Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
๓. ยุธญฺชยวโคฺค
3. Yudhañjayavaggo
๑. ยุธญฺชยจริยาวณฺณนา
1. Yudhañjayacariyāvaṇṇanā
๑. ตติยวคฺคสฺส ปฐเม อมิตยโสติ อปริมิตปริวารวิภโวฯ ราชปุโตฺต ยุธญฺชโยติ รมฺมนคเร สพฺพทตฺตสฺส นาม รโญฺญ ปุโตฺต นาเมน ยุธญฺชโย นามฯ
1. Tatiyavaggassa paṭhame amitayasoti aparimitaparivāravibhavo. Rājaputto yudhañjayoti rammanagare sabbadattassa nāma rañño putto nāmena yudhañjayo nāma.
อยญฺหิ พาราณสี อุทยชาตเก (ชา. ๑.๑๑.๓๗ อาทโย) สุรุนฺธนนครํ นาม ชาตาฯ จูฬสุตโสมชาตเก (ชา. ๒.๑๗.๑๙๕ อาทโย) สุทสฺสนํ นาม, โสณนนฺทชาตเก (ชา. ๒.๒๐.๙๒ อาทโย) พฺรหฺมวฑฺฒนํ นาม, ขณฺฑหาลชาตเก(ชา. ๒.๒๒.๙๘๒ อาทโย) ปุปฺผวตี นาม, อิมสฺมิํ ปน ยุธญฺชยชาตเก (ชา. ๑.๑๑.๗๓ อาทโย) รมฺมนครํ นาม อโหสิ, เอวมสฺส กทาจิ นามํ ปริวตฺตติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ราชปุโตฺตติ รมฺมนคเร สพฺพทตฺตสฺส นาม รโญฺญ ปุโตฺต’’ติฯ ตสฺส ปน รโญฺญ ปุตฺตสหสฺสํ อโหสิฯ โพธิสโตฺต เชฎฺฐปุโตฺต, ตสฺส ราชา อุปรชฺชํ อทาสิฯ โส เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว ทิวเส ทิวเส มหาทานํ ปวเตฺตสิฯ เอวํ คจฺฉเนฺต กาเล โพธิสโตฺต เอกทิวสํ ปาโตว รถวรํ อภิรุหิตฺวา มหเนฺตน สิริวิภเวน อุยฺยานกีฬํ คจฺฉโนฺต รุกฺขคฺคติณคฺคสาขคฺคมกฺกฎกสุตฺตชาลาทีสุ มุตฺตาชาลากาเรน ลเคฺค อุสฺสาวพินฺทู ทิสฺวา ‘‘สมฺม สารถิ, กิํ นาเมต’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เอเต, เทว, หิมสมเย ปตนกอุสฺสาวพินฺทู นามา’’ติ สุตฺวา ทิวสภาคํ อุยฺยาเน กีฬิตฺวา สายนฺหกาเล ปจฺจาคจฺฉโนฺต เต อทิสฺวา ‘‘สมฺม สารถิ, กหํ เต อุสฺสาวพินฺทู, น เต อิทานิ ปสฺสามี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เทว, สูริเย อุคฺคจฺฉเนฺต สเพฺพ ภิชฺชิตฺวา วิลยํ คจฺฉนฺตี’’ติ สุตฺวา ‘‘ยถา อิเม อุปฺปชฺชิตฺวา ภิชฺชนฺติ, เอวํ อิเมสํ สตฺตานํ ชีวิตสงฺขาราปิ ติณเคฺค อุสฺสาวพินฺทุสทิสาว, ตสฺมา มยา พฺยาธิชรามรเณหิ อปีฬิเตเนว มาตาปิตโร อาปุจฺฉิตฺวา ปพฺพชิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อุสฺสาวพินฺทุเมว อารมฺมณํ กตฺวา อาทิเตฺต วิย ตโย ภเว ปสฺสโนฺต อตฺตโน เคหํ อาคนฺตฺวา อลงฺกตปฎิยตฺตาย วินิจฺฉยสาลาย นิสินฺนสฺส ปิตุ สนฺติกเมว คนฺตฺวา ปิตรํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ เตน วุตฺตํ –
Ayañhi bārāṇasī udayajātake (jā. 1.11.37 ādayo) surundhananagaraṃ nāma jātā. Cūḷasutasomajātake (jā. 2.17.195 ādayo) sudassanaṃ nāma, soṇanandajātake (jā. 2.20.92 ādayo) brahmavaḍḍhanaṃ nāma, khaṇḍahālajātake(jā. 2.22.982 ādayo) pupphavatī nāma, imasmiṃ pana yudhañjayajātake (jā. 1.11.73 ādayo) rammanagaraṃ nāma ahosi, evamassa kadāci nāmaṃ parivattati. Tena vuttaṃ – ‘‘rājaputtoti rammanagare sabbadattassa nāma rañño putto’’ti. Tassa pana rañño puttasahassaṃ ahosi. Bodhisatto jeṭṭhaputto, tassa rājā uparajjaṃ adāsi. So heṭṭhā vuttanayeneva divase divase mahādānaṃ pavattesi. Evaṃ gacchante kāle bodhisatto ekadivasaṃ pātova rathavaraṃ abhiruhitvā mahantena sirivibhavena uyyānakīḷaṃ gacchanto rukkhaggatiṇaggasākhaggamakkaṭakasuttajālādīsu muttājālākārena lagge ussāvabindū disvā ‘‘samma sārathi, kiṃ nāmeta’’nti pucchitvā ‘‘ete, deva, himasamaye patanakaussāvabindū nāmā’’ti sutvā divasabhāgaṃ uyyāne kīḷitvā sāyanhakāle paccāgacchanto te adisvā ‘‘samma sārathi, kahaṃ te ussāvabindū, na te idāni passāmī’’ti pucchitvā ‘‘deva, sūriye uggacchante sabbe bhijjitvā vilayaṃ gacchantī’’ti sutvā ‘‘yathā ime uppajjitvā bhijjanti, evaṃ imesaṃ sattānaṃ jīvitasaṅkhārāpi tiṇagge ussāvabindusadisāva, tasmā mayā byādhijarāmaraṇehi apīḷiteneva mātāpitaro āpucchitvā pabbajituṃ vaṭṭatī’’ti ussāvabindumeva ārammaṇaṃ katvā āditte viya tayo bhave passanto attano gehaṃ āgantvā alaṅkatapaṭiyattāya vinicchayasālāya nisinnassa pitu santikameva gantvā pitaraṃ vanditvā ekamantaṃ ṭhito pabbajjaṃ yāci. Tena vuttaṃ –
‘‘อุสฺสาวพินฺทุํ สูริยาตเป, ปติตํ ทิสฺวาน สํวิชิํฯ
‘‘Ussāvabinduṃ sūriyātape, patitaṃ disvāna saṃvijiṃ.
๒.
2.
‘‘ตเญฺญวาธิปติํ กตฺวา, สํเวคมนุพฺรูหยิํ;
‘‘Taññevādhipatiṃ katvā, saṃvegamanubrūhayiṃ;
มาตาปิตู จ วนฺทิตฺวา, ปพฺพชฺชมนุยาจห’’นฺติฯ
Mātāpitū ca vanditvā, pabbajjamanuyācaha’’nti.
ตตฺถ สูริยาตเปติ สูริยาตปเหตุ, สูริยรสฺมิสมฺผสฺสนิมิตฺตํฯ ‘‘สูริยาตเปนา’’ติปิ ปาโฐฯ ปติตํ ทิสฺวานาติ วินฎฺฐํ ปสฺสิตฺวา, ปุเพฺพ รุกฺขคฺคาทีสุ มุตฺตาชาลาทิอากาเรน ลคฺคํ หุตฺวา ทิสฺสมานํ สูริยรสฺมิสมฺผเสฺสน วินฎฺฐํ ปญฺญาจกฺขุนา โอโลเกตฺวาฯ สํวิชินฺติ ยถา เอตานิ, เอวํ สตฺตานํ ชีวิตานิปิ ลหุํ ลหุํ ภิชฺชมานสภาวานีติ อนิจฺจตามนสิการวเสน สํเวคมาปชฺชิํฯ
Tattha sūriyātapeti sūriyātapahetu, sūriyarasmisamphassanimittaṃ. ‘‘Sūriyātapenā’’tipi pāṭho. Patitaṃ disvānāti vinaṭṭhaṃ passitvā, pubbe rukkhaggādīsu muttājālādiākārena laggaṃ hutvā dissamānaṃ sūriyarasmisamphassena vinaṭṭhaṃ paññācakkhunā oloketvā. Saṃvijinti yathā etāni, evaṃ sattānaṃ jīvitānipi lahuṃ lahuṃ bhijjamānasabhāvānīti aniccatāmanasikāravasena saṃvegamāpajjiṃ.
ตเญฺญวาธิปติํ กตฺวา, สํเวคมนุพฺรูหยินฺติ ตเญฺญว อุสฺสาวพินฺทูนํ อนิจฺจตํ อธิปติํ มุขํ ปุพฺพงฺคมํ ปุเรจาริกํ กตฺวา ตเถว สพฺพสงฺขารานํ อิตฺตรฎฺฐิติกตํ ปริตฺตกาลตํ มนสิกโรโนฺต เอกวารํ อุปฺปนฺนํ สํเวคํ ปุนปฺปุนํ อุปฺปาทเนน อนุวเฑฺฒสิํฯ ปพฺพชฺชมนุยาจหนฺติ ‘‘ติณเคฺค อุสฺสาวพินฺทู วิย น จิรฎฺฐิติเก สตฺตานํ ชีวิเต มยา พฺยาธิชรามรเณหิ อนภิภูเตเนว ปพฺพชิตฺวา ยตฺถ เอตานิ น สนฺติ, ตํ อมตํ มหานิพฺพานํ คเวสิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา มาตาปิตโร อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ปพฺพชฺชํ เม อนุชานาถา’’ติ เต อหํ ปพฺพชฺชํ ยาจิํฯ เอวํ มหาสเตฺตน ปพฺพชฺชาย ยาจิตาย สกลนคเร มหนฺตํ โกลาหลมโหสิ – ‘‘อุปราชา กิร ยุธญฺชโย ปพฺพชิตุกาโม’’ติ ฯ
Taññevādhipatiṃ katvā, saṃvegamanubrūhayinti taññeva ussāvabindūnaṃ aniccataṃ adhipatiṃ mukhaṃ pubbaṅgamaṃ purecārikaṃ katvā tatheva sabbasaṅkhārānaṃ ittaraṭṭhitikataṃ parittakālataṃ manasikaronto ekavāraṃ uppannaṃ saṃvegaṃ punappunaṃ uppādanena anuvaḍḍhesiṃ. Pabbajjamanuyācahanti ‘‘tiṇagge ussāvabindū viya na ciraṭṭhitike sattānaṃ jīvite mayā byādhijarāmaraṇehi anabhibhūteneva pabbajitvā yattha etāni na santi, taṃ amataṃ mahānibbānaṃ gavesitabba’’nti cintetvā mātāpitaro upasaṅkamitvā vanditvā ‘‘pabbajjaṃ me anujānāthā’’ti te ahaṃ pabbajjaṃ yāciṃ. Evaṃ mahāsattena pabbajjāya yācitāya sakalanagare mahantaṃ kolāhalamahosi – ‘‘uparājā kira yudhañjayo pabbajitukāmo’’ti .
