Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๓. ยมกสุตฺตวณฺณนา
3. Yamakasuttavaṇṇanā
๘๕. ตติเย ทิฎฺฐิคตนฺติ สเจ หิสฺส เอวํ ภเวยฺย ‘‘สงฺขารา อุปฺปชฺชนฺติ เจว นิรุชฺฌนฺติ จ, สงฺขารปฺปวตฺตเมว อปฺปวตฺตํ โหตี’’ติ, ทิฎฺฐิคตํ นาม น ภเวยฺย, สาสนาวจริกํ ญาณํ ภเวยฺยฯ ยสฺมา ปนสฺส ‘‘สโตฺต อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสตี’’ติ อโหสิ, ตสฺมา ทิฎฺฐิคตํ นาม ชาตํฯ ถามสา ปรามาสาติ ทิฎฺฐิถาเมน เจว ทิฎฺฐิปรามาเสน จฯ
85. Tatiye diṭṭhigatanti sace hissa evaṃ bhaveyya ‘‘saṅkhārā uppajjanti ceva nirujjhanti ca, saṅkhārappavattameva appavattaṃ hotī’’ti, diṭṭhigataṃ nāma na bhaveyya, sāsanāvacarikaṃ ñāṇaṃ bhaveyya. Yasmā panassa ‘‘satto ucchijjati vinassatī’’ti ahosi, tasmā diṭṭhigataṃ nāma jātaṃ. Thāmasā parāmāsāti diṭṭhithāmena ceva diṭṭhiparāmāsena ca.
เยนายสฺมา สาริปุโตฺตติ ยถา นาม ปจฺจเนฺต กุปิเต ตํ วูปสเมตุํ อสโกฺกนฺตา ราชปุริสา เสนาปติสฺส วา รโญฺญ วา สนฺติกํ คจฺฉนฺติ, เอวํ ทิฎฺฐิคตวเสน ตสฺมิํ เถเร กุปิเต ตํ วูปสเมตุํ อสโกฺกนฺตา เต ภิกฺขู เยน ธมฺมราชสฺส ธมฺมเสนาปติ อายสฺมา สาริปุโตฺต , เตนุปสงฺกมิํสุฯ เอวํพฺยาโขติ เตสํ ภิกฺขูนํ สนฺติเก วิย เถรสฺส สมฺมุขา ปคฺคยฺห วตฺตุํ อสโกฺกโนฺต โอลมฺพเนฺตน หทเยน ‘‘เอวํพฺยาโข’’ติ อาหฯ ตํ กิํ มญฺญสิ, อาวุโสติ? อิทํ เถโร ตสฺส วจนํ สุตฺวา, ‘‘นายํ อตฺตโน ลทฺธิยํ โทสํ ปสฺสติ, ธมฺมเทสนาย อสฺส ตํ ปากฎํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ติปริวฎฺฎํ เทสนํ เทเสตุํ อารภิฯ
Yenāyasmāsāriputtoti yathā nāma paccante kupite taṃ vūpasametuṃ asakkontā rājapurisā senāpatissa vā rañño vā santikaṃ gacchanti, evaṃ diṭṭhigatavasena tasmiṃ there kupite taṃ vūpasametuṃ asakkontā te bhikkhū yena dhammarājassa dhammasenāpati āyasmā sāriputto , tenupasaṅkamiṃsu. Evaṃbyākhoti tesaṃ bhikkhūnaṃ santike viya therassa sammukhā paggayha vattuṃ asakkonto olambantena hadayena ‘‘evaṃbyākho’’ti āha. Taṃ kiṃ maññasi, āvusoti? Idaṃ thero tassa vacanaṃ sutvā, ‘‘nāyaṃ attano laddhiyaṃ dosaṃ passati, dhammadesanāya assa taṃ pākaṭaṃ karissāmī’’ti cintetvā tiparivaṭṭaṃ desanaṃ desetuṃ ārabhi.
ตํ กิํ มญฺญสิ, อาวุโส ยมก, รูปํ ตถาคโตติ อิทํ กสฺมา อารทฺธํ? อนุโยควตฺตํ ทาปนตฺถํฯ ติปริวฎฺฎเทสนาวสานสฺมิญฺหิ เถโร โสตาปโนฺน ชาโตฯ อถ นํ อนุโยควตฺตํ ทาเปตุํ ‘‘ตํ กิํ มญฺญสี’’ติอาทิมาห? ตถาคโตติ สโตฺตฯ รูปํ เวทนา สญฺญา สงฺขารา วิญฺญาณนฺติ อิเม ปญฺจกฺขเนฺธ สมฺปิเณฺฑตฺวา ‘‘ตถาคโต’’ติ สมนุปสฺสสีติ ปุจฺฉติฯ เอตฺถ จ เต, อาวุโสติ อิทํ เถรสฺส อนุโยเค ภุมฺมํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เอตฺถ จ เต เอตฺตเก ฐาเน ทิเฎฺฐว ธเมฺม สจฺจโต ถิรโต สเตฺต อนุปลพฺภิยมาเนติฯ สเจ ตํ, อาวุโสติ อิทเมตํ อญฺญํ พฺยากราเปตุกาโม ปุจฺฉติฯ ยํ ทุกฺขํ ตํ นิรุทฺธนฺติ ยํ ทุกฺขํ, ตเทว นิรุทฺธํ, อโญฺญ สโตฺต นิรุชฺฌนโก นาม นตฺถิ, เอวํ พฺยากเรยฺยนฺติ อโตฺถฯ
Taṃ kiṃ maññasi, āvuso yamaka, rūpaṃ tathāgatoti idaṃ kasmā āraddhaṃ? Anuyogavattaṃ dāpanatthaṃ. Tiparivaṭṭadesanāvasānasmiñhi thero sotāpanno jāto. Atha naṃ anuyogavattaṃ dāpetuṃ ‘‘taṃ kiṃ maññasī’’tiādimāha? Tathāgatoti satto. Rūpaṃ vedanā saññā saṅkhārā viññāṇanti ime pañcakkhandhe sampiṇḍetvā ‘‘tathāgato’’ti samanupassasīti pucchati. Ettha ca te, āvusoti idaṃ therassa anuyoge bhummaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ettha ca te ettake ṭhāne diṭṭheva dhamme saccato thirato satte anupalabbhiyamāneti. Sace taṃ, āvusoti idametaṃ aññaṃ byākarāpetukāmo pucchati. Yaṃ dukkhaṃ taṃ niruddhanti yaṃ dukkhaṃ, tadeva niruddhaṃ, añño satto nirujjhanako nāma natthi, evaṃ byākareyyanti attho.
เอตเสฺสว อตฺถสฺสาติ เอตสฺส ปฐมมคฺคสฺสฯ ภิโยฺยโสมตฺตาย ญาณายาติ อติเรกปฺปมาณสฺส ญาณสฺส อตฺถาย, สหวิปสฺสนกานํ อุปริ จ ติณฺณํ มคฺคานํ อาวิภาวตฺถายาติ อโตฺถฯ อารกฺขสมฺปโนฺนติ อโนฺตอารเกฺขน เจว พหิอารเกฺขน จ สมนฺนาคโตฯ อโยคเกฺขมกาโมติ จตูหิ โยเคหิ เขมภาวํ อนิจฺฉโนฺตฯ ปสยฺหาติ ปสยฺหิตฺวา อภิภวิตฺวาฯ อนุปขชฺชาติ อนุปวิสิตฺวาฯ
Etasseva atthassāti etassa paṭhamamaggassa. Bhiyyosomattāya ñāṇāyāti atirekappamāṇassa ñāṇassa atthāya, sahavipassanakānaṃ upari ca tiṇṇaṃ maggānaṃ āvibhāvatthāyāti attho. Ārakkhasampannoti antoārakkhena ceva bahiārakkhena ca samannāgato. Ayogakkhemakāmoti catūhi yogehi khemabhāvaṃ anicchanto. Pasayhāti pasayhitvā abhibhavitvā. Anupakhajjāti anupavisitvā.
ปุพฺพุฎฺฐายีติอาทีสุ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อาสนโต ปฐมตรํ วุฎฺฐาตีติ ปุพฺพุฎฺฐายีฯ ตสฺส อาสนํ ทตฺวา ตสฺมิํ นิสิเนฺน ปจฺฉา นิปตติ นิสีทตีติ, ปจฺฉานิปาตีฯ ปาโตว วุฎฺฐาย ‘‘เอตฺตกา กสิตุํ คจฺฉถ, เอตฺตกา วปิตุ’’นฺติ วา สพฺพปฐมํ วุฎฺฐาตีติ ปุพฺพุฎฺฐายีฯ สายํ สเพฺพสุ อตฺตโน อตฺตโน วสนฎฺฐานํ คเตสุ เคหสฺส สมนฺตโต อารกฺขํ สํวิธาย ทฺวารานิ ถเกตฺวา สพฺพปจฺฉา นิปชฺชนโตปิ ปจฺฉานิปาตีฯ ‘‘กิํ กโรมิ , อยฺยปุตฺต ? กิํ กโรมิ อยฺยปุตฺตา’’ติ? มุขํ โอโลเกโนฺต กิํการํ ปฎิสาเวตีติ กิํการปฎิสฺสาวีฯ มนาปํ จรตีติ มนาปจารีฯ ปิยํ วทตีติ ปิยวาทีฯ มิตฺตโตปิ นํ สทฺทเหยฺยาติ มิโตฺต เม อยนฺติ สทฺทเหยฺยฯ วิสฺสาสํ อาปเชฺชยฺยาติ เอกโต ปานโภชนาทิํ กโรโนฺต วิสฺสาสิโก ภเวยฺยฯ สํวิสฺสโตฺถติ สุฎฺฐุ วิสฺสโตฺถฯ
Pubbuṭṭhāyītiādīsu dūratova āgacchantaṃ disvā āsanato paṭhamataraṃ vuṭṭhātīti pubbuṭṭhāyī. Tassa āsanaṃ datvā tasmiṃ nisinne pacchā nipatati nisīdatīti, pacchānipātī. Pātova vuṭṭhāya ‘‘ettakā kasituṃ gacchatha, ettakā vapitu’’nti vā sabbapaṭhamaṃ vuṭṭhātīti pubbuṭṭhāyī. Sāyaṃ sabbesu attano attano vasanaṭṭhānaṃ gatesu gehassa samantato ārakkhaṃ saṃvidhāya dvārāni thaketvā sabbapacchā nipajjanatopi pacchānipātī. ‘‘Kiṃ karomi , ayyaputta ? Kiṃ karomi ayyaputtā’’ti? Mukhaṃ olokento kiṃkāraṃ paṭisāvetīti kiṃkārapaṭissāvī. Manāpaṃ caratīti manāpacārī. Piyaṃ vadatīti piyavādī. Mittatopi naṃ saddaheyyāti mitto me ayanti saddaheyya. Vissāsaṃ āpajjeyyāti ekato pānabhojanādiṃ karonto vissāsiko bhaveyya. Saṃvissatthoti suṭṭhu vissattho.
เอวเมว โขติ เอตฺถ อิทํ โอปมฺมสํสนฺทนํ – พาลคหปติปุโตฺต วิย หิ วฎฺฎสนฺนิสฺสิตกาเล อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน , วธกปจฺจามิโตฺต วิย อพลทุพฺพลา ปญฺจกฺขนฺธา, วธกปจฺจามิตฺตสฺส ‘‘พาลคหปติปุตฺตํ อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ อุปคตกาโล วิย ปฎิสนฺธิกฺขเณ อุปคตา ปญฺจกฺขนฺธา, ตสฺส หิ ‘‘น เม อยํ สหาโย, วธกปจฺจตฺถิโก อย’’นฺติ อชานนกาโล วิย วฎฺฎนิสฺสิตปุถุชฺชนสฺส ปญฺจกฺขเนฺธ ‘‘น อิเม มยฺห’’นฺติ อคเหตฺวา ‘‘มม รูปํ, มม เวทนา, มม สญฺญา, มม สงฺขารา, มม วิญฺญาณ’’นฺติ คหิตกาโล, วธกปจฺจตฺถิกสฺส ‘‘มิโตฺต เม อย’’นฺติ คเหตฺวา สกฺการกรณกาโล วิย ‘‘มม อิเม’’ติ คเหตฺวา ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ นฺหาปนโภชนาทีหิ สกฺการกรณกาโล, ‘‘อติวิสฺสโตฺถ เม อย’’นฺติ ญตฺวา สกฺการํ กโรนฺตเสฺสว อสินา สีสจฺฉินฺทนํ วิย วิสฺสตฺถสฺส พาลปุถุชฺชนสฺส ติขิเณหิ ภิชฺชมาเนหิ ขเนฺธหิ ชีวิตปริยาทานํ เวทิตพฺพํฯ
