมานิ, สาขาสุ สาขาปทุมานิ, ลตาสุ ลตาปทุมานิ, ปุปฺผิํสุ, มหีตลสิลาตลานิ ภินฺทิตฺวา อุปรูปริ สตฺต สตฺต หุตฺวา ทณฺฑปทุมานิ นาม นิกฺขมิํสุ, อากาเส โอลมฺพกปทุมานิ นิพฺพตฺติํสุ, สมนฺตโต ปุปฺผวสฺสํ วสฺสิ อากาเส ทิพฺพตูริยานิ วชฺชิํสุ, สกลทสสหสฺสิโลกธาตุ วเฎฺฎตฺวา วิสฺสฎฺฐมาลาคุฬํ วิย, อุปฺปีเฬตฺวา ปวตฺตมาลากลาโป วิย, อลงฺกตปฎิยตฺตํ มาลาสนํ วิย จ เอกมาลามาลินี วิปฺผุรนฺตวาฬพีชนี ปุปฺผธูปคนฺธปริวาสิตา ปรมโสภคฺคปฺปตฺตา อโหสิ, ตานิ จ ปุพฺพนิมิตฺตานิ อุปริ อธิคตานํ อเนเกสํ วิเสสาธิคมานํ นิมิตฺตภูตานิ เอว อเหสุํฯ เอวํ อเนกจฺฉริยปาตุภาวา อยํ อภิชาติ ยทตฺถํ เตน อภิปตฺถิตา, ตสฺสา อภิสโมฺพธิยา เอกนฺตสิทฺธิยา ตถาว อโหสิ อวิตถา อนญฺญถาฯ

    Abhijātikkhaṇe panassa paṭisandhiggahaṇakkhaṇe viya dvattiṃsa pubbanimittāni pāturahesuṃ, ayaṃ dasasahassilokadhātu saṃkampi sampakampi sampavedhi, dasasu cakkavāḷasahassesu aparimāṇo obhāso phari, tassa, taṃ siriṃ daṭṭhukāmā viya andhā cakkhūni paṭilabhiṃsu, badhirā saddaṃ suṇiṃsu, mūgā samālapiṃsu, khujjā ujugattā ahesuṃ, paṅgulā padasā gamanaṃ paṭilabhiṃsu, bandhanagatā sabbasattā andubandhanādīhi mucciṃsu, sabbanarakesu aggi nibbāyi, pettivisaye khuppipāsā vūpasami, tiracchānānaṃ bhayaṃ nāhosi, sabbasattānaṃ rogo vūpasami, sabbasattā piyaṃvadā ahesuṃ, madhurenākārena assā hasiṃsu, vāraṇā gajjiṃsu, sabbatūriyāni sakasakaninnādaṃ muñciṃsu, aghaṭṭitāni eva manussānaṃ hatthūpagādīni ābharaṇāni madhurenākārena saddaṃ muñciṃsu, sabbadisā vippasannā ahesuṃ, sattānaṃ sukhaṃ uppādayamāno mudusītalavāto vāyi, akālamegho vassi, pathavitopi udakaṃ ubbhijjitvā vissandi, pakkhino ākāsagamanaṃ vijahiṃsu, nadiyo asandamānā aṭṭhaṃsu, mahāsamudde madhuraṃ udakaṃ ahosi, upakkilesavinimutte sūriye dippamāne eva ākāsagatā sabbā jotiyo jotiṃsu, ṭhapetvā arūpāvacare deve avasesā sabbe devā sabbe ca nerayikā dissamānarūpā ahesuṃ, tarukuṭṭakavāṭaselādayo anāvaraṇabhūtā ahesuṃ, sattānaṃ cutūpapātā nāhesuṃ, sabbaṃ aniṭṭhagandhaṃ abhibhavitvā dibbagandho pavāyi, sabbe phalūpagā rukkhā phaladharā sampajjiṃsu, mahāsamuddo sabbatthakameva pañcavaṇṇehi padumehi sañchannatalo ahosi, thalajajalajādīni sabbapupphāni pupphiṃsu, rukkhānaṃ khandhesu khandhapadumāni, sākhāsu sākhāpadumāni, latāsu latāpadumāni, pupphiṃsu, mahītalasilātalāni bhinditvā uparūpari satta satta hutvā daṇḍapadumāni nāma nikkhamiṃsu, ākāse olambakapadumāni nibbattiṃsu, samantato pupphavassaṃ vassi ākāse dibbatūriyāni vajjiṃsu, sakaladasasahassilokadhātu vaṭṭetvā vissaṭṭhamālāguḷaṃ viya, uppīḷetvā pavattamālākalāpo viya, alaṅkatapaṭiyattaṃ mālāsanaṃ viya ca ekamālāmālinī vipphurantavāḷabījanī pupphadhūpagandhaparivāsitā paramasobhaggappattā ahosi, tāni ca pubbanimittāni upari adhigatānaṃ anekesaṃ visesādhigamānaṃ nimittabhūtāni eva ahesuṃ. Evaṃ anekacchariyapātubhāvā ayaṃ abhijāti yadatthaṃ tena abhipatthitā, tassā abhisambodhiyā ekantasiddhiyā tathāva ahosi avitathā anaññathā.

    ตถา เย พุทฺธเวเนยฺยา โพธเนยฺยพนฺธวา, เต สเพฺพปิ อนวเสสโต สยเมว ภควตา วินีตาฯ เย จ สาวกเวเนยฺยา ธมฺมเวเนยฺยา จ, เตปิ สาวกาทีหิ วินีตา วินยํ คจฺฉนฺติ คมิสฺสนฺติ จาติ ยทตฺถํ ภควตา อภิสโมฺพธิ อภิปตฺถิตา, ตทตฺถสฺส เอกนฺตสิทฺธิยา อภิสโมฺพธิ ตถา อวิตถา อนญฺญถาฯ

    Tathā ye buddhaveneyyā bodhaneyyabandhavā, te sabbepi anavasesato sayameva bhagavatā vinītā. Ye ca sāvakaveneyyā dhammaveneyyā ca, tepi sāvakādīhi vinītā vinayaṃ gacchanti gamissanti cāti yadatthaṃ bhagavatā abhisambodhi abhipatthitā, tadatthassa ekantasiddhiyā abhisambodhi tathā avitathā anaññathā.

    อปิจ ยสฺส ยสฺส เญยฺยธมฺมสฺส โย โย สภาโว พุชฺฌิตโพฺพ, โส โส หตฺถตเล ฐปิตอามลกํ วิย อาวชฺชนมตฺตปฎิพเทฺธน อตฺตโน ญาเณน อวิปรีตํ อนวเสสโต ภควตา อภิสมฺพุโทฺธติ เอวมฺปิ อภิสโมฺพธิ ตถา อวิตถา อนญฺญถาฯ

    Apica yassa yassa ñeyyadhammassa yo yo sabhāvo bujjhitabbo, so so hatthatale ṭhapitaāmalakaṃ viya āvajjanamattapaṭibaddhena attano ñāṇena aviparītaṃ anavasesato bhagavatā abhisambuddhoti evampi abhisambodhi tathā avitathā anaññathā.

    ตถา เตสํ เตสํ ธมฺมานํ ตถา ตถา เทเสตพฺพปฺปการํ, เตสํ เตสญฺจ สตฺตานํ อาสยานุสยจริยาธิมุตฺติํ สมฺมเทว โอโลเกตฺวา ธมฺมตํ อวิชหเนฺตเนว ปญฺญตฺตินยํ โวหารมตฺตํ อนติธาวเนฺตเนว จ ธมฺมตํ วิภาเวเนฺตน ยถาปราธํ ยถาชฺฌาสยํ ยถาธมฺมญฺจ อนุสาสเนฺตน ภควตา เวเนยฺยา วินีตา อริยภูมิํ สมฺปาปิตาติ ธมฺมวินยปญฺญาปนาปิสฺส ตทตฺถสิทฺธิยา ยถาภูตวุตฺติยา จ ตถา อวิตถา อนญฺญถาฯ

    Tathā tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ tathā tathā desetabbappakāraṃ, tesaṃ tesañca sattānaṃ āsayānusayacariyādhimuttiṃ sammadeva oloketvā dhammataṃ avijahanteneva paññattinayaṃ vohāramattaṃ anatidhāvanteneva ca dhammataṃ vibhāventena yathāparādhaṃ yathājjhāsayaṃ yathādhammañca anusāsantena bhagavatā veneyyā vinītā ariyabhūmiṃ sampāpitāti dhammavinayapaññāpanāpissa tadatthasiddhiyā yathābhūtavuttiyā ca tathā avitathā anaññathā.

    ตถา ยา สา ภควตา อนุปฺปตฺตา ปถวิยาทิผสฺสเวทนาทิรูปารูปสภาวนิมุตฺตา ลุชฺชนปลุชฺชนภาวาภาวโต โลกสภาวาตีตา ตมสา วิสํสฎฺฐตฺตา เกนจิ อโนภาสนียา โลกสภาวาภาวโต เอว คติอาทิภาวรหิตา อปฺปติฎฺฐา อนารมฺมณา อมตมหานิพฺพานธาตุ ขนฺธสงฺขาตานํ อุปาทีนํ เลสมตฺตสฺสาปิ อภาวโต ‘‘อนุปาทิเสสา’’ติปิ วุจฺจติฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –

    Tathā yā sā bhagavatā anuppattā pathaviyādiphassavedanādirūpārūpasabhāvanimuttā lujjanapalujjanabhāvābhāvato lokasabhāvātītā tamasā visaṃsaṭṭhattā kenaci anobhāsanīyā lokasabhāvābhāvato eva gatiādibhāvarahitā appatiṭṭhā anārammaṇā amatamahānibbānadhātu khandhasaṅkhātānaṃ upādīnaṃ lesamattassāpi abhāvato ‘‘anupādisesā’’tipi vuccati. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –

    ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, ตทายตนํ, ยตฺถ เนว ปถวี น อาโป น เตโช น วาโย น อากาสานญฺจายตนํ น วิญฺญาณญฺจายตนํ น อากิญฺจญฺญายตนํ น เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ นายํ โลโก น ปโร โลโก น จ อุโภ จนฺทิมสูริยาฯ ตมหํ, ภิกฺขเว, เนว อาคติํ วทามิ น คติํ น ฐิติํ น จุติํ น อุปปตฺติํ; อปฺปติฎฺฐํ อปฺปวตฺตํ อนารมฺมณเมเวตํ เอเสวโนฺต ทุกฺขสฺสา’’ติ (อุทา. ๗๑)ฯ

    ‘‘Atthi, bhikkhave, tadāyatanaṃ, yattha neva pathavī na āpo na tejo na vāyo na ākāsānañcāyatanaṃ na viññāṇañcāyatanaṃ na ākiñcaññāyatanaṃ na nevasaññānāsaññāyatanaṃ nāyaṃ loko na paro loko na ca ubho candimasūriyā. Tamahaṃ, bhikkhave, neva āgatiṃ vadāmi na gatiṃ na ṭhitiṃ na cutiṃ na upapattiṃ; appatiṭṭhaṃ appavattaṃ anārammaṇamevetaṃ esevanto dukkhassā’’ti (udā. 71).

    สา สเพฺพสมฺปิ อุปาทานกฺขนฺธานํ อตฺถงฺคโม สพฺพสงฺขารานํ สมโถ, สพฺพูปธีนํ ปฎินิสฺสโคฺค, สพฺพทุกฺขานํ วูปสโม, สพฺพาลยานํ สมุคฺฆาโต, สพฺพวฎฺฎานํ อุปเจฺฉโท, อจฺจนฺตสนฺติลกฺขณาติ ยถาวุตฺตสภาวสฺส กทาจิปิ อวิสํวาทนโต ตถา อวิตถา อนญฺญถา ฯ เอวเมตา อภิชาติอาทิกา ตถา คโต อุปคโต อธิคโต ปฎิปโนฺน ปโตฺตติ ตถาคโตฯ เอวํ ภควา ตถา คโตติ ตถาคโตฯ

    Sā sabbesampi upādānakkhandhānaṃ atthaṅgamo sabbasaṅkhārānaṃ samatho, sabbūpadhīnaṃ paṭinissaggo, sabbadukkhānaṃ vūpasamo, sabbālayānaṃ samugghāto, sabbavaṭṭānaṃ upacchedo, accantasantilakkhaṇāti yathāvuttasabhāvassa kadācipi avisaṃvādanato tathā avitathā anaññathā . Evametā abhijātiādikā tathā gato upagato adhigato paṭipanno pattoti tathāgato. Evaṃ bhagavā tathā gatoti tathāgato.

