Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Saṁyutta Nikāya, English translation |
สํยุตฺต นิกาย ๑๒ฯ๓๒
The Related Suttas Collection 12.32
๔ฯ กฬารขตฺติยวคฺค
4. Kaḷāra the Aristocrat
กฬารสุตฺต
With Kaḷāra the Aristocrat
สาวตฺถิยํ วิหรติฯ
At Sāvatthī.
อถ โข กฬารขตฺติโย ภิกฺขุ เยนายสฺมา สาริปุตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา สาริปุตฺเตน สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข กฬารขตฺติโย ภิกฺขุ อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ: “โมฬิยผคฺคุโน, อาวุโส สาริปุตฺต, ภิกฺขุ สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย หีนายาวตฺโต”ติฯ
Then the bhikkhu Kaḷāra the Aristocrat went up to Venerable Sāriputta and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to him, “Friend Sāriputta, the bhikkhu Phagguna of the Top-Knot has resigned the training and returned to a lesser life.”
“น หิ นูน โส อายสฺมา อิมสฺมึ ธมฺมวินเย อสฺสาสมลตฺถา”ติฯ
“That venerable mustn’t have got any satisfaction in this teaching and training.”
“เตน หายสฺมา สาริปุตฺโต อิมสฺมึ ธมฺมวินเย อสฺสาสํ ปตฺโต”ติ?
“Well then, has Venerable Sāriputta found satisfaction in this teaching and training?”
“น ขฺวาหํ, อาวุโส, กงฺขามี”ติฯ
“Friend, I have no uncertainty.”
“อายตึ, ปนาวุโส”ติ?
“But what of the future?”
“น ขฺวาหํ, อาวุโส, วิจิกิจฺฉามี”ติฯ
“I have no doubt.”
อถ โข กฬารขตฺติโย ภิกฺขุ อุฏฺฐายาสนา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข กฬารขตฺติโย ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อายสฺมตา, ภนฺเต, สาริปุตฺเตน อญฺญา พฺยากตา: ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานามี”ติฯ
Then Kaḷāra the Aristocrat went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “Sir, Venerable Sāriputta has declared enlightenment: ‘I understand: “Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.”’”
อถ โข ภควา อญฺญตรํ ภิกฺขุํ อามนฺเตสิ: “เอหิ ตฺวํ, ภิกฺขุ, มม วจเนน สาริปุตฺตํ อามนฺเตหิ: ‘สตฺถา ตํ, อาวุโส สาริปุตฺต, อามนฺเตตี'”ติฯ
So the Buddha addressed a certain monk, “Please, monk, in my name tell Sāriputta that the teacher summons him.”
“เอวํ, ภนฺเต”ติ โข โส ภิกฺขุ ภควโต ปฏิสฺสุตฺวา เยนายสฺมา สาริปุตฺโต เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ เอตทโวจ: “สตฺถา ตํ, อาวุโส สาริปุตฺต, อามนฺเตตี”ติฯ
“Yes, sir,” that monk replied. He went to Sāriputta and said to him, “Friend Sāriputta, the teacher summons you.”
“เอวํ, อาวุโส”ติ โข อายสฺมา สาริปุตฺโต ตสฺส ภิกฺขุโน ปฏิสฺสุตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข อายสฺมนฺตํ สาริปุตฺตํ ภควา เอตทโวจ: “สจฺจํ กิร ตยา, สาริปุตฺต, อญฺญา พฺยากตา: ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานามี”ติ?
“Yes, friend,” replied Sāriputta. He went to the Buddha, bowed, and sat down to one side. The Buddha said to him, “Sāriputta, is it really true that you have declared enlightenment: ‘I understand: “Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence”’?”
“น โข, ภนฺเต, เอเตหิ ปเทหิ เอเตหิ พฺยญฺชเนหิ อตฺโถ วุตฺโต”ติฯ
“Sir, I did not state the matter in these words and phrases.”
“เยน เกนจิปิ, สาริปุตฺต, ปริยาเยน กุลปุตฺโต อญฺญํ พฺยากโรติ, อถ โข พฺยากตํ พฺยากตโต ทฏฺฐพฺพนฺ”ติฯ
“Sāriputta, no matter how a gentleman declares enlightenment, what he has declared should be regarded as such.”
“นนุ อหมฺปิ, ภนฺเต, เอวํ วทามิ: ‘น โข, ภนฺเต, เอเตหิ ปเทหิ เอเตหิ พฺยญฺชเนหิ อตฺโถ วุตฺโต'”ติฯ
“Sir, did I not also say that I did not state the matter in these words and phrases?”
“สเจ ตํ, สาริปุตฺต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘กถํ ชานตา ปน ตยา, อาวุโส สาริปุตฺต, กถํ ปสฺสตา อญฺญา พฺยากตา—ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานามี'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐ ตฺวํ, สาริปุตฺต, กินฺติ พฺยากเรยฺยาสี”ติ?
“Sāriputta, suppose they were to ask you: ‘But Friend Sāriputta, how have you known and seen so that you’ve declared enlightenment: “I understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’”’ How would you answer?”
“สเจ มํ, ภนฺเต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘กถํ ชานตา ปน ตยา, อาวุโส สาริปุตฺต, กถํ ปสฺสตา อญฺญา พฺยากตา—ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานามี'ติ; เอวํ ปุฏฺโฐหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยํ: ‘ยํนิทานา, อาวุโส, ชาติ, ตสฺส นิทานสฺส ขยา ขีณสฺมึ ขีณามฺหีติ วิทิตํฯ ขีณามฺหีติ วิทิตฺวา—ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานามี'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยนฺ”ติฯ
“Sir, if they were to ask me this, I would answer: ‘Friends, because of the ending of the source of rebirth, when it ended, I knew “it is ended”. Knowing this, I understand: “Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.”’ That’s how I’d answer such a question.”
“สเจ ปน ตํ, สาริปุตฺต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘ชาติ ปนาวุโส สาริปุตฺต, กึนิทานา กึสมุทยา กึชาติกา กึปภวา'ติ? เอวํ ปุฏฺโฐ ตํ, สาริปุตฺต, กินