Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya

    ๒. วิตฺถตูโปสถสุตฺตํ

    2. Vitthatūposathasuttaṃ

    ๔๒. ‘‘อฎฺฐงฺคสมนฺนาคโต , ภิกฺขเว, อุโปสโถ อุปวุโตฺถ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส มหาชุติโก มหาวิปฺผาโรฯ กถํ อุปวุโตฺถ จ, ภิกฺขเว, อฎฺฐงฺคสมนฺนาคโต อุโปสโถ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส มหาชุติโก มหาวิปฺผาโร? อิธ, ภิกฺขเว, อริยสาวโก อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ยาวชีวํ อรหโนฺต ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรตา นิหิตทณฺฑา นิหิตสตฺถา ลชฺชี ทยาปนฺนา, สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปิโน วิหรนฺติฯ อหํ ปชฺช อิมญฺจ รตฺติํ อิมญฺจ ทิวสํ ปาณาติปาตํ ปหาย ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต นิหิตทโณฺฑ นิหิตสโตฺถ ลชฺชี ทยาปโนฺน, สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี วิหรามิฯ อิมินาปเงฺคน อรหตํ อนุกโรมิ, อุโปสโถ จ เม อุปวุโตฺถ ภวิสฺสตี’ติฯ อิมินา ปฐเมน อเงฺคน สมนฺนาคโต โหติ…เป.…ฯ

    42. ‘‘Aṭṭhaṅgasamannāgato , bhikkhave, uposatho upavuttho mahapphalo hoti mahānisaṃso mahājutiko mahāvipphāro. Kathaṃ upavuttho ca, bhikkhave, aṭṭhaṅgasamannāgato uposatho mahapphalo hoti mahānisaṃso mahājutiko mahāvipphāro? Idha, bhikkhave, ariyasāvako iti paṭisañcikkhati – ‘yāvajīvaṃ arahanto pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭiviratā nihitadaṇḍā nihitasatthā lajjī dayāpannā, sabbapāṇabhūtahitānukampino viharanti. Ahaṃ pajja imañca rattiṃ imañca divasaṃ pāṇātipātaṃ pahāya pāṇātipātā paṭivirato nihitadaṇḍo nihitasattho lajjī dayāpanno, sabbapāṇabhūtahitānukampī viharāmi. Imināpaṅgena arahataṃ anukaromi, uposatho ca me upavuttho bhavissatī’ti. Iminā paṭhamena aṅgena samannāgato hoti…pe….

    ‘‘‘ยาวชีวํ อรหโนฺต อุจฺจาสยนมหาสยนํ ปหาย อุจฺจาสยนมหาสยนา ปฎิวิรตา นีจเสยฺยํ กเปฺปนฺติ – มญฺจเก วา ติณสนฺถารเก วาฯ อหํ ปชฺช อิมญฺจ รตฺติํ อิมญฺจ ทิวสํ อุจฺจาสยนมหาสยนํ ปหาย อุจฺจาสยนมหาสยนา ปฎิวิรโต นีจเสยฺยํ กเปฺปมิ – มญฺจเก วา ติณสนฺถารเก วาฯ อิมินาปเงฺคน อรหตํ อนุกโรมิ, อุโปสโถ จ เม อุปวุโตฺถ ภวิสฺสตี’ติฯ อิมินา อฎฺฐเมน อเงฺคน สมนฺนาคโต โหติฯ เอวํ อุปวุโตฺถ โข, ภิกฺขเว, อฎฺฐงฺคสมนฺนาคโต อุโปสโถ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส มหาชุติโก มหาวิปฺผาโร ฯ

    ‘‘‘Yāvajīvaṃ arahanto uccāsayanamahāsayanaṃ pahāya uccāsayanamahāsayanā paṭiviratā nīcaseyyaṃ kappenti – mañcake vā tiṇasanthārake vā. Ahaṃ pajja imañca rattiṃ imañca divasaṃ uccāsayanamahāsayanaṃ pahāya uccāsayanamahāsayanā paṭivirato nīcaseyyaṃ kappemi – mañcake vā tiṇasanthārake vā. Imināpaṅgena arahataṃ anukaromi, uposatho ca me upavuttho bhavissatī’ti. Iminā aṭṭhamena aṅgena samannāgato hoti. Evaṃ upavuttho kho, bhikkhave, aṭṭhaṅgasamannāgato uposatho mahapphalo hoti mahānisaṃso mahājutiko mahāvipphāro .