    กถํ ตถาวิโธติ ตถาคโต? ยถาวิธา ปุริมกา สมฺมาสมฺพุทฺธา, อยมฺปิ ภควา ตถาวิโธฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ยถาวิธา เต ภควโนฺต มคฺคสีเลน, ผลสีเลน, สเพฺพนปิ โลกิยโลกุตฺตรสีเลน, มคฺคสมาธินา, ผลสมาธินา, สเพฺพนปิ โลกิยโลกุตฺตรสมาธินา, มคฺคปญฺญาย, ผลปญฺญาย, สพฺพายปิ โลกิยโลกุตฺตรปญฺญาย, เทวสิกํ วฬญฺชิตเพฺพหิ จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสมาปตฺติวิหาเรหิ, ตทงฺควิมุตฺติยา วิกฺขมฺภนวิมุตฺติยา สมุเจฺฉทวิมุตฺติยา ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิมุตฺติยา นิสฺสรณวิมุตฺติยาติ สเงฺขปโต, วิตฺถารโต ปน อนนฺตาปริมาณเภเทหิ อจิเนฺตยฺยานุภาเวหิ สกลสพฺพญฺญุคุเณหิ, อยมฺปิ อมฺหากํ ภควา ตถาวิโธฯ สเพฺพสญฺหิ สมฺมาสมฺพุทฺธานํ อายุเวมตฺตํ, สรีรปฺปมาณเวมตฺตํ, กุลเวมตฺตํ, ทุกฺกรจริยาเวมตฺตํ, รสฺมิเวมตฺตนฺติ อิเมหิ ปญฺจหิ เวมเตฺตหิ สิยา เวมตฺตํ, น ปน สีลวิสุทฺธิอาทีสุ วิสุทฺธีสุ สมถวิปสฺสนาปฎิปตฺติยํ อตฺตนา ปฎิวิทฺธคุเณสุ จ กิญฺจิ นานากรณํ อตฺถิ, อถ โข มเชฺฌ ภินฺนสุวณฺณํ วิย อญฺญํมญฺญํ นิพฺพิเสสา เต พุทฺธา ภควโนฺตฯ ตสฺมา ยถาวิธา ปุริมกา สมฺมาสมฺพุทฺธา, อยมฺปิ ภควา ตถาวิโธฯ เอวํ ตถาวิโธติ ตถาคโตฯ วิธโตฺถ เจตฺถ คตสโทฺทฯ ตถา หิ โลกิยา วิธยุตฺตคตสเทฺท ปการเตฺถ วทนฺติฯ

    Kathaṃ tathāvidhoti tathāgato? Yathāvidhā purimakā sammāsambuddhā, ayampi bhagavā tathāvidho. Kiṃ vuttaṃ hoti? Yathāvidhā te bhagavanto maggasīlena, phalasīlena, sabbenapi lokiyalokuttarasīlena, maggasamādhinā, phalasamādhinā, sabbenapi lokiyalokuttarasamādhinā, maggapaññāya, phalapaññāya, sabbāyapi lokiyalokuttarapaññāya, devasikaṃ vaḷañjitabbehi catuvīsatikoṭisatasahassasamāpattivihārehi, tadaṅgavimuttiyā vikkhambhanavimuttiyā samucchedavimuttiyā paṭippassaddhivimuttiyā nissaraṇavimuttiyāti saṅkhepato, vitthārato pana anantāparimāṇabhedehi acinteyyānubhāvehi sakalasabbaññuguṇehi, ayampi amhākaṃ bhagavā tathāvidho. Sabbesañhi sammāsambuddhānaṃ āyuvemattaṃ, sarīrappamāṇavemattaṃ, kulavemattaṃ, dukkaracariyāvemattaṃ, rasmivemattanti imehi pañcahi vemattehi siyā vemattaṃ, na pana sīlavisuddhiādīsu visuddhīsu samathavipassanāpaṭipattiyaṃ attanā paṭividdhaguṇesu ca kiñci nānākaraṇaṃ atthi, atha kho majjhe bhinnasuvaṇṇaṃ viya aññaṃmaññaṃ nibbisesā te buddhā bhagavanto. Tasmā yathāvidhā purimakā sammāsambuddhā, ayampi bhagavā tathāvidho. Evaṃ tathāvidhoti tathāgato. Vidhattho cettha gatasaddo. Tathā hi lokiyā vidhayuttagatasadde pakāratthe vadanti.

    กถํ ตถาปวตฺติโกติ ตถาคโต? อนญฺญสาธารเณน อิทฺธานุภาเวน สมนฺนาคตตฺตา อตฺถปฎิสมฺภิทาทีนํ อุกฺกํสปารมิปฺปตฺติยา อนาวรณญาณปฎิลาเภน จ ภควโต กายปฺปวตฺติยาทีนํ กตฺถจิ ปฎิฆาตาภาวโต ยถารุจิ ตถา คตํ คติ คมนํ กายวจีจิตฺตปฺปวตฺติ เอตสฺสาติ ตถาคโตฯ เอวํ ตถาปวตฺติโกติ ตถาคโตฯ

    Kathaṃ tathāpavattikoti tathāgato? Anaññasādhāraṇena iddhānubhāvena samannāgatattā atthapaṭisambhidādīnaṃ ukkaṃsapāramippattiyā anāvaraṇañāṇapaṭilābhena ca bhagavato kāyappavattiyādīnaṃ katthaci paṭighātābhāvato yathāruci tathā gataṃ gati gamanaṃ kāyavacīcittappavatti etassāti tathāgato. Evaṃ tathāpavattikoti tathāgato.

    กถํ ตเถหิ อคโตติ ตถาคโต? โพธิสมฺภารสมฺภรเณ ตปฺปฎิปกฺขปฺปวตฺติสงฺขาตํ นตฺถิ เอตสฺส คตนฺติ อคโตฯ โส ปนสฺส อคตภาโว มเจฺฉรทานปารมิอาทีสุ อวิปรีตํ อาทีนวานิสํสปจฺจเวกฺขณาทินยปฺปวเตฺตหิ ญาเณหีติ ตเถหิ ญาเณหิ อคโตติ ตถาคโตฯ

    Kathaṃ tathehi agatoti tathāgato? Bodhisambhārasambharaṇe tappaṭipakkhappavattisaṅkhātaṃ natthi etassa gatanti agato. So panassa agatabhāvo maccheradānapāramiādīsu aviparītaṃ ādīnavānisaṃsapaccavekkhaṇādinayappavattehi ñāṇehīti tathehi ñāṇehi agatoti tathāgato.

    อถ วา กิเลสาภิสงฺขารปฺปวตฺติสงฺขาตํ ขนฺธปฺปวตฺติสงฺขาตเมว วา ปญฺจสุปิ คตีสุ คตํ คมนํ เอตสฺส นตฺถีติ อคโตฯ สอุปาทิเสสอนุปาทิเสสนิพฺพานปฺปตฺติยา สฺวายมสฺส อคตภาโว ตเถหิ อริยมคฺคญาเณหีติ เอวมฺปิ ภควา ตเถหิ อาคโตติ ตถาคโตฯ

    Atha vā kilesābhisaṅkhārappavattisaṅkhātaṃ khandhappavattisaṅkhātameva vā pañcasupi gatīsu gataṃ gamanaṃ etassa natthīti agato. Saupādisesaanupādisesanibbānappattiyā svāyamassa agatabhāvo tathehi ariyamaggañāṇehīti evampi bhagavā tathehi āgatoti tathāgato.

    กถํ ตถาคตภาเวน ตถาคโต? ตถาคตภาเวนาติ จ ตถาคตสฺส สพฺภาเวน, อตฺถิตายาติ อโตฺถฯ โก ปเนส ตถาคโต, ยสฺส อตฺถิตาย ภควา ตถาคโตติ วุจฺจตีติ? สทฺธโมฺมฯ สทฺธโมฺม หิ อริยมโคฺค ตาว ยถา ยุคนทฺธสมถวิปสฺสนาพเลน อนวเสสกิเลสปกฺขํ สมูหนเนฺตน สมุเจฺฉทปฺปหานวเสน คนฺตพฺพํ, ตถา คโตฯ ผลธโมฺม ยถา อตฺตโน มคฺคานุรูปํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปฺปหานวเสน คนฺตพฺพํ, ตถา คโต ปวโตฺตฯ นิพฺพานธโมฺม ปน ยถา คโต ปญฺญาย ปฎิวิโทฺธ สกลวฎฺฎทุกฺขวูปสมาย สมฺปชฺชติ, พุทฺธาทีหิ ตถา คโต สจฺฉิกโตติ ตถาคโตฯ ปริยตฺติธโมฺมปิ ยถา ปุริมพุเทฺธหิ สุตฺตเคยฺยาทิวเสน ปวตฺติอาทิปฺปกาสนวเสน จ เวเนยฺยานํ อาสยาทิอนุรูปํ ปวตฺติโต, อมฺหากมฺปิ ภควตา ตถา คโต คทิโต ปวตฺติโตติ วา ตถาคโตฯ ยถา ภควตา เทสิโต, ตถา ภควโต สาวเกหิ คโต อวคโตติ ตถาคโตฯ เอวํ สโพฺพปิ สทฺธโมฺม ตถาคโตฯ เตนาห สโกฺก เทวานมิโนฺท ‘‘ตถาคตํ เทวมนุสฺสปูชิตํ, ธมฺมํ นมสฺสาม สุวตฺถิ โหตู’’ติ (ขุ. ปา. ๖.๑๗; สุ. นิ. ๒๔๐)ฯ สฺวาสฺส อตฺถีติ ภควา ตถาคโตฯ

    Kathaṃ tathāgatabhāvena tathāgato? Tathāgatabhāvenāti ca tathāgatassa sabbhāvena, atthitāyāti attho. Ko panesa tathāgato, yassa atthitāya bhagavā tathāgatoti vuccatīti? Saddhammo. Saddhammo hi ariyamaggo tāva yathā yuganaddhasamathavipassanābalena anavasesakilesapakkhaṃ samūhanantena samucchedappahānavasena gantabbaṃ, tathā gato. Phaladhammo yathā attano maggānurūpaṃ paṭippassaddhippahānavasena gantabbaṃ, tathā gato pavatto. Nibbānadhammo pana yathā gato paññāya paṭividdho sakalavaṭṭadukkhavūpasamāya sampajjati, buddhādīhi tathā gato sacchikatoti tathāgato. Pariyattidhammopi yathā purimabuddhehi suttageyyādivasena pavattiādippakāsanavasena ca veneyyānaṃ āsayādianurūpaṃ pavattito, amhākampi bhagavatā tathā gato gadito pavattitoti vā tathāgato. Yathā bhagavatā desito, tathā bhagavato sāvakehi gato avagatoti tathāgato. Evaṃ sabbopi saddhammo tathāgato. Tenāha sakko devānamindo ‘‘tathāgataṃ devamanussapūjitaṃ, dhammaṃ namassāma suvatthi hotū’’ti (khu. pā. 6.17; su. ni. 240). Svāssa atthīti bhagavā tathāgato.

    ยถา จ ธโมฺม, เอวํ อริยสโงฺฆปิ, ยถา อตฺตหิตาย ปรหิตาย จ ปฎิปเนฺนหิ สุวิสุทฺธํ ปุพฺพภาคสมถวิปสฺสนาปฎิปทํ ปุรกฺขตฺวา เตน เตน มเคฺคน คนฺตพฺพํ, ตํ ตํ ตถา คโตติ ตถาคโตฯ ยถา วา ภควตา สจฺจปฎิจฺจสมุปฺปาทาทินโย เทสิโต, ตถา จ พุทฺธตฺตา ตถา คทนโต จ ตถาคโตฯ เตนาห สโกฺก เทวราชา – ‘‘ตถาคตํ เทวมนุสฺสปูชิตํ, สงฺฆํ นมสฺสาม สุวตฺถิ โหตู’’ติ (ขุ. ปา. ๖.๑๘; สุ. นิ. ๒๔๑), สฺวาสฺส สาวกภูโต อตฺถีติ ภควา ตถาคโตฯ เอวํ ตถาคตภาเวน ตถาคโตฯ

    Yathā ca dhammo, evaṃ ariyasaṅghopi, yathā attahitāya parahitāya ca paṭipannehi suvisuddhaṃ pubbabhāgasamathavipassanāpaṭipadaṃ purakkhatvā tena tena maggena gantabbaṃ, taṃ taṃ tathā gatoti tathāgato. Yathā vā bhagavatā saccapaṭiccasamuppādādinayo desito, tathā ca buddhattā tathā gadanato ca tathāgato. Tenāha sakko devarājā – ‘‘tathāgataṃ devamanussapūjitaṃ, saṅghaṃ namassāma suvatthi hotū’’ti (khu. pā. 6.18; su. ni. 241), svāssa sāvakabhūto atthīti bhagavā tathāgato. Evaṃ tathāgatabhāvena tathāgato.

    อิทมฺปิ ตถาคตสฺส ตถาคตภาวทีปเน มุขมตฺตกเมว, สพฺพากาเรน ปน ตถาคโตว ตถาคตสฺส ตถาคตภาวํ วเณฺณยฺยฯ อิทญฺหิ ตถาคตปทํ มหตฺถํ, มหาคติกํ, มหาวิสยํ, ตสฺส อปฺปมาทปทสฺส วิย เตปิฎกมฺปิ พุทฺธวจนํ ยุตฺติโต อตฺถภาเวน อาหรโนฺต ‘‘อติเตฺถน ธมฺมกถิโก ปกฺขโนฺท’’ติ น วตฺตโพฺพติฯ

    Idampi tathāgatassa tathāgatabhāvadīpane mukhamattakameva, sabbākārena pana tathāgatova tathāgatassa tathāgatabhāvaṃ vaṇṇeyya. Idañhi tathāgatapadaṃ mahatthaṃ, mahāgatikaṃ, mahāvisayaṃ, tassa appamādapadassa viya tepiṭakampi buddhavacanaṃ yuttito atthabhāvena āharanto ‘‘atitthena dhammakathiko pakkhando’’ti na vattabboti.

    ตเตฺถตํ วุจฺจติ –

    Tatthetaṃ vuccati –

    ‘‘ยเถว โลเก ปุริมา มเหสิโน,

    ‘‘Yatheva loke purimā mahesino,

    สพฺพญฺญุภาวํ มุนโย อิธาคตา;

    Sabbaññubhāvaṃ munayo idhāgatā;

    ตถา อยํ สกฺยมุนีปิ อาคโต,

    Tathā ayaṃ sakyamunīpi āgato,

    ตถาคโต วุจฺจติ เตน จกฺขุมาฯ

    Tathāgato vuccati tena cakkhumā.