เตน จ สมเยน กาสิรฎฺฐวาสิโน ราชานํ ทฎฺฐุํ อาคนฺตฺวา รมฺมเก ปฎิวสนฺติฯ เต สเพฺพปิ สนฺนิปติํสุฯ อิติ สปริโส ราชา เนคมา เจว ชานปทา จ โพธิสตฺตสฺส มาตา เทวี จ สเพฺพ จ โอโรธา มหาสตฺตํ ‘‘มา โข ตฺวํ, ตาต กุมาร, ปพฺพชี’’ติ นิวาเรสุํฯ ตตฺถ ราชา ‘‘สเจ เต กาเมหิ อูนํ, อหํ เต ปริปูรยามิ, อเชฺชว รชฺชํ ปฎิปชฺชาหี’’ติ อาหฯ ตสฺส มหาสโตฺต –
Tena ca samayena kāsiraṭṭhavāsino rājānaṃ daṭṭhuṃ āgantvā rammake paṭivasanti. Te sabbepi sannipatiṃsu. Iti sapariso rājā negamā ceva jānapadā ca bodhisattassa mātā devī ca sabbe ca orodhā mahāsattaṃ ‘‘mā kho tvaṃ, tāta kumāra, pabbajī’’ti nivāresuṃ. Tattha rājā ‘‘sace te kāmehi ūnaṃ, ahaṃ te paripūrayāmi, ajjeva rajjaṃ paṭipajjāhī’’ti āha. Tassa mahāsatto –
‘‘มา มํ เทว นิวาเรหิ, ปพฺพชนฺตํ รเถสภ;
‘‘Mā maṃ deva nivārehi, pabbajantaṃ rathesabha;
มาหํ กาเมหิ สมฺมโตฺต, ชราย วสมนฺวคู’’ติฯ (ชา. ๑.๑๑.๗๗) –
Māhaṃ kāmehi sammatto, jarāya vasamanvagū’’ti. (jā. 1.11.77) –
อตฺตโน ปพฺพชฺชาฉนฺทเมว วตฺวา ตํ สุตฺวา สทฺธิํ โอโรเธหิ มาตุยา กรุณํ ปริเทวนฺติยา –
Attano pabbajjāchandameva vatvā taṃ sutvā saddhiṃ orodhehi mātuyā karuṇaṃ paridevantiyā –
‘‘อุสฺสาโวว ติณคฺคมฺหิ, สูริยุคฺคมนํ ปติ;
‘‘Ussāvova tiṇaggamhi, sūriyuggamanaṃ pati;
เอวมายุ มนุสฺสานํ, มา มํ อมฺม นิวารยา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๑.๗๙) –
Evamāyu manussānaṃ, mā maṃ amma nivārayā’’ti. (jā. 1.11.79) –
อตฺตโน ปพฺพชฺชาการณํ กเถตฺวา นานปฺปการํ เตหิ ยาจิยมาโนปิ อภิสํวฑฺฒมานสํเวคตฺตา อโนสกฺกิตมานโส ปิยตเร มหติ ญาติปริวเฎฺฎ อุฬาเร ราชิสฺสริเย จ นิรเปกฺขจิโตฺต ปพฺพชิฯ เตน วุตฺตํ –
Attano pabbajjākāraṇaṃ kathetvā nānappakāraṃ tehi yāciyamānopi abhisaṃvaḍḍhamānasaṃvegattā anosakkitamānaso piyatare mahati ñātiparivaṭṭe uḷāre rājissariye ca nirapekkhacitto pabbaji. Tena vuttaṃ –
๓.
3.
‘‘ยาจนฺติ มํ ปญฺชลิกา, สเนคมา สรฎฺฐกา;
‘‘Yācanti maṃ pañjalikā, sanegamā saraṭṭhakā;
อเชฺชว ปุตฺต ปฎิปชฺช, อิทฺธํ ผีตํ มหามหิํฯ
Ajjeva putta paṭipajja, iddhaṃ phītaṃ mahāmahiṃ.