    ‘‘กีวมหปฺผโล โหติ กีวมหานิสํโส กีวมหาชุติโก กีวมหาวิปฺผาโร? เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, โย อิเมสํ โสฬสนฺนํ มหาชนปทานํ ปหูตรตฺตรตนานํ 1 อิสฺสริยาธิปจฺจํ รชฺชํ กาเรยฺย, เสยฺยถิทํ – องฺคานํ มคธานํ กาสีนํ โกสลานํ วชฺชีนํ มลฺลานํ เจตีนํ วงฺคานํ กุรูนํ ปญฺจาลานํ มจฺฉานํ 2 สูรเสนานํ อสฺสกานํ อวนฺตีนํ คนฺธารานํ กโมฺพชานํ, อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตสฺส อุโปสถสฺส เอตํ 3 กลํ นาคฺฆติ โสฬสิํฯ ตํ กิสฺส เหตุ? กปณํ, ภิกฺขเว, มานุสกํ รชฺชํ ทิพฺพํ สุขํ อุปนิธายฯ

    ‘‘Kīvamahapphalo hoti kīvamahānisaṃso kīvamahājutiko kīvamahāvipphāro? Seyyathāpi, bhikkhave, yo imesaṃ soḷasannaṃ mahājanapadānaṃ pahūtarattaratanānaṃ 4 issariyādhipaccaṃ rajjaṃ kāreyya, seyyathidaṃ – aṅgānaṃ magadhānaṃ kāsīnaṃ kosalānaṃ vajjīnaṃ mallānaṃ cetīnaṃ vaṅgānaṃ kurūnaṃ pañcālānaṃ macchānaṃ 5 sūrasenānaṃ assakānaṃ avantīnaṃ gandhārānaṃ kambojānaṃ, aṭṭhaṅgasamannāgatassa uposathassa etaṃ 6 kalaṃ nāgghati soḷasiṃ. Taṃ kissa hetu? Kapaṇaṃ, bhikkhave, mānusakaṃ rajjaṃ dibbaṃ sukhaṃ upanidhāya.

    ‘‘ยานิ, ภิกฺขเว, มานุสกานิ ปญฺญาส วสฺสานิ, จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ เอโส เอโก รตฺตินฺทิโว 7ฯ ตาย รตฺติยา ติํสรตฺติโย มาโสฯ เตน มาเสน ทฺวาทสมาสิโย สํวจฺฉโรฯ เตน สํวจฺฉเรน ทิพฺพานิ ปญฺจ วสฺสสตานิ จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ อายุปฺปมาณํฯ ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ อิตฺถี วา ปุริโส วา อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา จาตุมหาราชิกานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺยฯ อิทํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, สนฺธาย ภาสิตํ – ‘กปณํ มานุสกํ รชฺชํ ทิพฺพํ สุขํ อุปนิธาย’’’ฯ

    ‘‘Yāni, bhikkhave, mānusakāni paññāsa vassāni, cātumahārājikānaṃ devānaṃ eso eko rattindivo 8. Tāya rattiyā tiṃsarattiyo māso. Tena māsena dvādasamāsiyo saṃvaccharo. Tena saṃvaccharena dibbāni pañca vassasatāni cātumahārājikānaṃ devānaṃ āyuppamāṇaṃ. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, vijjati yaṃ idhekacco itthī vā puriso vā aṭṭhaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ upavasitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā cātumahārājikānaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjeyya. Idaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, sandhāya bhāsitaṃ – ‘kapaṇaṃ mānusakaṃ rajjaṃ dibbaṃ sukhaṃ upanidhāya’’’.

    ‘‘ยานิ, ภิกฺขเว, มานุสกานิ วสฺสสตานิ, ตาวติํสานํ เทวานํ เอโส เอโก รตฺตินฺทิโวฯ ตาย รตฺติยา ติํสรตฺติโย มาโสฯ เตน มาเสน ทฺวาทสมาสิโย สํวจฺฉโรฯ เตน สํวจฺฉเรน ทิพฺพํ วสฺสสหสฺสํ ตาวติํสานํ เทวานํ อายุปฺปมาณํฯ ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ อิตฺถี วา ปุริโส วา อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ตาวติํสานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺยฯ อิทํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, สนฺธาย ภาสิตํ – ‘กปณํ มานุสกํ รชฺชํ ทิพฺพํ สุขํ อุปนิธาย’’’ฯ

    ‘‘Yāni, bhikkhave, mānusakāni vassasatāni, tāvatiṃsānaṃ devānaṃ eso eko rattindivo. Tāya rattiyā tiṃsarattiyo māso. Tena māsena dvādasamāsiyo saṃvaccharo. Tena saṃvaccharena dibbaṃ vassasahassaṃ tāvatiṃsānaṃ devānaṃ āyuppamāṇaṃ. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, vijjati yaṃ idhekacco itthī vā puriso vā aṭṭhaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ upavasitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā tāvatiṃsānaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjeyya. Idaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, sandhāya bhāsitaṃ – ‘kapaṇaṃ mānusakaṃ rajjaṃ dibbaṃ sukhaṃ upanidhāya’’’.

    ‘‘ยานิ, ภิกฺขเว, มานุสกานิ เทฺว วสฺสสตานิ, ยามานํ เทวานํ เอโส เอโก รตฺตินฺทิโวฯ ตาย รตฺติยา ติํสรตฺติโย มาโสฯ เตน มาเสน ทฺวาทสมาสิโย สํวจฺฉโรฯ เตน สํวจฺฉเรน ทิพฺพานิ เทฺว วสฺสสหสฺสานิ ยามานํ เทวานํ อายุปฺปมาณํฯ ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ อิตฺถี วา ปุริโส วา อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ยามานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺยฯ อิทํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, สนฺธาย ภาสิตํ – ‘กปณํ มานุสกํ รชฺชํ ทิพฺพํ สุขํ อุปนิธาย’’’ฯ

    ‘‘Yāni, bhikkhave, mānusakāni dve vassasatāni, yāmānaṃ devānaṃ eso eko rattindivo. Tāya rattiyā tiṃsarattiyo māso. Tena māsena dvādasamāsiyo saṃvaccharo. Tena saṃvaccharena dibbāni dve vassasahassāni yāmānaṃ devānaṃ āyuppamāṇaṃ. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, vijjati yaṃ idhekacco itthī vā puriso vā aṭṭhaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ upavasitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā yāmānaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjeyya. Idaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, sandhāya bhāsitaṃ – ‘kapaṇaṃ mānusakaṃ rajjaṃ dibbaṃ sukhaṃ upanidhāya’’’.

    ‘‘ยานิ, ภิกฺขเว, มานุสกานิ จตฺตาริ วสฺสสตานิ, ตุสิตานํ เทวานํ เอโส เอโก รตฺตินฺทิโวฯ ตาย รตฺติยา ติํสรตฺติโย มาโสฯ เตน มาเสน ทฺวาทสมาสิโย สํวจฺฉโรฯ เตน สํวจฺฉเรน ทิพฺพานิ จตฺตาริ วสฺสสหสฺสานิ ตุสิตานํ เทวานํ อายุปฺปมาณํฯ ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ อิตฺถี วา ปุริโส วา อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ตุสิตานํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺยฯ อิทํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, สนฺธาย ภาสิตํ – ‘กปณํ มานุสกํ รชฺชํ ทิพฺพํ สุขํ อุปนิธาย’’’ฯ

    ‘‘Yāni, bhikkhave, mānusakāni cattāri vassasatāni, tusitānaṃ devānaṃ eso eko rattindivo. Tāya rattiyā tiṃsarattiyo māso. Tena māsena dvādasamāsiyo saṃvaccharo. Tena saṃvaccharena dibbāni cattāri vassasahassāni tusitānaṃ devānaṃ āyuppamāṇaṃ. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, vijjati yaṃ idhekacco itthī vā puriso vā aṭṭhaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ upavasitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā tusitānaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjeyya. Idaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, sandhāya bhāsitaṃ – ‘kapaṇaṃ mānusakaṃ rajjaṃ dibbaṃ sukhaṃ upanidhāya’’’.

    ‘‘ยานิ, ภิกฺขเว, มานุสกานิ อฎฺฐ วสฺสสตานิ, นิมฺมานรตีนํ เทวานํ เอโส เอโก รตฺตินฺทิโวฯ ตาย รตฺติยา ติํสรตฺติโย มาโสฯ เตน มาเสน ทฺวาทสมาสิโย สํวจฺฉโรฯ เตน สํวจฺฉเรน ทิพฺพานิ อฎฺฐ วสฺสสหสฺสานิ นิมฺมานรตีนํ เทวานํ อายุปฺปมาณํฯ ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ อิตฺถี วา ปุริโส วา อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา นิมฺมานรตีนํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺยฯ อิทํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, สนฺธาย ภาสิตํ – ‘กปณํ มานุสกํ รชฺชํ ทิพฺพํ สุขํ อุปนิธาย’’’ฯ

    ‘‘Yāni, bhikkhave, mānusakāni aṭṭha vassasatāni, nimmānaratīnaṃ devānaṃ eso eko rattindivo. Tāya rattiyā tiṃsarattiyo māso. Tena māsena dvādasamāsiyo saṃvaccharo. Tena saṃvaccharena dibbāni aṭṭha vassasahassāni nimmānaratīnaṃ devānaṃ āyuppamāṇaṃ. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, vijjati yaṃ idhekacco itthī vā puriso vā aṭṭhaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ upavasitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā nimmānaratīnaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjeyya. Idaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, sandhāya bhāsitaṃ – ‘kapaṇaṃ mānusakaṃ rajjaṃ dibbaṃ sukhaṃ upanidhāya’’’.

    ‘‘ยานิ, ภิกฺขเว, มานุสกานิ โสฬส วสฺสสตานิ, ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวานํ เอโส เอโก รตฺตินฺทิโวฯ ตาย รตฺติยา ติํสรตฺติโย มาโสฯ เตน มาเสน ทฺวาทสมาสิโย สํวจฺฉโรฯ เตน สํวจฺฉเรน ทิพฺพานิ โสฬส วสฺสสหสฺสานิ ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวานํ อายุปฺปมาณํฯ ฐานํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, วิชฺชติ ยํ อิเธกโจฺจ อิตฺถี วา ปุริโส วา อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ปรนิมฺมิตวสวตฺตีนํ เทวานํ สหพฺยตํ อุปปเชฺชยฺยฯ อิทํ โข ปเนตํ, ภิกฺขเว, สนฺธาย ภาสิตํ – ‘กปณํ มานุสกํ รชฺชํ ทิพฺพํ สุขํ อุปนิธายา’’’ติฯ

    ‘‘Yāni, bhikkhave, mānusakāni soḷasa vassasatāni, paranimmitavasavattīnaṃ devānaṃ eso eko rattindivo. Tāya rattiyā tiṃsarattiyo māso. Tena māsena dvādasamāsiyo saṃvaccharo. Tena saṃvaccharena dibbāni soḷasa vassasahassāni paranimmitavasavattīnaṃ devānaṃ āyuppamāṇaṃ. Ṭhānaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, vijjati yaṃ idhekacco itthī vā puriso vā aṭṭhaṅgasamannāgataṃ uposathaṃ upavasitvā kāyassa bhedā paraṃ maraṇā paranimmitavasavattīnaṃ devānaṃ sahabyataṃ upapajjeyya. Idaṃ kho panetaṃ, bhikkhave, sandhāya bhāsitaṃ – ‘kapaṇaṃ mānusakaṃ rajjaṃ dibbaṃ sukhaṃ upanidhāyā’’’ti.

    ‘‘ปาณํ น หเญฺญ 9 น จทินฺนมาทิเย,

    ‘‘Pāṇaṃ na haññe 10 na cadinnamādiye,

    มุสา น ภาเส น จ มชฺชโป สิยา;

    Musā na bhāse na ca majjapo siyā;

    อพฺรหฺมจริยา วิรเมยฺย เมถุนา,

    Abrahmacariyā virameyya methunā,

    รตฺติํ น ภุเญฺชยฺย วิกาลโภชนํฯ

    Rattiṃ na bhuñjeyya vikālabhojanaṃ.