Evameva khoti ettha idaṃ opammasaṃsandanaṃ – bālagahapatiputto viya hi vaṭṭasannissitakāle assutavā puthujjano , vadhakapaccāmitto viya abaladubbalā pañcakkhandhā, vadhakapaccāmittassa ‘‘bālagahapatiputtaṃ upaṭṭhahissāmī’’ti upagatakālo viya paṭisandhikkhaṇe upagatā pañcakkhandhā, tassa hi ‘‘na me ayaṃ sahāyo, vadhakapaccatthiko aya’’nti ajānanakālo viya vaṭṭanissitaputhujjanassa pañcakkhandhe ‘‘na ime mayha’’nti agahetvā ‘‘mama rūpaṃ, mama vedanā, mama saññā, mama saṅkhārā, mama viññāṇa’’nti gahitakālo, vadhakapaccatthikassa ‘‘mitto me aya’’nti gahetvā sakkārakaraṇakālo viya ‘‘mama ime’’ti gahetvā pañcannaṃ khandhānaṃ nhāpanabhojanādīhi sakkārakaraṇakālo, ‘‘ativissattho me aya’’nti ñatvā sakkāraṃ karontasseva asinā sīsacchindanaṃ viya vissatthassa bālaputhujjanassa tikhiṇehi bhijjamānehi khandhehi jīvitapariyādānaṃ veditabbaṃ.
อุเปตีติ อุปคจฺฉติฯ อุปาทิยตีติ คณฺหาติฯ อธิฎฺฐาตีติ อธิติฎฺฐติฯ อตฺตา เมติ อยํ เม อตฺตาติฯ สุตวา จ โข, อาวุโส, อริยสาวโกติ ยถา ปน ปณฺฑิโต คหปติปุโตฺต เอวํ อุปคตํ ปจฺจตฺถิกํ ‘‘ปจฺจตฺถิโก เม อย’’นฺติ ญตฺวา อปฺปมโตฺต ตานิ ตานิ กมฺมานิ กาเรตฺวา อนตฺถํ ปริหรติ, อตฺถํ ปาปุณาติ, เอวํ สุตวา อริยสาวโกปิ ‘‘น รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’’ติอาทินา นเยน ปญฺจกฺขเนฺธ อหนฺติ วา มมนฺติ วา อคเหตฺวา, ‘‘ปจฺจตฺถิกา เม เอเต’’ติ ญตฺวา รูปสตฺตกอรูปสตฺตกาทิวเสน วิปสฺสนาย โยเชตฺวาว ตโตนิทานํ ทุกฺขํ ปริวเชฺชตฺวา อคฺคผลํ อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ ตติยํฯ
Upetīti upagacchati. Upādiyatīti gaṇhāti. Adhiṭṭhātīti adhitiṭṭhati. Attā meti ayaṃ me attāti. Sutavā ca kho, āvuso, ariyasāvakoti yathā pana paṇḍito gahapatiputto evaṃ upagataṃ paccatthikaṃ ‘‘paccatthiko me aya’’nti ñatvā appamatto tāni tāni kammāni kāretvā anatthaṃ pariharati, atthaṃ pāpuṇāti, evaṃ sutavā ariyasāvakopi ‘‘na rūpaṃ attato samanupassatī’’tiādinā nayena pañcakkhandhe ahanti vā mamanti vā agahetvā, ‘‘paccatthikā me ete’’ti ñatvā rūpasattakaarūpasattakādivasena vipassanāya yojetvāva tatonidānaṃ dukkhaṃ parivajjetvā aggaphalaṃ arahattaṃ pāpuṇāti. Sesamettha uttānameva. Tatiyaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๓. ยมกสุตฺตํ • 3. Yamakasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๓. ยมกสุตฺตวณฺณนา • 3. Yamakasuttavaṇṇanā