๔.
4.
‘‘สราชเก สโหโรเธ, สเนคเม สรฎฺฐเก;
‘‘Sarājake sahorodhe, sanegame saraṭṭhake;
กรุณํ ปริเทวเนฺต, อนเปโกฺข ปริจฺจชิ’’นฺติฯ
Karuṇaṃ paridevante, anapekkho pariccaji’’nti.
ตตฺถ ปญฺชลิกาติ ปคฺคหิตอญฺชลิกาฯ สเนคมา สรฎฺฐกาติ เนคเมหิ เจว รฎฺฐวาสีหิ จ สทฺธิํ สเพฺพ ราชปุริสา ‘‘มา โข, ตฺวํ เทว, ปพฺพชี’’ติ มํ ยาจนฺติฯ มาตาปิตโร ปน อเชฺชว ปุตฺต ปฎิปชฺช, คามนิคมราชธานิอภิวุทฺธิยา เวปุลฺลปฺปตฺติยา จ, อิทฺธํ วิภวสารสมฺปตฺติยา สสฺสาทินิปฺผตฺติยา จ, ผีตํ อิมํ มหามหิํ อนุสาส, ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา รชฺชํ กาเรหีติ ยาจนฺติฯ เอวํ ปน สห รญฺญาติ สราชเก, ตถา สโหโรเธ สเนคเม สรฎฺฐเก มหาชเน ยถา สุณนฺตานมฺปิ ปเคว ปสฺสนฺตานํ มหนฺตํ การุญฺญํ โหติ, เอวํ กรุณํ ปริเทวเนฺต ตตฺถ ตตฺถ อนเปโกฺข อลคฺคจิโตฺต ‘‘อหํ ตทา ปพฺพชิ’’นฺติ ทเสฺสติฯ
Tattha pañjalikāti paggahitaañjalikā. Sanegamā saraṭṭhakāti negamehi ceva raṭṭhavāsīhi ca saddhiṃ sabbe rājapurisā ‘‘mā kho, tvaṃ deva, pabbajī’’ti maṃ yācanti. Mātāpitaro pana ajjeva putta paṭipajja, gāmanigamarājadhāniabhivuddhiyā vepullappattiyā ca, iddhaṃ vibhavasārasampattiyā sassādinipphattiyā ca, phītaṃ imaṃ mahāmahiṃ anusāsa, chattaṃ ussāpetvā rajjaṃ kārehīti yācanti. Evaṃ pana saha raññāti sarājake, tathā sahorodhe sanegame saraṭṭhake mahājane yathā suṇantānampi pageva passantānaṃ mahantaṃ kāruññaṃ hoti, evaṃ karuṇaṃ paridevante tattha tattha anapekkho alaggacitto ‘‘ahaṃ tadā pabbaji’’nti dasseti.
๕-๖. อิทานิ ยทตฺถํ จกฺกวตฺติสิริสทิสํ รชฺชสิริํ ปิยตเร ญาติพนฺธเว ปหาย สินิทฺธํ ปริคฺคหปริชนํ โลกาภิมตํ มหนฺตํ ยสญฺจ นิรเปโกฺข ปริจฺจชินฺติ ทเสฺสตุํ เทฺว คาถา อภาสิฯ
5-6. Idāni yadatthaṃ cakkavattisirisadisaṃ rajjasiriṃ piyatare ñātibandhave pahāya siniddhaṃ pariggahaparijanaṃ lokābhimataṃ mahantaṃ yasañca nirapekkho pariccajinti dassetuṃ dve gāthā abhāsi.