    ‘‘มาลํ น ธาเร น จ คนฺธมาจเร 11,

    ‘‘Mālaṃ na dhāre na ca gandhamācare 12,

    มเญฺจ ฉมายํ ว สเยถ สนฺถเต;

    Mañce chamāyaṃ va sayetha santhate;

    เอตญฺหิ อฎฺฐงฺคิกมาหุโปสถํ,

    Etañhi aṭṭhaṅgikamāhuposathaṃ,

    พุเทฺธน ทุกฺขนฺตคุนา ปกาสิตํฯ

    Buddhena dukkhantagunā pakāsitaṃ.

    ‘‘จโนฺท จ สุริโย จ อุโภ สุทสฺสนา,

    ‘‘Cando ca suriyo ca ubho sudassanā,

    โอภาสยํ อนุปริยนฺติ ยาวตา;

    Obhāsayaṃ anupariyanti yāvatā;

    ตโมนุทา เต ปน อนฺตลิกฺขคา,

    Tamonudā te pana antalikkhagā,

    นเภ ปภาสนฺติ ทิสาวิโรจนาฯ

    Nabhe pabhāsanti disāvirocanā.

    ‘‘เอตสฺมิํ ยํ วิชฺชติ อนฺตเร ธนํ,

    ‘‘Etasmiṃ yaṃ vijjati antare dhanaṃ,

    มุตฺตา มณิ เวฬุริยญฺจ ภทฺทกํ;

    Muttā maṇi veḷuriyañca bhaddakaṃ;

    สิงฺคีสุวณฺณํ อถ วาปิ กญฺจนํ,

    Siṅgīsuvaṇṇaṃ atha vāpi kañcanaṃ,

    ยํ ชาตรูปํ หฎกนฺติ วุจฺจติฯ

    Yaṃ jātarūpaṃ haṭakanti vuccati.

    ‘‘อฎฺฐงฺคุเปตสฺส อุโปสถสฺส,

    ‘‘Aṭṭhaṅgupetassa uposathassa,

    กลมฺปิ เต นานุภวนฺติ โสฬสิํ;

    Kalampi te nānubhavanti soḷasiṃ;

    จนฺทปฺปภา ตารคณา จ สเพฺพฯ

    Candappabhā tāragaṇā ca sabbe.

    ‘‘ตสฺมา หิ นารี จ นโร จ สีลวา,

    ‘‘Tasmā hi nārī ca naro ca sīlavā,

    อฎฺฐงฺคุเปตํ อุปวสฺสุโปสถํ;

    Aṭṭhaṅgupetaṃ upavassuposathaṃ;

    ปุญฺญานิ กตฺวาน สุขุทฺรยานิ,

    Puññāni katvāna sukhudrayāni,

    อนินฺทิตา สคฺคมุเปนฺติ ฐาน’’นฺติฯ ทุติยํ;

    Aninditā saggamupenti ṭhāna’’nti. dutiyaṃ;







    Footnotes:
    1. ปหูตสตฺตรตนานํ (สี. สฺยา. กํ. ปี.) อ. นิ. ๓.๗๑ ปาฬิยา ฎีกายํ ทสฺสิตปาฬิเยวฯ ตทฎฺฐกถาปิ ปสฺสิตพฺพา
    2. มชฺชานํ (ก.)
    3. เอกํ (ก.)
    4. pahūtasattaratanānaṃ (sī. syā. kaṃ. pī.) a. ni. 3.71 pāḷiyā ṭīkāyaṃ dassitapāḷiyeva. tadaṭṭhakathāpi passitabbā
    5. majjānaṃ (ka.)
    6. ekaṃ (ka.)
    7. รตฺติทิโว (ก.)
    8. rattidivo (ka.)
    9. หาเน (สี.), เหน (ก.) อ. นิ. ๓.๗๑
    10. hāne (sī.), hena (ka.) a. ni. 3.71
    11. คนฺธมาธเร (ก.)
    12. gandhamādhare (ka.)



    Related texts:



    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑-๘. สํขิตฺตูโปสถสุตฺตาทิวณฺณนา • 1-8. Saṃkhittūposathasuttādivaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact