Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๙. ยญฺญสุตฺตวณฺณนา
9. Yaññasuttavaṇṇanā
๑๒๐. นวเม ถูณูปนีตานีติ ถูณํ อุปนีตานิ, ถูณาย พทฺธานิ โหนฺติฯ ปริกมฺมานิ กโรนฺตีติ เอตฺตาวตา เตหิ ภิกฺขูหิ รโญฺญ อารทฺธยโญฺญ ตถาคตสฺส อาโรจิโตฯ กสฺมา ปน รญฺญา อยํ ยโญฺญ อารโทฺธ? ทุสฺสุปินปฎิฆาตายฯ เอกทิวสํ กิร ราชา สพฺพาลงฺการปฺปฎิมณฺฑิโต หตฺถิกฺขนฺธวรคโต นครํ อนุสญฺจรโนฺต วาตปานํ วิวริตฺวา โอโลกยมานํ เอกํ อิตฺถิํ ทิสฺวา ตสฺสา ปฎิพทฺธจิโตฺต ตโตว ปฎินิวตฺติตฺวา อเนฺตปุรํ ปวิสิตฺวา เอกสฺส ปุริสสฺส ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘คจฺฉ ตสฺสา สสฺสามิกภาวํ วา อสฺสามิกภาวํ วา ชานาหี’’ติ เปเสสิฯ โส คนฺตฺวา ปุจฺฉิฯ สา ‘‘เอโส เม สามิโก อาปเณ นิสิโนฺน’’ติ ทเสฺสสิฯ ราชปุริโส รโญฺญ ตมตฺถํ อาจิกฺขิฯ ราชา ตํ ปุริสํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘มํ อุปฎฺฐหา’’ติ อาหฯ ‘‘นาหํ, เทว, อุปฎฺฐหิตุํ ชานามี’’ติ จ วุเตฺต ‘‘อุปฎฺฐานํ นาม น อาจริยสฺส สนฺติเก อุคฺคเหตพฺพ’’นฺติ พลกฺกาเรน อาวุธผลกํ คาหาเปตฺวา อุปฎฺฐากํ อกาสิฯ อุปฎฺฐหิตฺวา เคหํ คตมตฺตเมว จ นํ ปุน ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อุปฎฺฐาเกน นาม รโญฺญ วจนํ กตฺตพฺพํ, คจฺฉ อิโต โยชนมเตฺต อมฺหากํ สีสโธวนโปกฺขรณี อตฺถิ, ตโต อรุณมตฺติกญฺจ โลหิตุปฺปลมาลญฺจ คณฺหิตฺวา เอหิฯ สเจ อเชฺชว นาคจฺฉสิ, ราชทณฺฑํ กริสฺสามี’’ติ วตฺวา เปเสสิฯ โส ราชภเยน นิกฺขมิตฺวา คโตฯ
120. Navame thūṇūpanītānīti thūṇaṃ upanītāni, thūṇāya baddhāni honti. Parikammāni karontīti ettāvatā tehi bhikkhūhi rañño āraddhayañño tathāgatassa ārocito. Kasmā pana raññā ayaṃ yañño āraddho? Dussupinapaṭighātāya. Ekadivasaṃ kira rājā sabbālaṅkārappaṭimaṇḍito hatthikkhandhavaragato nagaraṃ anusañcaranto vātapānaṃ vivaritvā olokayamānaṃ ekaṃ itthiṃ disvā tassā paṭibaddhacitto tatova paṭinivattitvā antepuraṃ pavisitvā ekassa purisassa tamatthaṃ ārocetvā ‘‘gaccha tassā sassāmikabhāvaṃ vā assāmikabhāvaṃ vā jānāhī’’ti pesesi. So gantvā pucchi. Sā ‘‘eso me sāmiko āpaṇe nisinno’’ti dassesi. Rājapuriso rañño tamatthaṃ ācikkhi. Rājā taṃ purisaṃ pakkosāpetvā ‘‘maṃ upaṭṭhahā’’ti āha. ‘‘Nāhaṃ, deva, upaṭṭhahituṃ jānāmī’’ti ca vutte ‘‘upaṭṭhānaṃ nāma na ācariyassa santike uggahetabba’’nti balakkārena āvudhaphalakaṃ gāhāpetvā upaṭṭhākaṃ akāsi. Upaṭṭhahitvā gehaṃ gatamattameva ca naṃ puna pakkosāpetvā ‘‘upaṭṭhākena nāma rañño vacanaṃ kattabbaṃ, gaccha ito yojanamatte amhākaṃ sīsadhovanapokkharaṇī atthi, tato aruṇamattikañca lohituppalamālañca gaṇhitvā ehi. Sace ajjeva nāgacchasi, rājadaṇḍaṃ karissāmī’’ti vatvā pesesi. So rājabhayena nikkhamitvā gato.
ราชาปิ ตสฺมิํ คเต โทวาริกํ ปโกฺกสาเปตฺวา, ‘‘อชฺช สายเนฺหเยว ทฺวารํ ปิทหิตฺวา ‘อหํ ราชทูโต’ติ วา ‘อุปราชทูโต’ติ วา ภณนฺตานมฺปิ มา วิวรี’’ติ อาหฯ โส ปุริโส มตฺติกญฺจ อุปฺปลานิ จ คเหตฺวา ทฺวาเร ปิหิตมเตฺต อาคนฺตฺวา พหุํ วทโนฺตปิ ทฺวารํ อลภิตฺวา ปริสฺสยภเยน เชตวนํ คโตฯ ราชาปิ ราคปริฬาเหน อภิภูโต กาเล นิสีทติ, กาเล ติฎฺฐติ, กาเล นิปชฺชติ, สนฺนิฎฺฐานํ อลภโนฺต ยตฺถ กตฺถจิ นิสินฺนโกว มกฺกฎนิทฺทาย นิทฺทายติฯ
Rājāpi tasmiṃ gate dovārikaṃ pakkosāpetvā, ‘‘ajja sāyanheyeva dvāraṃ pidahitvā ‘ahaṃ rājadūto’ti vā ‘uparājadūto’ti vā bhaṇantānampi mā vivarī’’ti āha. So puriso mattikañca uppalāni ca gahetvā dvāre pihitamatte āgantvā bahuṃ vadantopi dvāraṃ alabhitvā parissayabhayena jetavanaṃ gato. Rājāpi rāgapariḷāhena abhibhūto kāle nisīdati, kāle tiṭṭhati, kāle nipajjati, sanniṭṭhānaṃ alabhanto yattha katthaci nisinnakova makkaṭaniddāya niddāyati.
ปุเพฺพ จ ตสฺมิํเยว นคเร จตฺตาโร เสฎฺฐิปุตฺตา ปรทาริกกมฺมํ กตฺวา นโนฺทปนนฺทาย นาม โลหกุมฺภิยา นิพฺพตฺติํสุฯ เต เผณุเทฺทหกํ ปจฺจมานา ติํสวสฺสสหสฺสานิ เหฎฺฐา คจฺฉนฺตา กุมฺภิยา ตลํ ปาปุณนฺติ, ติํสวสฺสสหสฺสานิ อุปริ คจฺฉนฺตา มตฺถกํ ปาปุณนฺติฯ เต ตํ ทิวสํ อาโลกํ โอโลเกตฺวา อตฺตโน ทุกฺกฎภเยน เอเกกํ คาถํ วตฺตุกามา วตฺตุํ อสโกฺกนฺตา เอเกกํ อกฺขรเมว อาหํสุฯ เอโก ส-การํ, เอโก โส-การํ, เอโก น-การํ, เอโก ทุ-การํ อาหฯ ราชา เตสํ เนรยิกสตฺตานํ สทฺทํ สุตกาลโต ปฎฺฐาย สุขํ อวินฺทมาโนว ตํรตฺตาวเสสํ วีตินาเมสิฯ
Pubbe ca tasmiṃyeva nagare cattāro seṭṭhiputtā paradārikakammaṃ katvā nandopanandāya nāma lohakumbhiyā nibbattiṃsu. Te pheṇuddehakaṃ paccamānā tiṃsavassasahassāni heṭṭhā gacchantā kumbhiyā talaṃ pāpuṇanti, tiṃsavassasahassāni upari gacchantā matthakaṃ pāpuṇanti. Te taṃ divasaṃ ālokaṃ oloketvā attano dukkaṭabhayena ekekaṃ gāthaṃ vattukāmā vattuṃ asakkontā ekekaṃ akkharameva āhaṃsu. Eko sa-kāraṃ, eko so-kāraṃ, eko na-kāraṃ, eko du-kāraṃ āha. Rājā tesaṃ nerayikasattānaṃ saddaṃ sutakālato paṭṭhāya sukhaṃ avindamānova taṃrattāvasesaṃ vītināmesi.
อรุเณ อุฎฺฐิเต ปุโรหิโต อาคนฺตฺวา ตํ สุขเสยฺยํ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘กุโต เม, อาจริย, สุข’’นฺติ ? วตฺวา, ‘‘สุปิเน เอวรูเป สเทฺท อโสฺสสิ’’นฺติ อาจิกฺขิฯ พฺราหฺมโณ – ‘‘อิมสฺส รโญฺญ อิมินา สุปิเนน วุฑฺฒิ วา หานิ วา นตฺถิ, อปิจ โข ปน ยํ อิมสฺส เคเห อตฺถิ, ตํ สมณสฺส โคตมสฺส โหติ, โคตมสาวกานํ โหติ, พฺราหฺมณา กิญฺจิ น ลภนฺติ, พฺราหฺมณานํ ภิกฺขํ อุปฺปาเทสฺสามี’’ติ, ‘‘ภาริโย อยํ, มหาราช, สุปิโน ตีสุ ชานีสุ เอกา ปญฺญายติ, รชฺชนฺตราโย วา ภวิสฺสติ ชีวิตนฺตราโย วา, เทโว วา น วสฺสิสฺสตี’’ติ อาหฯ กถํ โสตฺถิ ภเวยฺย อาจริยาติ? ‘‘มเนฺตตฺวา ญาตุํ สกฺกา, มหาราชาติฯ คจฺฉถ อาจริเยหิ สทฺธิํ มเนฺตตฺวา อมฺหากํ โสตฺถิํ กโรถา’’ติฯ
Aruṇe uṭṭhite purohito āgantvā taṃ sukhaseyyaṃ pucchi. So ‘‘kuto me, ācariya, sukha’’nti ? Vatvā, ‘‘supine evarūpe sadde assosi’’nti ācikkhi. Brāhmaṇo – ‘‘imassa rañño iminā supinena vuḍḍhi vā hāni vā natthi, apica kho pana yaṃ imassa gehe atthi, taṃ samaṇassa gotamassa hoti, gotamasāvakānaṃ hoti, brāhmaṇā kiñci na labhanti, brāhmaṇānaṃ bhikkhaṃ uppādessāmī’’ti, ‘‘bhāriyo ayaṃ, mahārāja, supino tīsu jānīsu ekā paññāyati, rajjantarāyo vā bhavissati jīvitantarāyo vā, devo vā na vassissatī’’ti āha. Kathaṃ sotthi bhaveyya ācariyāti? ‘‘Mantetvā ñātuṃ sakkā, mahārājāti. Gacchatha ācariyehi saddhiṃ mantetvā amhākaṃ sotthiṃ karothā’’ti.
โส สิวิกสาลายํ พฺราหฺมเณ สนฺนิปาเตตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา, ‘‘วิสุํ วิสุํ คนฺตฺวา เอวํ วทถา’’ติ ตโย วเคฺค อกาสิ ฯ พฺราหฺมณา ปวิสิตฺวา ราชานํ สุขเสยฺยํ ปุจฺฉิํสุฯ ราชา ปุโรหิตสฺส กถิตนิยาเมเนว กเถตฺวา ‘‘กถํ โสตฺถิ ภเวยฺยา’’ติ ปุจฺฉิฯ มหาพฺราหฺมณา – ‘‘สพฺพปญฺจสตํ ยญฺญํ ยชิตฺวา เอตสฺส กมฺมสฺส โสตฺถิ ภเวยฺย, เอวํ, มหาราช, อาจริยา กเถนฺตี’’ติ อาหํสุฯ ราชา เตสํ สุตฺวา อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฎิโกฺกสิตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ อถ ทุติยวคฺคพฺราหฺมณาปิ อาคนฺตฺวา ตเตฺถว กเถสุํฯ ตถา ตติยวคฺคพฺราหฺมณาปิฯ อถ ราชา ‘‘ยญฺญํ กโรนฺตู’’ติ อาณาเปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย พฺราหฺมณา อุสภาทโย ปาเณ อาหราเปสุํฯ นคเร มหาสโทฺท อุทปาทิ ฯ ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา มลฺลิกา ราชานํ ตถาคตสฺส สนฺติกํ เปเสสิฯ โส คนฺตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ อถ นํ ภควา – ‘‘หนฺท กุโต นุ ตฺวํ, มหาราช, อาคจฺฉสิ ทิวาทิวสฺสา’’ติ อาหฯ ราชา – ‘‘อชฺช เม, ภเนฺต, สุปินเก จตฺตาโร สทฺทา สุตา, โสหํ พฺราหฺมเณ ปุจฺฉิํฯ พฺราหฺมณา ‘ภาริโย, มหาราช, สุปิโน, สพฺพปญฺจสตํ ยญฺญํ ยชิตฺวา ปฎิกมฺมํ กโรมาติ อารทฺธา’’’ติ อาหฯ กินฺติ เต, มหาราช, สทฺทา สุตาติฯ โส ยถาสุตํ อาโรเจสิฯ อถ นํ ภควา อาห – ปุเพฺพ, มหาราช, อิมสฺมิํเยว นคเร จตฺตาโร เสฎฺฐิปุตฺตา ปรทาริกา หุตฺวา นโนฺทปนนฺทาย โลหกุมฺภิยา นิพฺพตฺตา สฎฺฐิวสฺสสหสฺสมตฺถเก อุคฺคจฺฉิํสุฯ
So sivikasālāyaṃ brāhmaṇe sannipātetvā tamatthaṃ ārocetvā, ‘‘visuṃ visuṃ gantvā evaṃ vadathā’’ti tayo vagge akāsi . Brāhmaṇā pavisitvā rājānaṃ sukhaseyyaṃ pucchiṃsu. Rājā purohitassa kathitaniyāmeneva kathetvā ‘‘kathaṃ sotthi bhaveyyā’’ti pucchi. Mahābrāhmaṇā – ‘‘sabbapañcasataṃ yaññaṃ yajitvā etassa kammassa sotthi bhaveyya, evaṃ, mahārāja, ācariyā kathentī’’ti āhaṃsu. Rājā tesaṃ sutvā anabhinanditvā appaṭikkositvā tuṇhī ahosi. Atha dutiyavaggabrāhmaṇāpi āgantvā tattheva kathesuṃ. Tathā tatiyavaggabrāhmaṇāpi. Atha rājā ‘‘yaññaṃ karontū’’ti āṇāpesi. Tato paṭṭhāya brāhmaṇā usabhādayo pāṇe āharāpesuṃ. Nagare mahāsaddo udapādi . Taṃ pavattiṃ ñatvā mallikā rājānaṃ tathāgatassa santikaṃ pesesi. So gantvā bhagavantaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Atha naṃ bhagavā – ‘‘handa kuto nu tvaṃ, mahārāja, āgacchasi divādivassā’’ti āha. Rājā – ‘‘ajja me, bhante, supinake cattāro saddā sutā, sohaṃ brāhmaṇe pucchiṃ. Brāhmaṇā ‘bhāriyo, mahārāja, supino, sabbapañcasataṃ yaññaṃ yajitvā paṭikammaṃ karomāti āraddhā’’’ti āha. Kinti te, mahārāja, saddā sutāti. So yathāsutaṃ ārocesi. Atha naṃ bhagavā āha – pubbe, mahārāja, imasmiṃyeva nagare cattāro seṭṭhiputtā paradārikā hutvā nandopanandāya lohakumbhiyā nibbattā saṭṭhivassasahassamatthake uggacchiṃsu.
ตตฺถ เอโก –
Tattha eko –
‘‘สฎฺฐิวสฺสสหสฺสานิ, ปริปุณฺณานิ สพฺพโส;
‘‘Saṭṭhivassasahassāni, paripuṇṇāni sabbaso;
นิรเย ปจฺจมานานํ, กทา อโนฺต ภวิสฺสตี’’ติฯ(เป. ว. ๘๐๒; ชา. ๑.๔.๕๔) –
Niraye paccamānānaṃ, kadā anto bhavissatī’’ti.(pe. va. 802; jā. 1.4.54) –
อิมํ คาถํ วตฺถุกาโม อโหสิฯ ทุติโย –
Imaṃ gāthaṃ vatthukāmo ahosi. Dutiyo –
‘‘โสหํ นูน อิโต คนฺตฺวา, โยนิํ ลทฺธาน มานุสิํ;
‘‘Sohaṃ nūna ito gantvā, yoniṃ laddhāna mānusiṃ;
วทญฺญู สีลสมฺปโนฺน, กาหามิ กุสลํ พหุ’’นฺติฯ (เป. ว. ๘๐๕; ชา. ๑.๔.๕๖) –
Vadaññū sīlasampanno, kāhāmi kusalaṃ bahu’’nti. (pe. va. 805; jā. 1.4.56) –
อิมํ คาถํ วตฺถุกาโม อโหสิฯ ตติโย –
Imaṃ gāthaṃ vatthukāmo ahosi. Tatiyo –
‘‘นตฺถิ อโนฺต กุโต อโนฺต, น อโนฺต ปฎิทิสฺสติ;
‘‘Natthi anto kuto anto, na anto paṭidissati;
ตทา หิ ปกตํ ปาปํ, มม ตุยฺหญฺจ มาริสา’’ติฯ (เป. ว. ๘๐๓; ชา. ๑.๔.๕๕) –
Tadā hi pakataṃ pāpaṃ, mama tuyhañca mārisā’’ti. (pe. va. 803; jā. 1.4.55) –
อิมํ คาถํ วตฺถุกาโม อโหสิฯ จตุโตฺถ –
Imaṃ gāthaṃ vatthukāmo ahosi. Catuttho –
‘‘ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา, เย สเนฺต น ททมฺหเส;
‘‘Dujjīvitamajīvimhā, ye sante na dadamhase;
วิชฺชมาเนสุ โภเคสุ, ทีปํ นากมฺห อตฺตโน’’ติฯ (เป. ว. ๘๐๔; ชา. ๑.๔.๕๓) –
Vijjamānesu bhogesu, dīpaṃ nākamha attano’’ti. (pe. va. 804; jā. 1.4.53) –
อิมํ ฯ เต อิมา คาถา วตฺตุํ อสโกฺกนฺตา เอเกกํ อกฺขรํ วตฺวา ตเตฺถว นิมุคฺคาฯ อิติ, มหาราช, เต เนรยิกสตฺตา ยถากเมฺมน วิรวิํสุฯ ตสฺส สทฺทสฺส สุตปจฺจยา ตุยฺหํ หานิ วา วุฑฺฒิ วา นตฺถิฯ เอตฺตกานํ ปน ปสูนํ ฆาตนกมฺมํ นาม ภาริยนฺติ นิรยภเยน ตเชฺชตฺวา ธมฺมกถํ กเถสิฯ ราชา ทสพเล ปสีทิตฺวา, ‘‘มุญฺจามิ, เนสํ ชีวิตํ ททามิ, หริตานิ เจว ติณานิ ขาทนฺตุ, สีตลานิ จ ปานียานิ ปิวนฺตุ, สีโต จ เนสํ วาโต อุปวายตู’’ติ วตฺวา, ‘‘คจฺฉถ หาเรถา’’ติ มนุเสฺส อาณาเปสิฯ เต คนฺตฺวา พฺราหฺมเณ ปลาเปตฺวา ตํ ปาณสงฺฆํ พนฺธนโต โมเจตฺวา นคเร ธมฺมเภริํ จราเปสุํฯ
Imaṃ . Te imā gāthā vattuṃ asakkontā ekekaṃ akkharaṃ vatvā tattheva nimuggā. Iti, mahārāja, te nerayikasattā yathākammena viraviṃsu. Tassa saddassa sutapaccayā tuyhaṃ hāni vā vuḍḍhi vā natthi. Ettakānaṃ pana pasūnaṃ ghātanakammaṃ nāma bhāriyanti nirayabhayena tajjetvā dhammakathaṃ kathesi. Rājā dasabale pasīditvā, ‘‘muñcāmi, nesaṃ jīvitaṃ dadāmi, haritāni ceva tiṇāni khādantu, sītalāni ca pānīyāni pivantu, sīto ca nesaṃ vāto upavāyatū’’ti vatvā, ‘‘gacchatha hārethā’’ti manusse āṇāpesi. Te gantvā brāhmaṇe palāpetvā taṃ pāṇasaṅghaṃ bandhanato mocetvā nagare dhammabheriṃ carāpesuṃ.
อถ ราชา ทสพลสฺส สนฺติเก นิสิโนฺน อาห – ‘‘ภเนฺต, เอกรตฺติ นาม ติยามา โหติ, มยฺหํ ปน อชฺช เทฺว รตฺติโย เอกโต ฆฎิตา วิย อเหสุ’’นฺติฯ โสปิ ปุริโส ตเตฺถว นิสิโนฺน อาห – ‘‘ภเนฺต, โยชนํ นาม จตุคาวุตํ โหติ, มยฺหํ ปน อชฺช เทฺว โยชนานิ เอกโต กตานิ วิย อเหสุ’’นฺติฯ อถ ภควา – ‘‘ชาครสฺส ตาว รตฺติยา ทีฆภาโว ปากโฎ, สนฺตสฺส โยชนสฺส ทีฆภาโว ปากโฎ, วฎฺฎปติตสฺส ปน พาลปุถุชฺชนสฺส อนมตคฺคสํสารวฎฺฎํ เอกนฺตทีฆเมวา’’ติ ราชานญฺจ ตญฺจ ปุริสํ เนรยิกสเตฺต จ อารพฺภ ธมฺมปเท อิมํ คาถํ อภาสิ –
Atha rājā dasabalassa santike nisinno āha – ‘‘bhante, ekaratti nāma tiyāmā hoti, mayhaṃ pana ajja dve rattiyo ekato ghaṭitā viya ahesu’’nti. Sopi puriso tattheva nisinno āha – ‘‘bhante, yojanaṃ nāma catugāvutaṃ hoti, mayhaṃ pana ajja dve yojanāni ekato katāni viya ahesu’’nti. Atha bhagavā – ‘‘jāgarassa tāva rattiyā dīghabhāvo pākaṭo, santassa yojanassa dīghabhāvo pākaṭo, vaṭṭapatitassa pana bālaputhujjanassa anamataggasaṃsāravaṭṭaṃ ekantadīghamevā’’ti rājānañca tañca purisaṃ nerayikasatte ca ārabbha dhammapade imaṃ gāthaṃ abhāsi –
‘‘ทีฆา ชาครโต รตฺติ, ทีฆํ สนฺตสฺส โยชนํ;
‘‘Dīghā jāgarato ratti, dīghaṃ santassa yojanaṃ;
ทีโฆ พาลานํ สํสาโร, สทฺธมฺมํ อวิชานต’’นฺติฯ (ธ. ป. ๖๐);
Dīgho bālānaṃ saṃsāro, saddhammaṃ avijānata’’nti. (dha. pa. 60);
คาถาปริโยสาเน โส อิตฺถิสามิโก ปุริโส โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ การณํ ชานิตฺวาฯ
Gāthāpariyosāne so itthisāmiko puriso sotāpattiphale patiṭṭhahi. Etamatthaṃ viditvāti etaṃ kāraṇaṃ jānitvā.