ตตฺถ เกวลนฺติ อนวเสสํ อิตฺถาคารํ สมุทฺทปริยนฺตญฺจ ปถวิํ ปพฺพชฺชาธิปฺปาเยน จชมาโน เอวํ เม สมฺมาสโมฺพธิ สกฺกา อธิคนฺตุนฺติ โพธิยาเยว การณา น กิญฺจิ จิเนฺตสิํ, น ตตฺถ อีสกํ ลคฺคํ ชเนสินฺติ อโตฺถฯ ตสฺมาติ ยสฺมา มาตาปิตโร ตญฺจ มหายสํ รชฺชญฺจ เม น เทสฺสํ , ปิยเมว, ตโต ปน สตคุเณน สหสฺสคุเณน สตสหสฺสคุเณน สพฺพญฺญุตญฺญาณเมว มยฺหํ ปิยตรํ, ตสฺมา มาตาทีหิ สทฺธิํ รชฺชํ อหํ ตทา ปริจฺจชินฺติฯ
Tattha kevalanti anavasesaṃ itthāgāraṃ samuddapariyantañca pathaviṃ pabbajjādhippāyena cajamāno evaṃ me sammāsambodhi sakkā adhigantunti bodhiyāyeva kāraṇā na kiñci cintesiṃ, na tattha īsakaṃ laggaṃ janesinti attho. Tasmāti yasmā mātāpitaro tañca mahāyasaṃ rajjañca me na dessaṃ, piyameva, tato pana sataguṇena sahassaguṇena satasahassaguṇena sabbaññutaññāṇameva mayhaṃ piyataraṃ, tasmā mātādīhi saddhiṃ rajjaṃ ahaṃ tadā pariccajinti.
ตเทตํ สพฺพํ ปริจฺจชิตฺวา ปพฺพชฺชาย มหาสเตฺต นิกฺขมเนฺต ตสฺส กนิฎฺฐภาตา ยุธิฎฺฐิลกุมาโร นาม ปิตรํ วนฺทิตฺวา ปพฺพชฺชํ อนุชานาเปตฺวา โพธิสตฺตํ อนุพนฺธิฯ เต อุโภปิ นครา นิกฺขมฺม มหาชนํ นิวเตฺตตฺวา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา มโนรเม ฐาเน อสฺสมปทํ กตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ฌานาภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา วนมูลผลาทีหิ ยาวชีวํ ยาเปตฺวา พฺรหฺมโลกปรายนา อเหสุํฯ เตนาห ภควา –
Tadetaṃ sabbaṃ pariccajitvā pabbajjāya mahāsatte nikkhamante tassa kaniṭṭhabhātā yudhiṭṭhilakumāro nāma pitaraṃ vanditvā pabbajjaṃ anujānāpetvā bodhisattaṃ anubandhi. Te ubhopi nagarā nikkhamma mahājanaṃ nivattetvā himavantaṃ pavisitvā manorame ṭhāne assamapadaṃ katvā isipabbajjaṃ pabbajitvā jhānābhiññāyo nibbattetvā vanamūlaphalādīhi yāvajīvaṃ yāpetvā brahmalokaparāyanā ahesuṃ. Tenāha bhagavā –
‘‘อุโภ กุมารา ปพฺพชิตา, ยุธญฺชโย ยุธิฎฺฐิโล;
‘‘Ubho kumārā pabbajitā, yudhañjayo yudhiṭṭhilo;
ปหาย มาตาปิตโร, สงฺคํ เฉตฺวาน มจฺจุโน’’ติฯ (ชา. ๑.๑๑.๘๓);
Pahāya mātāpitaro, saṅgaṃ chetvāna maccuno’’ti. (jā. 1.11.83);
ตตฺถ สงฺคํ เฉตฺวาน มจฺจุโนติ มจฺจุมารสฺส สหการิการณภูตตฺตา สนฺตกํ ราคโทสโมหสงฺคํ วิกฺขมฺภนวเสน ฉินฺทิตฺวา อุโภปิ ปพฺพชิตาติฯ
Tattha saṅgaṃ chetvāna maccunoti maccumārassa sahakārikāraṇabhūtattā santakaṃ rāgadosamohasaṅgaṃ vikkhambhanavasena chinditvā ubhopi pabbajitāti.