    ‘‘ปหาย กามาทิมเล อเสสโต,

    ‘‘Pahāya kāmādimale asesato,

    สมาธิญาเณหิ ยถา คตา ชินา;

    Samādhiñāṇehi yathā gatā jinā;

    ปุราตนา สกฺยมุนี ชุตินฺธโร,

    Purātanā sakyamunī jutindharo,

    ตถา คโต เตน ตถาคโต มโตฯ

    Tathā gato tena tathāgato mato.

    ‘‘ตถญฺจ ธาตายตนาทิลกฺขณํ,

    ‘‘Tathañca dhātāyatanādilakkhaṇaṃ,

    สภาวสามญฺญวิภาคเภทโต;

    Sabhāvasāmaññavibhāgabhedato;

    สยมฺภุญาเณน ชิโนยมาคโต,

    Sayambhuñāṇena jinoyamāgato,

    ตถาคโต วุจฺจติ สกฺยปุงฺคโวฯ

    Tathāgato vuccati sakyapuṅgavo.

    ‘‘ตถานิ สจฺจานิ สมนฺตจกฺขุนา,

    ‘‘Tathāni saccāni samantacakkhunā,

    ตถา อิทปฺปจฺจยตา จ สพฺพโส;

    Tathā idappaccayatā ca sabbaso;

    อนญฺญเนยฺยา นยโต วิภาวิตา,

    Anaññaneyyā nayato vibhāvitā,

    ตถา คโต เตน ชิโน ตถาคโตฯ

    Tathā gato tena jino tathāgato.

    ‘‘อเนกเภทาสุปิ โลกธาตุสุ,

    ‘‘Anekabhedāsupi lokadhātusu,

    ชินสฺส รูปายตนาทิโคจเร;

    Jinassa rūpāyatanādigocare;

    วิจิตฺตเภเท ตถเมว ทสฺสนํ,

    Vicittabhede tathameva dassanaṃ,

    ตถาคโต เตน สมนฺตโลจโนฯ

    Tathāgato tena samantalocano.

    ‘‘ยโต จ ธมฺมํ ตถเมว ภาสติ,

    ‘‘Yato ca dhammaṃ tathameva bhāsati,

    กโรติ วาจายนุรูปมตฺตโน;

    Karoti vācāyanurūpamattano;

    คุเณหิ โลกํ อภิภุยฺยิรียติ,

    Guṇehi lokaṃ abhibhuyyirīyati,

    ตถาคโต เตนปิ โลกนายโกฯ

    Tathāgato tenapi lokanāyako.

    ‘‘ตถา ปริญฺญาย ตถาย สพฺพโส,

    ‘‘Tathā pariññāya tathāya sabbaso,

    อเวทิ โลกํ ปภวํ อติกฺกมิ;

    Avedi lokaṃ pabhavaṃ atikkami;

    คโต จ ปจฺจกฺขกิริยาย นิพฺพุติํ,

    Gato ca paccakkhakiriyāya nibbutiṃ,

    อริยมคฺคญฺจ คโต ตถาคโตฯ

    Ariyamaggañca gato tathāgato.

    ‘‘ตถา ปฎิญฺญาย ตถาย สพฺพโส,

    ‘‘Tathā paṭiññāya tathāya sabbaso,

    หิตาย โลกสฺส ยโตยมาคโต;

    Hitāya lokassa yatoyamāgato;

    ตถาย นาโถ กรุณาย สพฺพทา,

    Tathāya nātho karuṇāya sabbadā,

    คโต จ เตนาปิ ชิโน ตถาคโตฯ

    Gato ca tenāpi jino tathāgato.

    ‘‘ตถานิ ญาณานิ ยโตยมาคโต,

    ‘‘Tathāni ñāṇāni yatoyamāgato,

    ยถาสภาวํ วิสยาวโพธโต;

    Yathāsabhāvaṃ visayāvabodhato;

    ตถาภิชาติปฺปภุตี ตถาคโต,

    Tathābhijātippabhutī tathāgato,

    ตทตฺถสมฺปาทนโต ตถาคโตฯ

    Tadatthasampādanato tathāgato.

    ‘‘ยถาวิธา เต ปุริมา มเหสิโน,

    ‘‘Yathāvidhā te purimā mahesino,

    ตถาวิโธยมฺปิ ตถา ยถารุจิ;

    Tathāvidhoyampi tathā yathāruci;

    ปวตฺตวาจา ตนุจิตฺตภาวโต,

    Pavattavācā tanucittabhāvato,

    ตถาคโต วุจฺจติ อคฺคปุคฺคโลฯ

    Tathāgato vuccati aggapuggalo.

    ‘‘สโมฺพธิสมฺภารวิปกฺขโต ปุเร,

    ‘‘Sambodhisambhāravipakkhato pure,

    คตํ น สํสารคตมฺปิ ตสฺส วา;

    Gataṃ na saṃsāragatampi tassa vā;

    น จตฺถิ นาถสฺส ภวนฺตทสฺสิโน,

    Na catthi nāthassa bhavantadassino,

    ตเถหิ ตสฺมา อคโต ตถาคโตฯ

    Tathehi tasmā agato tathāgato.

    ‘‘ตถาคโต ธมฺมวโร มเหสินา,

    ‘‘Tathāgato dhammavaro mahesinā,

    ยถา ปหาตพฺพมลํ ปหียติ;

    Yathā pahātabbamalaṃ pahīyati;

    ตถาคโต อริยคโณ วินายโก,

    Tathāgato ariyagaṇo vināyako,

    ตถาคโต เตน สมงฺคิภาวโต’’ติฯ

    Tathāgato tena samaṅgibhāvato’’ti.

    อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธนฺติ เอตฺถ อรหาติ ปทสฺส อโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุทฺธํฯ ยํกิญฺจิ เญยฺยํ นาม, ตสฺส สพฺพสฺสปิ สพฺพาการโต อวิปรีตโต สยเมว อภิสมฺพุทฺธตฺตาติ วุตฺตํ โหติฯ อิมินาสฺส ปโรปเทสรหิตสฺส สพฺพากาเรน สพฺพธมฺมาวโพธนสมตฺถสฺส อากงฺขาปฎิพทฺธวุตฺติโน อนาวรณญาณสงฺขาตสฺส สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส อธิคโม ทสฺสิโตฯ

    Arahantaṃ sammāsambuddhanti ettha arahāti padassa attho heṭṭhā vuttoyeva. Sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā sammāsambuddhaṃ. Yaṃkiñci ñeyyaṃ nāma, tassa sabbassapi sabbākārato aviparītato sayameva abhisambuddhattāti vuttaṃ hoti. Imināssa paropadesarahitassa sabbākārena sabbadhammāvabodhanasamatthassa ākaṅkhāpaṭibaddhavuttino anāvaraṇañāṇasaṅkhātassa sabbaññutaññāṇassa adhigamo dassito.

    นนุ จ สพฺพญฺญุตญฺญาณโต อญฺญํ อนาวรณํ, อญฺญถา ฉ อสาธารณานิ ญาณานิ พุทฺธญาณานีติ วจนํ วิรุเชฺฌยฺยาติ? น วิรุชฺฌติ, วิสยปฺปวตฺติเภทวเสน อเญฺญหิ อสาธารณภาวทสฺสนตฺถํ เอกเสฺสว ญาณสฺส ทฺวิธา วุตฺตตฺตาฯ เอกเมว หิ ตํ ญาณํ อนวเสสสงฺขตาสงฺขตสมฺมุติธมฺมวิสยตาย สพฺพญฺญุตญฺญาณํ, ตตฺถ จ อาวรณาภาวโต นิสฺสงฺคจารมุปาทาย อนาวรณญาณนฺติ วุตฺตํฯ ยถาห ปฎิสมฺภิทายํ –

    Nanu ca sabbaññutaññāṇato aññaṃ anāvaraṇaṃ, aññathā cha asādhāraṇāni ñāṇāni buddhañāṇānīti vacanaṃ virujjheyyāti? Na virujjhati, visayappavattibhedavasena aññehi asādhāraṇabhāvadassanatthaṃ ekasseva ñāṇassa dvidhā vuttattā. Ekameva hi taṃ ñāṇaṃ anavasesasaṅkhatāsaṅkhatasammutidhammavisayatāya sabbaññutaññāṇaṃ, tattha ca āvaraṇābhāvato nissaṅgacāramupādāya anāvaraṇañāṇanti vuttaṃ. Yathāha paṭisambhidāyaṃ –

    ‘‘สพฺพํ สงฺขตาสงฺขตํ อนวเสสํ ชานาตีติ สพฺพญฺญุตญฺญาณํฯ ตตฺถ อาวรณํ นตฺถีติ อนาวรณญาณ’’นฺติอาทิ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๙)ฯ

    ‘‘Sabbaṃ saṅkhatāsaṅkhataṃ anavasesaṃ jānātīti sabbaññutaññāṇaṃ. Tattha āvaraṇaṃ natthīti anāvaraṇañāṇa’’ntiādi (paṭi. ma. 1.119).

    ตสฺมา นตฺถิ เนสํ อตฺถโต เภโท, เอกเนฺตเนเวตํ เอวมิจฺฉิตพฺพํฯ อญฺญถา สพฺพญฺญุตานาวรณญาณานํ สาธารณตา อสพฺพธมฺมารมฺมณตา จ อาปเชฺชยฺยฯ น หิ ภควโต ญาณสฺส อณุมตฺตมฺปิ อาวรณํ อตฺถิ, อนาวรณญาณสฺส จ อสพฺพธมฺมารมฺมณภาเว ยตฺถ ตํ น ปวตฺตติ ตตฺถาวรณสพฺภาวโต อนาวรณภาโวเยว น สิยาฯ อถ วา ปน โหตุ อญฺญเมว อนาวรณํ สพฺพญฺญุตญฺญาณโต, อิธ ปน สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตวุตฺติตาย อนาวรณญาณนฺติ สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว อธิเปฺปตํ, ตเสฺสวาธิคเมน ภควา สพฺพญฺญู สพฺพวิทู สมฺมาสมฺพุโทฺธติ วุจฺจติ, น สกิํเยว สพฺพธมฺมาวโพธโตฯ ตถา จ วุตฺตํ ปฎิสมฺภิทายํ –

    Tasmā natthi nesaṃ atthato bhedo, ekantenevetaṃ evamicchitabbaṃ. Aññathā sabbaññutānāvaraṇañāṇānaṃ sādhāraṇatā asabbadhammārammaṇatā ca āpajjeyya. Na hi bhagavato ñāṇassa aṇumattampi āvaraṇaṃ atthi, anāvaraṇañāṇassa ca asabbadhammārammaṇabhāve yattha taṃ na pavattati tatthāvaraṇasabbhāvato anāvaraṇabhāvoyeva na siyā. Atha vā pana hotu aññameva anāvaraṇaṃ sabbaññutaññāṇato, idha pana sabbattha appaṭihatavuttitāya anāvaraṇañāṇanti sabbaññutaññāṇameva adhippetaṃ, tassevādhigamena bhagavā sabbaññū sabbavidū sammāsambuddhoti vuccati, na sakiṃyeva sabbadhammāvabodhato. Tathā ca vuttaṃ paṭisambhidāyaṃ –

    ‘‘วิโมกฺขนฺติกเมตํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ โพธิยา มูเล สห สพฺพญฺญุตญฺญาณสฺส ปฎิลาภา สจฺฉิกา ปญฺญตฺติ ยทิทํ พุโทฺธ’’ติฯ

    ‘‘Vimokkhantikametaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ bodhiyā mūle saha sabbaññutaññāṇassa paṭilābhā sacchikā paññatti yadidaṃ buddho’’ti.

    สพฺพธมฺมาวโพธนสมตฺถญาณสมธิคเมน หิ ภควโต สนฺตาเน อนวเสสธเมฺม ปฎิวิชฺฌิตุํ สมตฺถตา อโหสีติฯ

    Sabbadhammāvabodhanasamatthañāṇasamadhigamena hi bhagavato santāne anavasesadhamme paṭivijjhituṃ samatthatā ahosīti.