อสฺสเมธนฺติอาทีสุ – โปราณราชกาเล กิร สสฺสเมธํ ปุริสเมธํ สมฺมาปาสํ วาจาเปยฺยนฺติ จตฺตาริ สงฺคหวตฺถูนิ อเหสุํ, เยหิ ราชาโน โลกํ สงฺคณฺหิํสุฯ ตตฺถ นิปฺผนฺนสสฺสโต ทสมภาคคฺคหณํ สสฺสเมธํ นาม, สสฺสสมฺปาทเน เมธาวิตาติ อโตฺถฯ มหาโยธานํ ฉมาสิกํ ภตฺต-เวตนานุปฺปทานํ ปุริสเมธํ นาม, ปุริสสงฺคณฺหเน เมธาวิตาติ อโตฺถฯ ทลิทฺทมนุสฺสานํ หตฺถโต เลขํ คเหตฺวา ตีณิ วสฺสานิ วินาว วฑฺฒิยา สหสฺสทฺวิสหสฺสมตฺตธนานุปฺปทานํ สมฺมาปาสํ นามฯ ตญฺหิ สมฺมา มนุเสฺส ปาเสติ, หทเย พนฺธิตฺวา วิย ฐเปติ, ตสฺมา สมฺมาปาสนฺติ วุจฺจติฯ ‘‘ตาต มาตุลา’’ติอาทินา นเยน สณฺหวาจาภณนํ วาจาเปยฺยํ นาม, ปิยวาจาติ อโตฺถฯ เอวํ จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ สงฺคหิตํ รฎฺฐํ อิทฺธเญฺจว โหติ ผีตญฺจ ปหูตอนฺนปานํ เขมํ นิรพฺพุทํฯ มนุสฺสา มุทา โมทมานา อุเร ปุเตฺต นเจฺจนฺตา อปารุตฆรทฺวารา วิหรนฺติฯ อิทํ ฆรทฺวาเรสุ อคฺคฬานํ อภาวโต นิรคฺคฬนฺติ วุจฺจติฯ อยํ โปราณิกา ปเวณีฯ
Assamedhantiādīsu – porāṇarājakāle kira sassamedhaṃ purisamedhaṃ sammāpāsaṃ vācāpeyyanti cattāri saṅgahavatthūni ahesuṃ, yehi rājāno lokaṃ saṅgaṇhiṃsu. Tattha nipphannasassato dasamabhāgaggahaṇaṃ sassamedhaṃ nāma, sassasampādane medhāvitāti attho. Mahāyodhānaṃ chamāsikaṃ bhatta-vetanānuppadānaṃ purisamedhaṃ nāma, purisasaṅgaṇhane medhāvitāti attho. Daliddamanussānaṃ hatthato lekhaṃ gahetvā tīṇi vassāni vināva vaḍḍhiyā sahassadvisahassamattadhanānuppadānaṃ sammāpāsaṃ nāma. Tañhi sammā manusse pāseti, hadaye bandhitvā viya ṭhapeti, tasmā sammāpāsanti vuccati. ‘‘Tāta mātulā’’tiādinā nayena saṇhavācābhaṇanaṃ vācāpeyyaṃ nāma, piyavācāti attho. Evaṃ catūhi saṅgahavatthūhi saṅgahitaṃ raṭṭhaṃ iddhañceva hoti phītañca pahūtaannapānaṃ khemaṃ nirabbudaṃ. Manussā mudā modamānā ure putte naccentā apārutagharadvārā viharanti. Idaṃ gharadvāresu aggaḷānaṃ abhāvato niraggaḷanti vuccati. Ayaṃ porāṇikā paveṇī.
อปรภาเค ปน โอกฺกากราชกาเล พฺราหฺมณา อิมานิ จตฺตาริ สงฺคหวตฺถูนิ อิมญฺจ รฎฺฐสมฺปตฺติํ ปริวเตฺตตฺวา อุทฺธํมูลกํ กตฺวา อสฺสเมธํ ปุริสเมธนฺติ อาทิเก ปญฺจ ยเญฺญ นาม อกํสุฯ เตสุ อสฺสเมตฺถ เมธนฺติ วธนฺตีติ อสฺสเมโธฯ ทฺวีหิ ปริยเญฺญหิ ยชิตพฺพสฺส เอกวีสติยูปสฺส เอกสฺมิํ มชฺฌิมทิวเสเยว สตฺตนวุติปญฺจปสุสตฆาตภิํสนสฺส ฐเปตฺวา ภูมิญฺจ ปุริเส จ อวเสสสพฺพวิภวทกฺขิณสฺส ยญฺญเสฺสตํ อธิวจนํฯ ปุริสเมตฺถ เมธนฺตีติ ปุริสเมโธฯ จตูหิ ปริยเญฺญหิ ยชิตพฺพสฺส สทฺธิํ ภูมิยา อสฺสเมเธ วุตฺตวิภวทกฺขิณสฺส ยญฺญเสฺสตํ อธิวจนํฯ สมฺมเมตฺถ ปาเสนฺตีติ สมฺมาปาโสฯ ทิวเส ทิวเส สมฺมํ ขิปิตฺวา ตสฺส ปติโตกาเส เวทิํ กตฺวา สํหาริเมหิ ยูปาทีหิ สรสฺสตินทิยา นิมุโคฺคกาสโต ปภุติ ปฎิโลมํ คจฺฉเนฺตน ยชิตพฺพสฺส สตฺรยาคเสฺสตํ อธิวจนํฯ วาชเมตฺถ ปิวนฺตีติ วาชเปโยฺยฯ เอเกน ปริยเญฺญน สตฺตรสหิ ปสูหิ ยชิตพฺพสฺส เพลุวยูปสฺส สตฺตรสกทกฺขิณสฺส ยญฺญเสฺสตํ อธิวจนํฯ นตฺถิ เอตฺถ อคฺคฬาติ นิรคฺคโฬฯ นวหิ ปริยเญฺญหิ ยชิตพฺพสฺส สทฺธิํ ภูมิยา จ ปุริเสหิ จ อสฺสเมเธ วุตฺตวิภวทกฺขิณสฺส สพฺพเมธปริยายนามสฺส อสฺสเมธวิกปฺปเสฺสเวตํ อธิวจนํฯ มหารมฺภาติ มหากิจฺจา มหากรณียาฯ สมฺมคฺคตาติ สมฺมา ปฎิปนฺนา พุทฺธาทโยฯ นิรารมฺภาติ อปฺปตฺถา อปฺปกิจฺจาฯ ยชนฺติ อนุกุลนฺติ อนุกุเลสุ ยชนฺติ, ยํ นิจฺจภตฺตาทิ ปุพฺพปุริเสหิ ปฎฺฐปิตํ, ตํ อปราปรํ อนุปจฺฉินฺนตฺตา มนุสฺสา ททนฺตีติ อโตฺถฯ นวมํฯ
Aparabhāge pana okkākarājakāle brāhmaṇā imāni cattāri saṅgahavatthūni imañca raṭṭhasampattiṃ parivattetvā uddhaṃmūlakaṃ katvā assamedhaṃ purisamedhanti ādike pañca yaññe nāma akaṃsu. Tesu assamettha medhanti vadhantīti assamedho. Dvīhi pariyaññehi yajitabbassa ekavīsatiyūpassa ekasmiṃ majjhimadivaseyeva sattanavutipañcapasusataghātabhiṃsanassa ṭhapetvā bhūmiñca purise ca avasesasabbavibhavadakkhiṇassa yaññassetaṃ adhivacanaṃ. Purisamettha medhantīti purisamedho. Catūhi pariyaññehi yajitabbassa saddhiṃ bhūmiyā assamedhe vuttavibhavadakkhiṇassa yaññassetaṃ adhivacanaṃ. Sammamettha pāsentīti sammāpāso. Divase divase sammaṃ khipitvā tassa patitokāse vediṃ katvā saṃhārimehi yūpādīhi sarassatinadiyā nimuggokāsato pabhuti paṭilomaṃ gacchantena yajitabbassa satrayāgassetaṃ adhivacanaṃ. Vājamettha pivantīti vājapeyyo. Ekena pariyaññena sattarasahi pasūhi yajitabbassa beluvayūpassa sattarasakadakkhiṇassa yaññassetaṃ adhivacanaṃ. Natthi ettha aggaḷāti niraggaḷo. Navahi pariyaññehi yajitabbassa saddhiṃ bhūmiyā ca purisehi ca assamedhe vuttavibhavadakkhiṇassa sabbamedhapariyāyanāmassa assamedhavikappassevetaṃ adhivacanaṃ. Mahārambhāti mahākiccā mahākaraṇīyā. Sammaggatāti sammā paṭipannā buddhādayo. Nirārambhāti appatthā appakiccā. Yajanti anukulanti anukulesu yajanti, yaṃ niccabhattādi pubbapurisehi paṭṭhapitaṃ, taṃ aparāparaṃ anupacchinnattā manussā dadantīti attho. Navamaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๙. ยญฺญสุตฺตํ • 9. Yaññasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๙. ยญฺญสุตฺตวณฺณนา • 9. Yaññasuttavaṇṇanā