ตทา มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ อเหสุํ, ยุธิฎฺฐิลกุมาโร อานนฺทเตฺถโร, ยุธญฺชโย โลกนาโถฯ
Tadā mātāpitaro mahārājakulāni ahesuṃ, yudhiṭṭhilakumāro ānandatthero, yudhañjayo lokanātho.
ตสฺส ปพฺพชฺชโต ปุเพฺพ ปวตฺติตมหาทานานิ เจว รชฺชาทิปริจฺจาโค จ ทานปารมี, กายวจีสํวโร สีลปารมี, ปพฺพชฺชา จ ฌานาธิคโม จ เนกฺขมฺมปารมี, อนิจฺจโต มนสิการํ อาทิํ กตฺวา อภิญฺญาธิคมปริโยสานา ปญฺญา ทานาทีนํ อุปการานุปการธมฺมปริคฺคณฺหนปญฺญา จ ปญฺญาปารมี, สพฺพตฺถ ตทตฺถสาธนํ วีริยํ วีริยปารมี , ญาณขนฺติ อธิวาสนขนฺติ จ ขนฺติปารมี, ปฎิญฺญาย อวิสํวาทนํ สจฺจปารมี, สพฺพตฺถ อจลสมาทานาธิฎฺฐานํ อธิฎฺฐานปารมี, สพฺพสเตฺตสุ หิตจิตฺตตาย เมตฺตาพฺรหฺมวิหารวเสน จ เมตฺตาปารมี, สตฺตสงฺขารกตวิปฺปการอุเปกฺขนวเสน อุเปกฺขาพฺรหฺมวิหารวเสน จ อุเปกฺขาปารมีติ ทส ปารมิโย ลพฺภนฺติฯ วิเสสโต ปน เนกฺขมฺมปารมีติ เวทิตพฺพาฯ ตถา อกิตฺติจริยายํ วิย อิธาปิ มหาปุริสสฺส อจฺฉริยคุณา ยถารหํ นิทฺธาเรตพฺพาฯ เตน วุจฺจติ ‘‘เอวํ อจฺฉริยา เหเต, อพฺภุตา จ มเหสิโน…เป.… ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต’’ติฯ
Tassa pabbajjato pubbe pavattitamahādānāni ceva rajjādipariccāgo ca dānapāramī, kāyavacīsaṃvaro sīlapāramī, pabbajjā ca jhānādhigamo ca nekkhammapāramī, aniccato manasikāraṃ ādiṃ katvā abhiññādhigamapariyosānā paññā dānādīnaṃ upakārānupakāradhammapariggaṇhanapaññā ca paññāpāramī, sabbattha tadatthasādhanaṃ vīriyaṃ vīriyapāramī , ñāṇakhanti adhivāsanakhanti ca khantipāramī, paṭiññāya avisaṃvādanaṃ saccapāramī, sabbattha acalasamādānādhiṭṭhānaṃ adhiṭṭhānapāramī, sabbasattesu hitacittatāya mettābrahmavihāravasena ca mettāpāramī, sattasaṅkhārakatavippakāraupekkhanavasena upekkhābrahmavihāravasena ca upekkhāpāramīti dasa pāramiyo labbhanti. Visesato pana nekkhammapāramīti veditabbā. Tathā akitticariyāyaṃ viya idhāpi mahāpurisassa acchariyaguṇā yathārahaṃ niddhāretabbā. Tena vuccati ‘‘evaṃ acchariyā hete, abbhutā ca mahesino…pe… dhammassa anudhammato’’ti.
ยุธญฺชยจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Yudhañjayacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๑. ยุธญฺชยจริยา • 1. Yudhañjayacariyā