    เอตฺถาห – กิํ ปนิทํ ญาณํ ปวตฺตมานํ สกิํเยว สพฺพสฺมิํ วิสเย ปวตฺตติ, อุทาหุ กเมนาติ? กิเญฺจตฺถ – ยทิ ตาว สกิํเยว สพฺพสฺมิํ วิสเย ปวตฺตติ, อตีตานาคตปฺปจฺจุปนฺนอชฺฌตฺตพหิทฺธาทิเภทภินฺนานํ สงฺขตธมฺมานํ อสงฺขตสมฺมุติธมฺมานญฺจ เอกชฺฌํ อุปฎฺฐาเน ทูรโต จิตฺตปฎํ เปกฺขนฺตสฺส วิย วิสยวิภาเคนาวโพโธ น สิยา, ตถา จ สติ ‘‘สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตา’’ติ วิปสฺสนฺตานํ อนตฺตากาเรน วิย สพฺพธมฺมา อนิรูปิตรูเปน ภควโต ญาณสฺส วิสยา โหนฺตีติ อาปชฺชติฯ เยปิ ‘‘สพฺพเญยฺยธมฺมานํ ฐิตลกฺขณวิสยํ วิกปฺปรหิตํ สพฺพกาลํ พุทฺธานํ ญาณํ ปวตฺตติ, เตน เต สพฺพวิทูติ วุจฺจนฺติฯ เอวญฺจ กตฺวา –

    Etthāha – kiṃ panidaṃ ñāṇaṃ pavattamānaṃ sakiṃyeva sabbasmiṃ visaye pavattati, udāhu kamenāti? Kiñcettha – yadi tāva sakiṃyeva sabbasmiṃ visaye pavattati, atītānāgatappaccupannaajjhattabahiddhādibhedabhinnānaṃ saṅkhatadhammānaṃ asaṅkhatasammutidhammānañca ekajjhaṃ upaṭṭhāne dūrato cittapaṭaṃ pekkhantassa viya visayavibhāgenāvabodho na siyā, tathā ca sati ‘‘sabbe dhammā anattā’’ti vipassantānaṃ anattākārena viya sabbadhammā anirūpitarūpena bhagavato ñāṇassa visayā hontīti āpajjati. Yepi ‘‘sabbañeyyadhammānaṃ ṭhitalakkhaṇavisayaṃ vikapparahitaṃ sabbakālaṃ buddhānaṃ ñāṇaṃ pavattati, tena te sabbavidūti vuccanti. Evañca katvā –

    ‘‘จรํ สมาหิโต นาโค, ติฎฺฐโนฺตปิ สมาหิโต’’ติฯ –

    ‘‘Caraṃ samāhito nāgo, tiṭṭhantopi samāhito’’ti. –

    ‘‘อิทมฺปิ วจนํ สุวุตฺตํ โหตี’’ติ วทนฺติ, เตสมฺปิ วุตฺตโทสานาติวตฺติ, ฐิตลกฺขณารมฺมณตาย จ อตีตานาคตสมฺมุติธมฺมานํ ตทภาวโต, เอกเทสวิสยเมว ภควโต ญาณํ สิยาฯ ตสฺมา สกิํเยว ญาณํ ปวตฺตตีติ น ยุชฺชติฯ

    ‘‘Idampi vacanaṃ suvuttaṃ hotī’’ti vadanti, tesampi vuttadosānātivatti, ṭhitalakkhaṇārammaṇatāya ca atītānāgatasammutidhammānaṃ tadabhāvato, ekadesavisayameva bhagavato ñāṇaṃ siyā. Tasmā sakiṃyeva ñāṇaṃ pavattatīti na yujjati.

    อถ กเมน สพฺพสฺมิํ วิสเย ญาณํ ปวตฺตตีติ? เอวมฺปิ น ยุชฺชติฯ น หิ ชาติภูมิสภาวาทิวเสน ทิสาเทสกาลาทิวเสน จ อเนกเภทภิเนฺน เญเยฺย กเมน คยฺหมาเน ตสฺส อนวเสสปฎิเวโธ สมฺภวติ อปริยนฺตภาวโต เญยฺยสฺสฯ เย ปน ‘‘อตฺถสฺส อวิสํวาทนโต เญยฺยสฺส เอกเทสํ ปจฺจกฺขํ กตฺวา เสเสปิ เอวนฺติ อธิมุจฺจิตฺวา ววตฺถาปเนน สพฺพญฺญู ภควา, ตญฺจ ญาณํ น อนุมานิกํ สํสยาภาวโตฯ สํสยานุพทฺธญฺหิ โลเก อนุมานญาณ’’นฺติ วทนฺติ, เตสมฺปิ น ยุตฺตํฯ สพฺพสฺส หิ อปจฺจกฺขภาเว อตฺถสฺส อวิสํวาทเนน เญยฺยสฺส เอกเทสํ ปจฺจกฺขํ กตฺวา เสเสปิ เอวนฺติ อธิมุจฺจิตฺวา ววตฺถาปนสฺส อสมฺภวโตฯ ยญฺหิ ตํ เสสํ, ตํ อปจฺจกฺขนฺติฯ อถ ตมฺปิ ปจฺจกฺขํ, ตสฺส เสสภาโว ปน น สิยาติ สพฺพเมตํ อการณํฯ กสฺมา? อวิสยวิจารภาวโตฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –

    Atha kamena sabbasmiṃ visaye ñāṇaṃ pavattatīti? Evampi na yujjati. Na hi jātibhūmisabhāvādivasena disādesakālādivasena ca anekabhedabhinne ñeyye kamena gayhamāne tassa anavasesapaṭivedho sambhavati apariyantabhāvato ñeyyassa. Ye pana ‘‘atthassa avisaṃvādanato ñeyyassa ekadesaṃ paccakkhaṃ katvā sesepi evanti adhimuccitvā vavatthāpanena sabbaññū bhagavā, tañca ñāṇaṃ na anumānikaṃ saṃsayābhāvato. Saṃsayānubaddhañhi loke anumānañāṇa’’nti vadanti, tesampi na yuttaṃ. Sabbassa hi apaccakkhabhāve atthassa avisaṃvādanena ñeyyassa ekadesaṃ paccakkhaṃ katvā sesepi evanti adhimuccitvā vavatthāpanassa asambhavato. Yañhi taṃ sesaṃ, taṃ apaccakkhanti. Atha tampi paccakkhaṃ, tassa sesabhāvo pana na siyāti sabbametaṃ akāraṇaṃ. Kasmā? Avisayavicārabhāvato. Vuttañhetaṃ bhagavatā –

    ‘‘พุทฺธวิสโย, ภิกฺขเว, อจิเนฺตโยฺย, น จิเนฺตตโพฺพ; โย จิเนฺตยฺย, อุมฺมาทสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺสา’’ติ (อ. นิ. ๔.๗๗)ฯ

    ‘‘Buddhavisayo, bhikkhave, acinteyyo, na cintetabbo; yo cinteyya, ummādassa vighātassa bhāgī assā’’ti (a. ni. 4.77).

    อิทํ ปเนตฺถ สนฺนิฎฺฐานํ – ยํกิญฺจิ ภควตา ญาตุํ อิจฺฉิตํ สกลเมกเทโส วา, ตตฺถ อปฺปฎิหตวุตฺติตาย ปจฺจกฺขโต ญาณํ ปวตฺตติ, นิจฺจสมาธานญฺจ วิเกฺขปาภาวโต, ญาตุํ อิจฺฉิตสฺส สกลสฺส อวิสยภาวโต ตสฺส อากงฺขาปฎิพทฺธวุตฺติตา น สิยา, เอกเนฺตเนว สา อิจฺฉิตพฺพา ‘‘สเพฺพ ธมฺมา พุทฺธสฺส ภควโต อาวชฺชนปฎิพทฺธา, อากงฺขาปฎิพทฺธา, มนสิการปฎิพทฺธา, จิตฺตุปฺปาทปฎิพทฺธา’’ติ (มหานิ. ๖๙; จูฬนิ. โมฆราชมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๘๕) วจนโตฯ อตีตานาคตวิสยมฺปิ ภควโต ญาณํ อนุมานาคมนตกฺกคฺคหณวิรหิตตฺตา ปจฺจกฺขเมวฯ

    Idaṃ panettha sanniṭṭhānaṃ – yaṃkiñci bhagavatā ñātuṃ icchitaṃ sakalamekadeso vā, tattha appaṭihatavuttitāya paccakkhato ñāṇaṃ pavattati, niccasamādhānañca vikkhepābhāvato, ñātuṃ icchitassa sakalassa avisayabhāvato tassa ākaṅkhāpaṭibaddhavuttitā na siyā, ekanteneva sā icchitabbā ‘‘sabbe dhammā buddhassa bhagavato āvajjanapaṭibaddhā, ākaṅkhāpaṭibaddhā, manasikārapaṭibaddhā, cittuppādapaṭibaddhā’’ti (mahāni. 69; cūḷani. mogharājamāṇavapucchāniddesa 85) vacanato. Atītānāgatavisayampi bhagavato ñāṇaṃ anumānāgamanatakkaggahaṇavirahitattā paccakkhameva.

    นนุ จ เอตสฺมิมฺปิ ปเกฺข ยทา สกลํ ญาตุํ อิจฺฉิตํ, ตทา สกิเมว สกลวิสยตาย อนิรูปิตรูเปน ภควโต ญาณํ ปวเตฺตยฺยาติ วุตฺตโทสานาติวตฺติเยวาติ? น, ตสฺส วิโสธิตตฺตาฯ วิโสธิโต หิ โส พุทฺธวิสโย อจิเนฺตโยฺยติฯ อญฺญถา ปจุรชนญาณสมวุตฺติตาย พุทฺธานํ ภควนฺตานํ ญาณสฺส อจิเนฺตยฺยตา น สิยา, ตสฺมา สกลธมฺมารมฺมณมฺปิ ตํ เอกธมฺมารมฺมณํ วิย สุววตฺถาปิเตเยว เต ธเมฺม กตฺวา ปวตฺตตีติ อิทเมตฺถ อจิเนฺตยฺยํฯ ยาวตกํ เญยฺยํ, ตาวตกํ ญาณํ, ยาวตกํ ญาณํ, ตาวตกํ เญยฺยํ, เญยฺยปริยนฺติกํ ญาณํ, ญาณปริยนฺติกํ เญยฺยนฺติ เอวเมกชฺฌํ วิสุํ วิสุํ สกิํ กเมน จ อิจฺฉานุรูปํ สมฺมา สามญฺจ สพฺพธมฺมานํ พุทฺธตฺตา สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภควาฯ ตํ สมฺมาสมฺพุทฺธํฯ

    Nanu ca etasmimpi pakkhe yadā sakalaṃ ñātuṃ icchitaṃ, tadā sakimeva sakalavisayatāya anirūpitarūpena bhagavato ñāṇaṃ pavatteyyāti vuttadosānātivattiyevāti? Na, tassa visodhitattā. Visodhito hi so buddhavisayo acinteyyoti. Aññathā pacurajanañāṇasamavuttitāya buddhānaṃ bhagavantānaṃ ñāṇassa acinteyyatā na siyā, tasmā sakaladhammārammaṇampi taṃ ekadhammārammaṇaṃ viya suvavatthāpiteyeva te dhamme katvā pavattatīti idamettha acinteyyaṃ. Yāvatakaṃ ñeyyaṃ, tāvatakaṃ ñāṇaṃ, yāvatakaṃ ñāṇaṃ, tāvatakaṃ ñeyyaṃ, ñeyyapariyantikaṃ ñāṇaṃ, ñāṇapariyantikaṃ ñeyyanti evamekajjhaṃ visuṃ visuṃ sakiṃ kamena ca icchānurūpaṃ sammā sāmañca sabbadhammānaṃ buddhattā sammāsambuddho bhagavā. Taṃ sammāsambuddhaṃ.

    เทฺว วิตกฺกาติ เทฺว สมฺมา วิตกฺกาฯ ตตฺถ วิตเกฺกนฺติ เอเตน, สยํ วา วิตเกฺกติ, วิตกฺกนมตฺตเมว วาติ วิตโกฺกฯ สฺวายํ อารมฺมณาภินิโรปนลกฺขโณ, อาหนนปริยาหนนรโส, อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อานยนปจฺจุปฎฺฐาโนฯ วิสยเภเทน ปน ตํ ทฺวิธา กตฺวา วุตฺตํ ‘‘เทฺว วิตกฺกา’’ติฯ สมุทาจรนฺตีติ สมํ สมฺมา จ อุทฺธมุทฺธํ มริยาทาย จรนฺติฯ มริยาทโตฺถ หิ อยมากาโร, เตน จ โยเคน ‘‘ตถาคตํ อรหนฺตํ สมฺมาสมฺพุทฺธ’’นฺติ อิทํ สามิอเตฺถ อุปโยควจนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส อตฺตโน วิสเย สมํ สมฺมา จ อญฺญมญฺญํ มริยาทํ อนติกฺกมนฺตา อุทฺธมุทฺธํ พหุลํ อภิณฺหํ จรนฺติ ปวตฺตนฺตีติฯ

    Dve vitakkāti dve sammā vitakkā. Tattha vitakkenti etena, sayaṃ vā vitakketi, vitakkanamattameva vāti vitakko. Svāyaṃ ārammaṇābhiniropanalakkhaṇo, āhananapariyāhananaraso, ārammaṇe cittassa ānayanapaccupaṭṭhāno. Visayabhedena pana taṃ dvidhā katvā vuttaṃ ‘‘dve vitakkā’’ti. Samudācarantīti samaṃ sammā ca uddhamuddhaṃ mariyādāya caranti. Mariyādattho hi ayamākāro, tena ca yogena ‘‘tathāgataṃ arahantaṃ sammāsambuddha’’nti idaṃ sāmiatthe upayogavacanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – tathāgatassa arahato sammāsambuddhassa attano visaye samaṃ sammā ca aññamaññaṃ mariyādaṃ anatikkamantā uddhamuddhaṃ bahulaṃ abhiṇhaṃ caranti pavattantīti.

    โก ปน เนสํ วิสโย, กา วา มริยาทา, กถญฺจ ตํ อนติกฺกมิตฺวา เต อุทฺธมุทฺธํ พหุลํ อภิณฺหํ นิจฺจํ ปวตฺตนฺตีติ? วุจฺจเต – เขมวิตโกฺก, ปวิเวกวิตโกฺกติ อิเม เทฺว วิตกฺกาเยวฯ เตสุ เขมวิตโกฺก ตาว ภควโต วิเสเสน กรุณาสมฺปยุโตฺต, เมตฺตามุทิตาสมฺปยุโตฺตปิ ลพฺภเตว, ตสฺมา โส มหากรุณาสมาปตฺติยา เมตฺตาทิสมาปตฺติยา จ ปุพฺพงฺคโม สมฺปยุโตฺต จ เวทิตโพฺพฯ ปวิเวกวิตโกฺก ปน ผลสมาปตฺติยา ปุพฺพงฺคโม สมฺปยุโตฺต จ, ทิพฺพวิหาราทิวเสนาปิ ลพฺภเตวฯ อิติ เนสํ วิตโกฺก วิสโย, ตสฺมา เอกสฺมิํ สนฺตาเน พหุลํ ปวตฺตมานานมฺปิ กาเลน กาลํ สวิสยสฺมิํเยว จรณโต นตฺถิ มริยาทา, น สงฺกเรน วุตฺติฯ

    Ko pana nesaṃ visayo, kā vā mariyādā, kathañca taṃ anatikkamitvā te uddhamuddhaṃ bahulaṃ abhiṇhaṃ niccaṃ pavattantīti? Vuccate – khemavitakko, pavivekavitakkoti ime dve vitakkāyeva. Tesu khemavitakko tāva bhagavato visesena karuṇāsampayutto, mettāmuditāsampayuttopi labbhateva, tasmā so mahākaruṇāsamāpattiyā mettādisamāpattiyā ca pubbaṅgamo sampayutto ca veditabbo. Pavivekavitakko pana phalasamāpattiyā pubbaṅgamo sampayutto ca, dibbavihārādivasenāpi labbhateva. Iti nesaṃ vitakko visayo, tasmā ekasmiṃ santāne bahulaṃ pavattamānānampi kālena kālaṃ savisayasmiṃyeva caraṇato natthi mariyādā, na saṅkarena vutti.

    ตตฺถ เขมวิตโกฺก ภควโต กรุโณกฺกมนาทินา วิภาเวตโพฺพ, ปวิเวกวิตโกฺก สมาปตฺตีหิฯ ตตฺรายํ วิภาวนา – ‘‘อยํ โลโก สนฺตาปชาโต ทุกฺขปเรโต’’ติอาทินา ราคคฺคิอาทีหิ โลกสนฺนิวาสสฺส อาทิตฺตตาทิอาการทสฺสเนหิ มหากรุณาสมาปตฺติยา ปุพฺพภาเค , สมาปตฺติยมฺปิ ปฐมชฺฌานวเสน วตฺตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๗-๑๑๘) –

    Tattha khemavitakko bhagavato karuṇokkamanādinā vibhāvetabbo, pavivekavitakko samāpattīhi. Tatrāyaṃ vibhāvanā – ‘‘ayaṃ loko santāpajāto dukkhapareto’’tiādinā rāgaggiādīhi lokasannivāsassa ādittatādiākāradassanehi mahākaruṇāsamāpattiyā pubbabhāge , samāpattiyampi paṭhamajjhānavasena vattabbo. Vuttañhetaṃ (paṭi. ma. 1.117-118) –

    ‘‘พหูหิ อากาเรหิ ปสฺสนฺตานํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ สเตฺตสุ มหากรุณา โอกฺกมติ, อาทิโตฺต โลกสนฺนิวาโสติ ปสฺสนฺตานํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ สเตฺตสุ มหากรุณา โอกฺกมติฯ อุยฺยุโตฺต, ปยาโต, กุมฺมคฺคปฎิปโนฺน, อุปนียติ โลโก อทฺธุโว, อตาโณ โลโก อนภิสฺสโร, อสฺสโก โลโก, สพฺพํ ปหาย คมนียํ, อูโน โลโก อติโตฺต ตณฺหาทาโสฯ

    ‘‘Bahūhi ākārehi passantānaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ sattesu mahākaruṇā okkamati, āditto lokasannivāsoti passantānaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ sattesu mahākaruṇā okkamati. Uyyutto, payāto, kummaggapaṭipanno, upanīyati loko addhuvo, atāṇo loko anabhissaro, assako loko, sabbaṃ pahāya gamanīyaṃ, ūno loko atitto taṇhādāso.

    ‘‘อตายโน โลกสนฺนิวาโส, อเลโณ, อสรโณ, อสรณีภูโต, อุทฺธโต โลโก อวูปสโนฺต, สสโลฺล โลกสนฺนิวาโส วิโทฺธ ปุถุสเลฺลหิ, อวิชฺชนฺธการาวรโณ กิเลสปญฺชรปริกฺขิโตฺต, อวิชฺชาคโต โลกสนฺนิวาโส อณฺฑภูโต ปริโยนโทฺธ ตนฺตากุลกชาโต กุลาคุณฺฐิกชาโต มุญฺชปพฺพชภูโต อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ สํสารํ นาติวตฺตตีติ ปสฺสนฺตานํ, อวิชฺชาวิสโทสสํลิโตฺต กิเลสกลลีภูโต, ราคโทสโมหชฎาชฎิโตฯ

    ‘‘Atāyano lokasannivāso, aleṇo, asaraṇo, asaraṇībhūto, uddhato loko avūpasanto, sasallo lokasannivāso viddho puthusallehi, avijjandhakārāvaraṇo kilesapañjaraparikkhitto, avijjāgato lokasannivāso aṇḍabhūto pariyonaddho tantākulakajāto kulāguṇṭhikajāto muñjapabbajabhūto apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ saṃsāraṃ nātivattatīti passantānaṃ, avijjāvisadosasaṃlitto kilesakalalībhūto, rāgadosamohajaṭājaṭito.

    ‘‘ตณฺหาสงฺฆาฎปฎิมุโกฺก, ตณฺหาชาเลน โอตฺถโฎ, ตณฺหาโสเตน วุยฺหติ, ตณฺหาสํโยชเนน สํยุโตฺต, ตณฺหานุสเยน อนุสโฎ, ตณฺหาสนฺตาเปน สนฺตปฺปติ, ตณฺหาปริฬาเหน ปริฑยฺหติฯ

    ‘‘Taṇhāsaṅghāṭapaṭimukko, taṇhājālena otthaṭo, taṇhāsotena vuyhati, taṇhāsaṃyojanena saṃyutto, taṇhānusayena anusaṭo, taṇhāsantāpena santappati, taṇhāpariḷāhena pariḍayhati.

    ‘‘ทิฎฺฐิสงฺฆาฎปฎิมุโกฺก, ทิฎฺฐิชาเลน โอตฺถโฎ, ทิฎฺฐิโสเตน วุยฺหติ, ทิฎฺฐิสํโยชเนน สํยุโตฺต, ทิฎฺฐานุสเยน อนุสโฎ, ทิฎฺฐิสนฺตาเปน สนฺตปฺปติ, ทิฎฺฐิปริฬาเหน ปริฑยฺหติฯ

    ‘‘Diṭṭhisaṅghāṭapaṭimukko, diṭṭhijālena otthaṭo, diṭṭhisotena vuyhati, diṭṭhisaṃyojanena saṃyutto, diṭṭhānusayena anusaṭo, diṭṭhisantāpena santappati, diṭṭhipariḷāhena pariḍayhati.

    ‘‘ชาติยา อนุคโต, ชราย อนุสโฎ, พฺยาธินา อภิภูโต, มรเณน อพฺภาหโต, ทุเกฺข ปติฎฺฐิโตฯ

    ‘‘Jātiyā anugato, jarāya anusaṭo, byādhinā abhibhūto, maraṇena abbhāhato, dukkhe patiṭṭhito.

    ‘‘ตณฺหาย โอฑฺฑิโต, ชราปาการปริกฺขิโตฺต, มจฺจุปาสปริกฺขิโตฺต, มหาพนฺธนพโทฺธ, โลกสนฺนิวาโส, ราคพนฺธเนน, โทสโมหพนฺธเนน, มานทิฎฺฐิกิเลสทุจฺจริตพนฺธเนน พโทฺธ, มหาสมฺพาธปฎิปโนฺน, มหาปลิโพเธน ปลิพุโทฺธ, มหาปปาเต ปติโต, มหากนฺตารปฎิปโนฺน, มหาสํสารปฎิปโนฺน, มหาวิทุเคฺค สมฺปริวตฺตติ, มหาปลิเป ปลิปโนฺนฯ

    ‘‘Taṇhāya oḍḍito, jarāpākāraparikkhitto, maccupāsaparikkhitto, mahābandhanabaddho, lokasannivāso, rāgabandhanena, dosamohabandhanena, mānadiṭṭhikilesaduccaritabandhanena baddho, mahāsambādhapaṭipanno, mahāpalibodhena palibuddho, mahāpapāte patito, mahākantārapaṭipanno, mahāsaṃsārapaṭipanno, mahāvidugge samparivattati, mahāpalipe palipanno.

    ‘‘อพฺภาหโต โลกสนฺนิวาโส, อาทิโตฺต โลกสนฺนิวาโส ราคคฺคินา, โทสคฺคินา, โมหคฺคินา ชาติยา…เป.… อุปายาเสหิ, อุนฺนีตโก โลกสนฺนิวาโส หญฺญติ นิจฺจมตาโณ ปตฺตทโณฺฑ ตกฺกโร, วชฺชพนฺธนพโทฺธ อาฆาตนปจฺจุปฎฺฐิโต, อนาโถ โลกสนฺนิวาโส ปรมการุญฺญตํ ปโตฺต, ทุกฺขาภิตุโนฺน จิรรตฺตปีฬิโต, นิจฺจคธิโต นิจฺจปิปาสิโตฯ

    ‘‘Abbhāhato lokasannivāso, āditto lokasannivāso rāgagginā, dosagginā, mohagginā jātiyā…pe… upāyāsehi, unnītako lokasannivāso haññati niccamatāṇo pattadaṇḍo takkaro, vajjabandhanabaddho āghātanapaccupaṭṭhito, anātho lokasannivāso paramakāruññataṃ patto, dukkhābhitunno cirarattapīḷito, niccagadhito niccapipāsito.

    ‘‘อโนฺธ, อจกฺขุโก, หตเนโตฺต, อปริณายโก, วิปถปกฺขโนฺท, อญฺชสาปรโทฺธ, มโหฆปกฺขโนฺทฯ

    ‘‘Andho, acakkhuko, hatanetto, apariṇāyako, vipathapakkhando, añjasāparaddho, mahoghapakkhando.

    ‘‘ทฺวีหิ ทิฎฺฐิคเตหิ ปริยุฎฺฐิโต, ตีหิ ทุจฺจริเตหิ วิปฺปฎิปโนฺน, จตูหิ โยเคหิ โยชิโต, จตูหิ คเนฺถหิ คนฺถิโต, จตูหิ อุปาทาเนหิ อุปาทียติ, ปญฺจคติสมารุโฬฺห, ปญฺจหิ กามคุเณหิ รชฺชติ, ปญฺจหิ นีวรเณหิ โอตฺถโฎ, ฉหิ วิวาทมูเลหิ วิวทติ, ฉหิ ตณฺหากาเยหิ รชฺชติ, ฉหิ ทิฎฺฐิคเตหิ ปริยุฎฺฐิโต, สตฺตหิ อนุสเยหิ อนุสโฎ, สตฺตหิ สํโยชเนหิ สํยุโตฺต, สตฺตหิ มาเนหิ อุนฺนโต, อฎฺฐหิ โลกธเมฺมหิ สมฺปริวตฺตติ, อฎฺฐหิ มิจฺฉเตฺตหิ นิยโต, อฎฺฐหิ ปุริสโทเสหิ ทุสฺสติ, นวหิ อาฆาตวตฺถูหิ อาฆาติโต, นวหิ มาเนหิ อุนฺนโต, นวหิ ตณฺหามูลเกหิ ธเมฺมหิ รชฺชติ, ทสหิ กิเลสวตฺถูหิ กิลิสฺสติ, ทสหิ อาฆาตวตฺถูหิ อาฆาติโต, ทสหิ อกุสลกมฺมปเถหิ สมนฺนาคโต, ทสหิ สํโยชเนหิ สํยุโตฺต, ทสหิ มิจฺฉเตฺตหิ นิยโต, ทสวตฺถุกาย ทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต, ทสวตฺถุกาย อนฺตคฺคาหิกาย ทิฎฺฐิยา สมนฺนาคโต, อฎฺฐสตตณฺหาปปเญฺจหิ ปปญฺจิโต, ทฺวาสฎฺฐิยา ทิฎฺฐิคเตหิ ปริยุฎฺฐิโต โลกสนฺนิวาโสติ สมฺปสฺสนฺตานํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ สเตฺตสุ มหากรุณา โอกฺกมติฯ

    ‘‘Dvīhi diṭṭhigatehi pariyuṭṭhito, tīhi duccaritehi vippaṭipanno, catūhi yogehi yojito, catūhi ganthehi ganthito, catūhi upādānehi upādīyati, pañcagatisamāruḷho, pañcahi kāmaguṇehi rajjati, pañcahi nīvaraṇehi otthaṭo, chahi vivādamūlehi vivadati, chahi taṇhākāyehi rajjati, chahi diṭṭhigatehi pariyuṭṭhito, sattahi anusayehi anusaṭo, sattahi saṃyojanehi saṃyutto, sattahi mānehi unnato, aṭṭhahi lokadhammehi samparivattati, aṭṭhahi micchattehi niyato, aṭṭhahi purisadosehi dussati, navahi āghātavatthūhi āghātito, navahi mānehi unnato, navahi taṇhāmūlakehi dhammehi rajjati, dasahi kilesavatthūhi kilissati, dasahi āghātavatthūhi āghātito, dasahi akusalakammapathehi samannāgato, dasahi saṃyojanehi saṃyutto, dasahi micchattehi niyato, dasavatthukāya diṭṭhiyā samannāgato, dasavatthukāya antaggāhikāya diṭṭhiyā samannāgato, aṭṭhasatataṇhāpapañcehi papañcito, dvāsaṭṭhiyā diṭṭhigatehi pariyuṭṭhito lokasannivāsoti sampassantānaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ sattesu mahākaruṇā okkamati.

    ‘‘อหญฺจมฺหิ ติโณฺณ, โลโก จ อติโณฺณฯ อหญฺจมฺหิ มุโตฺต, โลโก จ อมุโตฺตฯ อหญฺจมฺหิ ทโนฺต, โลโก จ อทโนฺตฯ อหญฺจมฺหิ สโนฺต, โลโก จ อสโนฺตฯ อหญฺจมฺหิ อสฺสโตฺถ, โลโก จ อนสฺสโตฺถฯ อหญฺจมฺหิ ปรินิพฺพุโต, โลโก จ อปรินิพฺพุโตฯ ปโหมิ ขฺวาหํ ติโณฺณ ตาเรตุํ, มุโตฺต โมเจตุํ, ทโนฺต ทเมตุํ, สโนฺต สเมตุํ , อสฺสโตฺถ อสฺสาเสตุํ, ปรินิพฺพุโต ปเร จ ปรินิพฺพาเปตุนฺติ ปสฺสนฺตานํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ สเตฺตสุ มหากรุณา โอกฺกมตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๑๗-๑๑๘)ฯ

    ‘‘Ahañcamhi tiṇṇo, loko ca atiṇṇo. Ahañcamhi mutto, loko ca amutto. Ahañcamhi danto, loko ca adanto. Ahañcamhi santo, loko ca asanto. Ahañcamhi assattho, loko ca anassattho. Ahañcamhi parinibbuto, loko ca aparinibbuto. Pahomi khvāhaṃ tiṇṇo tāretuṃ, mutto mocetuṃ, danto dametuṃ, santo sametuṃ , assattho assāsetuṃ, parinibbuto pare ca parinibbāpetunti passantānaṃ buddhānaṃ bhagavantānaṃ sattesu mahākaruṇā okkamatī’’ti (paṭi. ma. 1.117-118).

    อิมินาว นเยน ภควโต สเตฺตสุ เมตฺตาโอกฺกมนญฺจ วิภาเวตพฺพํฯ กรุณาวิสยสฺส หิ ทุกฺขสฺส ปฎิปกฺขภูตํ สุขํ สเตฺตสุ อุปสํหรนฺตี เมตฺตาปิ ปวตฺตตีติ อิธ อพฺยาปาทอวิหิํสาวิตกฺกา เขมวิตโกฺกฯ ปวิเวกวิตโกฺก ปน เนกฺขมฺมวิตโกฺกเยว, ตสฺส ทิพฺพวิหารอริยวิหาเรสุ ปุพฺพภาคสฺส ปฐมชฺฌานสฺส ปจฺจเวกฺขณาย จ วเสน ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ เย เต ภควโต เทวสิกํ วฬญฺชนกวเสน จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสงฺขา สมาปตฺติวิหารา, เยสํ ปุเรจรณภาเวน ปวตฺตํ สมาธิจริยานุคตํ ญาณจริยานุคตํ ญาณํ จตุวีสติโกฎิสตสหสฺสสมาปตฺติสญฺจาริมหาวชิรญาณนฺติ วุจฺจติ, เตสํ วเสน ภควโต ปวิเวกวิตกฺกสฺส พหุลํ ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ อยญฺจ อโตฺถ มหาสจฺจกสุเตฺตนปิ เวทิตโพฺพฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ ภควตา –

    Imināva nayena bhagavato sattesu mettāokkamanañca vibhāvetabbaṃ. Karuṇāvisayassa hi dukkhassa paṭipakkhabhūtaṃ sukhaṃ sattesu upasaṃharantī mettāpi pavattatīti idha abyāpādaavihiṃsāvitakkā khemavitakko. Pavivekavitakko pana nekkhammavitakkoyeva, tassa dibbavihāraariyavihāresu pubbabhāgassa paṭhamajjhānassa paccavekkhaṇāya ca vasena pavatti veditabbā. Tattha ye te bhagavato devasikaṃ vaḷañjanakavasena catuvīsatikoṭisatasahassasaṅkhā samāpattivihārā, yesaṃ purecaraṇabhāvena pavattaṃ samādhicariyānugataṃ ñāṇacariyānugataṃ ñāṇaṃ catuvīsatikoṭisatasahassasamāpattisañcārimahāvajirañāṇanti vuccati, tesaṃ vasena bhagavato pavivekavitakkassa bahulaṃ pavatti veditabbā. Ayañca attho mahāsaccakasuttenapi veditabbo. Vuttañhi tattha bhagavatā –

    ‘‘โส โข อหํ, อคฺคิเวสฺสน, ตสฺมิํเยว ปุริมสฺมิํ สมาธินิมิเตฺต อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สณฺฐเปมิ, สนฺนิสาเทมิ, เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๘๗)ฯ

    ‘‘So kho ahaṃ, aggivessana, tasmiṃyeva purimasmiṃ samādhinimitte ajjhattameva cittaṃ saṇṭhapemi, sannisādemi, yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’ti (ma. ni. 1.387).

    อิทญฺหิ ภควา ‘‘สมโณ โคตโม อภิรูโป ปาสาทิโก สุผุสิตํ ทนฺตาวรณํ, ชิวฺหา ตนุกา, มธุรํ วจนํ, เตน ปริสํ รเญฺชโนฺต มเญฺญ วิจรติ, จิเตฺต ปนสฺส เอกคฺคตา นตฺถิ, โย เอวํ สญฺญตฺติพหุโล จรตี’’ติ สจฺจเกน นิคณฺฐปุเตฺตน วิตกฺกิเต อวสฺสํ สโหฒํ โจรํ คณฺหโนฺต วิย ‘‘น อคฺคิเวสฺสน ตถาคโต ปริสํ รเญฺชโนฺต สญฺญตฺติพหุโล วิจรติ, จกฺกวาฬปริยนฺตายปิ ปริสาย ธมฺมํ เทเสติ, อสลฺลีโน อนุปลิโตฺต เอกตฺตํ เอกวิหาริสุญฺญตาผลสมาปตฺติผลํ อนุยุโตฺต’’ติ ทเสฺสตุํ อาหริฯ

    Idañhi bhagavā ‘‘samaṇo gotamo abhirūpo pāsādiko suphusitaṃ dantāvaraṇaṃ, jivhā tanukā, madhuraṃ vacanaṃ, tena parisaṃ rañjento maññe vicarati, citte panassa ekaggatā natthi, yo evaṃ saññattibahulo caratī’’ti saccakena nigaṇṭhaputtena vitakkite avassaṃ sahoḍhaṃ coraṃ gaṇhanto viya ‘‘na aggivessana tathāgato parisaṃ rañjento saññattibahulo vicarati, cakkavāḷapariyantāyapi parisāya dhammaṃ deseti, asallīno anupalitto ekattaṃ ekavihārisuññatāphalasamāpattiphalaṃ anuyutto’’ti dassetuṃ āhari.

    ภควา หิ ยสฺมิํ ขเณ ปริสา สาธุการํ เทติ, ธมฺมํ วา ปจฺจเวกฺขติ, ตสฺมิํ ขเณ ปุพฺพภาเคน กาลํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา ผลสมาปตฺติํ อสฺสาสวาเร ปสฺสาสวาเร สมาปชฺชติ, สาธุการสทฺทนิโคฺฆเส อวิจฺฉิเนฺนเยว ธมฺมปจฺจเวกฺขณาย จ ปริโยสาเน สมาปตฺติโต วุฎฺฐาย ฐิตฎฺฐานโต ปฎฺฐาย ธมฺมํ เทเสติฯ พุทฺธานญฺหิ ภวงฺคปริวาโส ลหุโก, อสฺสาสวาเร ปสฺสาสวาเร สมาปตฺติโย สมาปชฺชนฺติฯ เอวํ ยถาวุตฺตสมาปตฺตีนํ สปุพฺพภาคานํ วเสน ภควโต เขมวิตกฺกสฺส ปวิเวกวิตกฺกสฺส จ พหุลปฺปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ

    Bhagavā hi yasmiṃ khaṇe parisā sādhukāraṃ deti, dhammaṃ vā paccavekkhati, tasmiṃ khaṇe pubbabhāgena kālaṃ paricchinditvā phalasamāpattiṃ assāsavāre passāsavāre samāpajjati, sādhukārasaddanigghose avicchinneyeva dhammapaccavekkhaṇāya ca pariyosāne samāpattito vuṭṭhāya ṭhitaṭṭhānato paṭṭhāya dhammaṃ deseti. Buddhānañhi bhavaṅgaparivāso lahuko, assāsavāre passāsavāre samāpattiyo samāpajjanti. Evaṃ yathāvuttasamāpattīnaṃ sapubbabhāgānaṃ vasena bhagavato khemavitakkassa pavivekavitakkassa ca bahulappavatti veditabbā.

    ตตฺถ ยสฺส พฺยาปาทวิหิํสาวิตกฺกาทิสํกิเลสปฺปหานสฺส อพฺยาปาทวิตกฺกสฺส อวิหิํสาวิตกฺกสฺส จ อานุภาเวน กุโตจิปิ ภยาภาวโต ตํสมงฺคี เขมปฺปโตฺต จ วิหรติ, ตโต จ สพฺพสฺสปิ สพฺพทาปิ เขมเมว โหติ อภยเมวฯ ตสฺมา ทุวิโธปิ อุภเยสํ เขมงฺกโรติ เขมวิตโกฺกฯ ยสฺส ปน กามวิตกฺกาทิสํกิเลสปหานสฺส เนกฺขมฺมวิตกฺกสฺส อานุภาเวน กายวิเวโก, จิตฺตวิเวโก, อุปธิวิเวโกติ ติวิโธ; ตทงฺควิเวโก, วิกฺขมฺภนวิเวโก, สมุเจฺฉทวิเวโก, ปฎิปฺปสฺสทฺธิวิเวโก, นิสฺสรณวิเวโกติ ปญฺจวิโธ จ วิเวโก ปาริปูริํ คจฺฉติฯ โส ยถารหํ อารมฺมณโต สมฺปโยคโต จ ปวิเวกสหคโต วิตโกฺกติ ปวิเวกวิตโกฺกฯ เอเต จ เทฺว วิตกฺกา เอวํ วิภตฺตวิสยาปิ สมานา อาทิกมฺมิกานํ อญฺญมญฺญูปการาย สมฺภวนฺติฯ ยถา หิ เขมวิตกฺกสฺส ปวิเวกวิตโกฺก อนุปฺปนฺนสฺส อุปฺปาทาย อุปฺปนฺนสฺส ภิโยฺยภาวาย เวปุลฺลาย โหติ, เอวํ ปวิเวกวิตกฺกสฺสปิ เขมวิตโกฺกฯ น หิ วูปกฎฺฐกายจิตฺตานมนฺตเรน เมตฺตาวิหาราทโย สมฺภวนฺติ พฺยาปาทาทิปฺปหาเนน จ วินา จิตฺตวิเวกาทีนํ อสมฺภโวเยวาติ อญฺญมญฺญสฺส พหูปการา เอเต ธมฺมา ทฎฺฐพฺพาฯ ภควโต ปน สพฺพโส ปหีนสํกิเลสสฺส โลกหิตตฺถาย เอวํ เขมวิตโกฺก จ ปวิเวกวิตโกฺก จ อสฺสาสวารมเตฺตปิ หิตสุขมาวหนฺติเยวาติฯ เขโม จ วิตโกฺก ปวิเวโก จ วิตโกฺกติ สมฺพนฺธิตพฺพํฯ

    Tattha yassa byāpādavihiṃsāvitakkādisaṃkilesappahānassa abyāpādavitakkassa avihiṃsāvitakkassa ca ānubhāvena kutocipi bhayābhāvato taṃsamaṅgī khemappatto ca viharati, tato ca sabbassapi sabbadāpi khemameva hoti abhayameva. Tasmā duvidhopi ubhayesaṃ khemaṅkaroti khemavitakko. Yassa pana kāmavitakkādisaṃkilesapahānassa nekkhammavitakkassa ānubhāvena kāyaviveko, cittaviveko, upadhivivekoti tividho; tadaṅgaviveko, vikkhambhanaviveko, samucchedaviveko, paṭippassaddhiviveko, nissaraṇavivekoti pañcavidho ca viveko pāripūriṃ gacchati. So yathārahaṃ ārammaṇato sampayogato ca pavivekasahagato vitakkoti pavivekavitakko. Ete ca dve vitakkā evaṃ vibhattavisayāpi samānā ādikammikānaṃ aññamaññūpakārāya sambhavanti. Yathā hi khemavitakkassa pavivekavitakko anuppannassa uppādāya uppannassa bhiyyobhāvāya vepullāya hoti, evaṃ pavivekavitakkassapi khemavitakko. Na hi vūpakaṭṭhakāyacittānamantarena mettāvihārādayo sambhavanti byāpādādippahānena ca vinā cittavivekādīnaṃ asambhavoyevāti aññamaññassa bahūpakārā ete dhammā daṭṭhabbā. Bhagavato pana sabbaso pahīnasaṃkilesassa lokahitatthāya evaṃ khemavitakko ca pavivekavitakko ca assāsavāramattepi hitasukhamāvahantiyevāti. Khemo ca vitakko paviveko ca vitakkoti sambandhitabbaṃ.

    เอวํ อุทฺทิเฎฺฐ เทฺว วิตเกฺก นิทฺทิสิตุํ ‘‘อพฺยาปชฺฌาราโม’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อพฺยาปชฺฌนํ กสฺสจิ อทุกฺขนํ อพฺยาปโชฺฌ, โส อารมิตพฺพโต อาราโม เอตสฺสาติ อพฺยาปชฺฌาราโมฯ อพฺยาปเชฺฌ รโต เสวนวเสน นิรโตติ อพฺยาปชฺฌรโตฯ เอเสวาติ เอโส เอวฯ อิริยายาติ กิริยาย, กายวจีปโยเคนาติ อโตฺถฯ น กญฺจิ พฺยาพาเธมีติ หีนาทีสุ กญฺจิปิ สตฺตํ ตณฺหาตสาทิโยคโต ตสํ วา ตทภาวโต ปหีนสพฺพกิเลสวิปฺผนฺทิตตฺตา ถาวรํ วา น พาเธมิ น ทุกฺขาเปมิฯ กรุณชฺฌาสโย ภควา มหากรุณาสมาปตฺติพหุโล อตฺตโน ปรมรุจิตกรุณชฺฌาสยานุรูปเมวมาหฯ เตน อวิหิํสาวิตกฺกํ อพฺยาปาทวิตกฺกญฺจ ทเสฺสติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘อหํ อิมาย อิริยาย อิมาย ปฎิปตฺติยา เอวํ สมฺมา ปฎิปชฺชโนฺต เอวํ สมาปตฺติวิหาเรหิ วิหรโนฺต เอวํ ปุญฺญตฺถิเกหิ กตานิ สกฺการครุการมานนวนฺทนปูชนานิ อธิวาเสโนฺต สเตฺตสุ น กญฺจิ พฺยาพาเธมิ, อปิจ โข ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมตฺถปฺปเภทํ หิตสุขเมว เนสํ ปริพฺรูเหมี’ติฯ

    Evaṃ uddiṭṭhe dve vitakke niddisituṃ ‘‘abyāpajjhārāmo’’tiādimāha. Tattha abyāpajjhanaṃ kassaci adukkhanaṃ abyāpajjho, so āramitabbato ārāmo etassāti abyāpajjhārāmo. Abyāpajjhe rato sevanavasena niratoti abyāpajjharato. Esevāti eso eva. Iriyāyāti kiriyāya, kāyavacīpayogenāti attho. Na kañci byābādhemīti hīnādīsu kañcipi sattaṃ taṇhātasādiyogato tasaṃ vā tadabhāvato pahīnasabbakilesavipphanditattā thāvaraṃ vā na bādhemi na dukkhāpemi. Karuṇajjhāsayo bhagavā mahākaruṇāsamāpattibahulo attano paramarucitakaruṇajjhāsayānurūpamevamāha. Tena avihiṃsāvitakkaṃ abyāpādavitakkañca dasseti. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘ahaṃ imāya iriyāya imāya paṭipattiyā evaṃ sammā paṭipajjanto evaṃ samāpattivihārehi viharanto evaṃ puññatthikehi katāni sakkāragarukāramānanavandanapūjanāni adhivāsento sattesu na kañci byābādhemi, apica kho diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthappabhedaṃ hitasukhameva nesaṃ paribrūhemī’ti.

    ยํ อกุสลํ, ตํ ปหีนนฺติ ยํ ทิยฑฺฒกิเลสสหสฺสเภทํ อญฺญญฺจ ตํสมฺปยุตฺตํ อนนฺตปฺปเภทํ อกุสลํ, ตํ สพฺพํ โพธิมูเลเยว มยฺหํ ปหีนํ สมูหตนฺติฯ อิมินา ปวิเวเกสุ มุทฺธภูเตน สทฺธิํ นิสฺสรณวิเวเกน สมุเจฺฉทปฺปฎิปฺปสฺสทฺธิวิเวเก ทเสฺสติฯ เกจิ ปเนตฺถ ตทงฺควิกฺขมฺภนวิเวเกปิ อุทฺธรนฺติ ฯ อาคมนียปฎิปทาย หิ สทฺธิํ ภควตา อตฺตโน กิเลสกฺขโย อิธ วุโตฺตติฯ

    Yaṃ akusalaṃ, taṃ pahīnanti yaṃ diyaḍḍhakilesasahassabhedaṃ aññañca taṃsampayuttaṃ anantappabhedaṃ akusalaṃ, taṃ sabbaṃ bodhimūleyeva mayhaṃ pahīnaṃ samūhatanti. Iminā pavivekesu muddhabhūtena saddhiṃ nissaraṇavivekena samucchedappaṭippassaddhiviveke dasseti. Keci panettha tadaṅgavikkhambhanavivekepi uddharanti . Āgamanīyapaṭipadāya hi saddhiṃ bhagavatā attano kilesakkhayo idha vuttoti.

    อิติ ภควา อปริมิตกปฺปปริจิตฺตํ อตฺตโน ปวิเวกชฺฌาสยํ สทฺธิํ นิสฺสรณชฺฌาสเยน อิทานิ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ฐิโต ตมชฺฌาสยํ ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชิตฺวา อตฺตโน กิเลสปฺปหานปจฺจเวกฺขณมุเขน วิภาเวติฯ ยทตฺถํ ปเนตฺถ สตฺถา อิเม เทฺว วิตเกฺก อุทฺธริ, อิทานิ ตมตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตสฺมาติห, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ ภควา หิ อิมสฺส วิตกฺกทฺวยสฺส อตฺตโน พหุลสมุทาจารทสฺสนมุเขเนว ตตฺถ ภิกฺขู นิเวเสตุํ อิมํ เทสนํ อารภิฯ

    Iti bhagavā aparimitakappaparicittaṃ attano pavivekajjhāsayaṃ saddhiṃ nissaraṇajjhāsayena idāni matthakaṃ pāpetvā ṭhito tamajjhāsayaṃ phalasamāpattiṃ samāpajjitvā attano kilesappahānapaccavekkhaṇamukhena vibhāveti. Yadatthaṃ panettha satthā ime dve vitakke uddhari, idāni tamatthaṃ dassento ‘‘tasmātiha, bhikkhave’’tiādimāha. Bhagavā hi imassa vitakkadvayassa attano bahulasamudācāradassanamukheneva tattha bhikkhū nivesetuṃ imaṃ desanaṃ ārabhi.

    ตตฺถ ตสฺมาติ ยสฺมา อพฺยาปชฺฌปวิเวกาภิรตสฺส เม เขมปวิเวกวิตกฺกาเยว พหุลํ ปวตฺตนฺติ, ตสฺมาฯ ติหาติ นิปาตมตฺตํฯ อพฺยาปชฺฌารามา วิหรถาติ สพฺพสเตฺตสุ เมตฺตาวิหาเรน กรุณาวิหาเร น จ อภิรมนฺตา วิหรถฯ เตน พฺยาปาทสฺส ตเทกฎฺฐกิเลสานญฺจ ทูรีกรณมาหฯ เตสํ โวติ เอตฺถ โวติ นิปาตมตฺตํฯ ปวิเวการามา วิหรถาติ กายาทิวิเวกเญฺจว ตทงฺคาทิวิเวกญฺจาติ สพฺพวิเวเก อารมิตพฺพฎฺฐานํ กตฺวา วิหรถฯ อิมาย มยนฺติอาทิ ยถา เนสํ เขมวิตกฺกสฺส ปวตฺตนาการทสฺสนํ, เอวํ กิํ อกุสลนฺติอาทิ ปวิเวกวิตกฺกสฺส ปวตฺตนาการทสฺสนํฯ ตตฺถ ยถา อนวชฺชธเมฺม ปริปูเรตุกาเมน กิํกุสลคเวสินา หุตฺวา กุสลธมฺมปริเยสนา กาตพฺพาว, สาวชฺชธเมฺม ปชหิตุกาเมนาปิ อกุสลปริเยสนา กาตพฺพาติ อาห ‘‘กิํ อกุสล’’นฺติอาทิฯ อภิญฺญาปุพฺพิกา หิ ปริญฺญาปหานสจฺฉิกิริยาภาวนาฯ ตตฺถ กิํ อกุสลนฺติ อกุสลํ นาม กิํ, สภาวโต กิมสฺส ลกฺขณํ, กานิ วา รสปจฺจุปฎฺฐานปทฎฺฐานานีติ อกุสลสฺส สภาวกิจฺจาทิโต ปจฺจเวกฺขณวิธิํ ทเสฺสติฯ อาทิกมฺมิกวเสน เจส วิตโกฺก อาคโต, กิํ อปฺปหีนํ กิํ ปชหามาติ อิทํ ปททฺวยํ เสกฺขวเสนฯ ตสฺมา กิํ อปฺปหีนนฺติ กามราคสํโยชนาทีสุ อกุสเลสุ กิํ อกุสลํ อมฺหากํ มเคฺคน อสมุจฺฉินฺนํ? กิํ ปชหามาติ กิํ อกุสลํ สมุคฺฆาเตม? อถ วา กิํ ปชหามาติ วีติกฺกมปริยุฎฺฐานานุสเยสุ กิํ วิภาคํ อกุสลํ อิทานิ มยํ ปชหามาติ อโตฺถฯ เกจิ ปน ‘‘กิํ อปฺปหีน’’นฺติ ปฐนฺติฯ เตสํ ทิฎฺฐิสํโยชนาทิวเสน อเนกเภเทสุ อกุสเลสุ กิํ กตมํ อกุสลํ, เกน กตเมน ปกาเรน, กตเมน วา มเคฺคน อมฺหากํ อปฺปหีนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ

    Tattha tasmāti yasmā abyāpajjhapavivekābhiratassa me khemapavivekavitakkāyeva bahulaṃ pavattanti, tasmā. Tihāti nipātamattaṃ. Abyāpajjhārāmāviharathāti sabbasattesu mettāvihārena karuṇāvihāre na ca abhiramantā viharatha. Tena byāpādassa tadekaṭṭhakilesānañca dūrīkaraṇamāha. Tesaṃ voti ettha voti nipātamattaṃ. Pavivekārāmā viharathāti kāyādivivekañceva tadaṅgādivivekañcāti sabbaviveke āramitabbaṭṭhānaṃ katvā viharatha. Imāya mayantiādi yathā nesaṃ khemavitakkassa pavattanākāradassanaṃ, evaṃ kiṃ akusalantiādi pavivekavitakkassa pavattanākāradassanaṃ. Tattha yathā anavajjadhamme paripūretukāmena kiṃkusalagavesinā hutvā kusaladhammapariyesanā kātabbāva, sāvajjadhamme pajahitukāmenāpi akusalapariyesanā kātabbāti āha ‘‘kiṃ akusala’’ntiādi. Abhiññāpubbikā hi pariññāpahānasacchikiriyābhāvanā. Tattha kiṃ akusalanti akusalaṃ nāma kiṃ, sabhāvato kimassa lakkhaṇaṃ, kāni vā rasapaccupaṭṭhānapadaṭṭhānānīti akusalassa sabhāvakiccādito paccavekkhaṇavidhiṃ dasseti. Ādikammikavasena cesa vitakko āgato, kiṃ appahīnaṃ kiṃ pajahāmāti idaṃ padadvayaṃ sekkhavasena. Tasmā kiṃ appahīnanti kāmarāgasaṃyojanādīsu akusalesu kiṃ akusalaṃ amhākaṃ maggena asamucchinnaṃ? Kiṃpajahāmāti kiṃ akusalaṃ samugghātema? Atha vā kiṃ pajahāmāti vītikkamapariyuṭṭhānānusayesu kiṃ vibhāgaṃ akusalaṃ idāni mayaṃ pajahāmāti attho. Keci pana ‘‘kiṃ appahīna’’nti paṭhanti. Tesaṃ diṭṭhisaṃyojanādivasena anekabhedesu akusalesu kiṃ katamaṃ akusalaṃ, kena katamena pakārena, katamena vā maggena amhākaṃ appahīnanti vuttaṃ hoti. Sesaṃ vuttanayameva.

    คาถาสุ พุทฺธนฺติ จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ อวิปรีตํ สยมฺภุญาเณน พุทฺธตฺตา ปฎิวิทฺธตฺตา พุทฺธํ สจฺจวินิมุตฺตสฺส เญยฺยสฺส อภาวโตฯ ตถา หิ วุตฺตํ –

    Gāthāsu buddhanti catunnaṃ ariyasaccānaṃ aviparītaṃ sayambhuñāṇena buddhattā paṭividdhattā buddhaṃ saccavinimuttassa ñeyyassa abhāvato. Tathā hi vuttaṃ –

    ‘‘อภิเญฺญยฺยํ อภิญฺญาตํ, ภาเวตพฺพญฺจ ภาวิตํ;

    ‘‘Abhiññeyyaṃ abhiññātaṃ, bhāvetabbañca bhāvitaṃ;

    ปหาตพฺพํ ปหีนํ เม, ตสฺมา พุโทฺธสฺมิ พฺราหฺมณา’’ติฯ (สุ. นิ. ๕๖๓; ม. นิ. ๒.๓๙๙);

    Pahātabbaṃ pahīnaṃ me, tasmā buddhosmi brāhmaṇā’’ti. (su. ni. 563; ma. ni. 2.399);

    ฐเปตฺวา มหาโพธิสตฺตํ อเญฺญหิ สหิตุํ วหิตุํ อสกฺกุเณยฺยตฺตา อสยฺหสฺส สกลสฺส โพธิสมฺภารสฺส มหากรุณาธิการสฺส จ สหนโต วหนโต, ตถา อเญฺญหิ สหิตุํ อภิภวิตุํ ทุกฺกรตฺตา อสยฺหานํ ปญฺจนฺนํ มารานํ สหนโต อภิภวนโต, อาสยานุสยจริยาธิมุตฺติอาทิวิภาคาวโพเธน ยถารหํ เวเนยฺยานํ ทิฎฺฐธมฺมิกสมฺปรายิกปรมเตฺถหิ อนุสาสนสงฺขาตสฺส อเญฺญหิ อสยฺหสฺส พุทฺธกิจฺจสฺส สหนโต วหนโต, ตตฺถ วา สาธุการิภาวโต อสยฺหสาหินํฯ สมุทาจรนฺติ นนฺติ เอตฺถ นฺติ นิปาตมตฺตํ, นํ ตถาคตนฺติ วา อโตฺถฯ

    Ṭhapetvā mahābodhisattaṃ aññehi sahituṃ vahituṃ asakkuṇeyyattā asayhassa sakalassa bodhisambhārassa mahākaruṇādhikārassa ca sahanato vahanato, tathā aññehi sahituṃ abhibhavituṃ dukkarattā asayhānaṃ pañcannaṃ mārānaṃ sahanato abhibhavanato, āsayānusayacariyādhimuttiādivibhāgāvabodhena yathārahaṃ veneyyānaṃ diṭṭhadhammikasamparāyikaparamatthehi anusāsanasaṅkhātassa aññehi asayhassa buddhakiccassa sahanato vahanato, tattha vā sādhukāribhāvato asayhasāhinaṃ. Samudācaranti nanti ettha nanti nipātamattaṃ, naṃ tathāgatanti vā attho.

    สกปรสนฺตาเนสุ ตมสงฺขาตํ โมหนฺธการํ นุทิ ขิปีติ ตโมนุโทฯ ปารํ นิพฺพานํ คโตติ ปารคโตฯ อถ วา ‘‘มุโตฺต โมเจยฺย’’นฺติอาทินา นเยน ปวตฺติตสฺส มหาภินีหารสฺส สกลสฺส วา สํสารทุกฺขสฺส สพฺพญฺญุคุณานํ ปารํ ปริยนฺตํ คโตติ ปารคโต, ตํ ตโมนุทํ ปารคตํฯ ตโต เอว ปตฺติปตฺตํ พุทฺธํ, สีลาทิํ ทสพลญาณาทิญฺจ สมฺมาสมฺพุเทฺธหิ ปตฺตพฺพํ สพฺพํ ปตฺตนฺติ อโตฺถฯ วสิมนฺติ ฌานาทีสุ อากงฺขาปฎิพโทฺธ ปรโม อาวชฺชนาทิวสิภาโว, อริยิทฺธิสงฺขาโต อนญฺญสาธารโณ จิตฺตวสิภาโว จ อสฺส อตฺถีติ วสิมา, ตํ วสิมํ, วสินนฺติ อโตฺถฯ สเพฺพสํ กามาสวาทีนํ อภาเวน อนาสวํฯ กายวิสมาทิกสฺส วิสมสฺส วนฺตตฺตา วา วิสสงฺขาตํ สพฺพํ กิเลสมลํ ตริตฺวา วา วิสํ สกลวฎฺฎทุกฺขํ สยํ ตริตฺวา ตารณโต วิสนฺตโร ตํ วิสนฺตรํฯ ตณฺหกฺขเย อรหตฺตผเล นิพฺพาเน วา วิมุตฺตํ, อุภยมฺหิ คมนโต โมนสงฺขาเตน ญาเณน กายโมเนยฺยาทีหิ วา สาติสยํ สมนฺนาคตตฺตา มุนิํฯ มุนีติ หิ อคาริยมุนิ, อนคาริยมุนิ, เสกฺขมุนิ, อเสกฺขมุนิ, ปเจฺจกมุนิ, มุนิมุนีติ อเนกวิธา มุนโยฯ ตตฺถ คิหี อาคตผโล วิญฺญาตสาสโน อคาริยมุนิ, ตถารูโป ปพฺพชิโต อนคาริยมุนิ, สตฺต เสกฺขา เสกฺขมุนิ, ขีณาสโว อเสกฺขมุนิ, ปเจฺจกพุโทฺธ ปเจฺจกมุนิ, สมฺมาสมฺพุโทฺธ มุนิมุนีติฯ อยเมว อิธาธิเปฺปโตฯ อายติํ ปุนพฺภวาภาวโต อนฺติมํ, ปจฺฉิมํ เทหํ กายํ ธาเรตีติ อนฺติมเทหธารี, ตํ อนฺติมเทหธาริํฯ กิเลสมาราทีนํ สมฺมเทว ปริจฺจตฺตตฺตา มารญฺชหํฯ ตโต เอว ชราเหตุสมุเจฺฉทโต อนุปาทิเสสนิพฺพานปฺปตฺติวเสน ปากฎชราทิสพฺพชราย ปารคุํฯ ชราสีเสน เจตฺถ ชาติมรณโสกาทีนํ ปารคมนํ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตํ เอวํภูตํ ตถาคตํ ทุเว วิตกฺกา สมุทาจรนฺตีติ พฺรูมีติ สมฺพโนฺธฯ

    Sakaparasantānesu tamasaṅkhātaṃ mohandhakāraṃ nudi khipīti tamonudo. Pāraṃ nibbānaṃ gatoti pāragato. Atha vā ‘‘mutto moceyya’’ntiādinā nayena pavattitassa mahābhinīhārassa sakalassa vā saṃsāradukkhassa sabbaññuguṇānaṃ pāraṃ pariyantaṃ gatoti pāragato, taṃ tamonudaṃ pāragataṃ. Tato eva pattipattaṃ buddhaṃ, sīlādiṃ dasabalañāṇādiñca sammāsambuddhehi pattabbaṃ sabbaṃ pattanti attho. Vasimanti jhānādīsu ākaṅkhāpaṭibaddho paramo āvajjanādivasibhāvo, ariyiddhisaṅkhāto anaññasādhāraṇo cittavasibhāvo ca assa atthīti vasimā, taṃ vasimaṃ, vasinanti attho. Sabbesaṃ kāmāsavādīnaṃ abhāvena anāsavaṃ. Kāyavisamādikassa visamassa vantattā vā visasaṅkhātaṃ sabbaṃ kilesamalaṃ taritvā vā visaṃ sakalavaṭṭadukkhaṃ sayaṃ taritvā tāraṇato visantaro taṃ visantaraṃ. Taṇhakkhaye arahattaphale nibbāne vā vimuttaṃ, ubhayamhi gamanato monasaṅkhātena ñāṇena kāyamoneyyādīhi vā sātisayaṃ samannāgatattā muniṃ. Munīti hi agāriyamuni, anagāriyamuni, sekkhamuni, asekkhamuni, paccekamuni, munimunīti anekavidhā munayo. Tattha gihī āgataphalo viññātasāsano agāriyamuni, tathārūpo pabbajito anagāriyamuni, satta sekkhā sekkhamuni, khīṇāsavo asekkhamuni, paccekabuddho paccekamuni, sammāsambuddho munimunīti. Ayameva idhādhippeto. Āyatiṃ punabbhavābhāvato antimaṃ, pacchimaṃ dehaṃ kāyaṃ dhāretīti antimadehadhārī, taṃ antimadehadhāriṃ. Kilesamārādīnaṃ sammadeva pariccattattā mārañjahaṃ. Tato eva jarāhetusamucchedato anupādisesanibbānappattivasena pākaṭajarādisabbajarāya pāraguṃ. Jarāsīsena cettha jātimaraṇasokādīnaṃ pāragamanaṃ vuttanti daṭṭhabbaṃ. Taṃ evaṃbhūtaṃ tathāgataṃ duve vitakkā samudācarantīti brūmīti sambandho.

    อิติ ภควา ปฐมคาถาย วิตกฺกทฺวยํ อุทฺทิสิตฺวา ตโต ทุติยคาถาย ปวิเวกวิตกฺกํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เขมวิตกฺกํ ทเสฺสตุํ ‘‘เสเล ยถา’’ติ ตติยคาถมาหฯ ตตฺถ เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฎฺฐิโตติ เสเล สิลามเย เอกคฺฆนปพฺพตมุทฺธนิ ยถา ฐิโตฯ น หิ ตตฺถ ฐิตสฺส อุทฺธํ คีวุกฺขิปนปสารณาทิกิจฺจํ อตฺถิฯ ตถูปมนฺติ ตปฺปฎิภาคํ เสลปพฺพตูปมํฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ยถา เสลปพฺพตมุทฺธนิ ฐิโต จกฺขุมา ปุริโส สมนฺตโต ชนตํ ปเสฺสยฺย, เอวเมว สุเมโธ, สุนฺทรปโญฺญ สพฺพญฺญุตญฺญาเณน สมนฺตจกฺขุ ภควา ธมฺมมยํ ปญฺญามยํ ปาสาทมารุยฺห สยํ อเปตโสโก โสกาวติณฺณํ ชาติชราภิภูตญฺจ ชนตํ สตฺตกายํ อเวกฺขติ อุปธารยติ อุปปริกฺขติฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย – ยถา หิ ปพฺพตปาเท สมนฺตา มหนฺตํ เขตฺตํ กตฺวา ตตฺถ เกทารปาฬีสุ กุฎิโย กตฺวา รตฺติํ อคฺคิํ ชาเลยฺย, จตุรงฺคสมนฺนาคตญฺจ อนฺธการํ ภเวยฺย, อถสฺส ปพฺพตสฺส มตฺถเก ฐตฺวา จกฺขุมโต ปุริสสฺส ภูมิปฺปเทสํ โอโลกยโต เนว เขตฺตํ, น เกทารปาฬิโย, น กุฎิโย, น ตตฺถ สยิตมนุสฺสา ปญฺญาเยยฺยุํ, กุฎีสุ ปน อคฺคิชาลมตฺตเมว ปญฺญาเยยฺย, เอวํ ธมฺมมยํ ปาสาทมารุยฺห สตฺตกายํ โอโลกยโต ตถาคตสฺส เย เต อกตกลฺยาณา สตฺตา, เต เอกวิหาเร ทกฺขิณปเสฺส นิสินฺนาปิ พุทฺธญาณสฺส อาปาถํ นาคจฺฉนฺติ, รตฺติํ ขิตฺตสรา วิย โหนฺติฯ เย ปน กตกลฺยาณา เวเนยฺยปุคฺคลา, เต เอวสฺส ทูเรปิ ฐิตา อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ, โส อคฺคิ วิย หิมวนฺตปพฺพโต วิย จ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Iti bhagavā paṭhamagāthāya vitakkadvayaṃ uddisitvā tato dutiyagāthāya pavivekavitakkaṃ dassetvā idāni khemavitakkaṃ dassetuṃ ‘‘sele yathā’’ti tatiyagāthamāha. Tattha sele yathā pabbatamuddhaniṭṭhitoti sele silāmaye ekagghanapabbatamuddhani yathā ṭhito. Na hi tattha ṭhitassa uddhaṃ gīvukkhipanapasāraṇādikiccaṃ atthi. Tathūpamanti tappaṭibhāgaṃ selapabbatūpamaṃ. Ayaṃ panettha saṅkhepattho – yathā selapabbatamuddhani ṭhito cakkhumā puriso samantato janataṃ passeyya, evameva sumedho, sundarapañño sabbaññutaññāṇena samantacakkhu bhagavā dhammamayaṃ paññāmayaṃ pāsādamāruyha sayaṃ apetasoko sokāvatiṇṇaṃ jātijarābhibhūtañca janataṃ sattakāyaṃ avekkhati upadhārayati upaparikkhati. Ayaṃ panettha adhippāyo – yathā hi pabbatapāde samantā mahantaṃ khettaṃ katvā tattha kedārapāḷīsu kuṭiyo katvā rattiṃ aggiṃ jāleyya, caturaṅgasamannāgatañca andhakāraṃ bhaveyya, athassa pabbatassa matthake ṭhatvā cakkhumato purisassa bhūmippadesaṃ olokayato neva khettaṃ, na kedārapāḷiyo, na kuṭiyo, na tattha sayitamanussā paññāyeyyuṃ, kuṭīsu pana aggijālamattameva paññāyeyya, evaṃ dhammamayaṃ pāsādamāruyha sattakāyaṃ olokayato tathāgatassa ye te akatakalyāṇā sattā, te ekavihāre dakkhiṇapasse nisinnāpi buddhañāṇassa āpāthaṃ nāgacchanti, rattiṃ khittasarā viya honti. Ye pana katakalyāṇā veneyyapuggalā, te evassa dūrepi ṭhitā āpāthaṃ āgacchanti, so aggi viya himavantapabbato viya ca vuttampi cetaṃ –

    ‘‘ทูเร สโนฺต ปกาเสนฺติ, หิมวโนฺตว ปพฺพโต;

    ‘‘Dūre santo pakāsenti, himavantova pabbato;

    อสเนฺตตฺถ น ทิสฺสนฺติ, รตฺติํ ขิตฺตา ยถา สรา’’ติฯ (ธ. ป. ๓๐๔; เนตฺติ. ๑๑);

    Asantettha na dissanti, rattiṃ khittā yathā sarā’’ti. (dha. pa. 304; netti. 11);

    เอวเมตสฺมิํ สุเตฺต คาถาสุ จ ภควา อตฺตานํ ปรํ วิย กตฺวา ทเสฺสสิฯ

    Evametasmiṃ sutte gāthāsu ca bhagavā attānaṃ paraṃ viya katvā dassesi.

    ปฐมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Paṭhamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๑. วิตกฺกสุตฺตํ • 1. Vitakkasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact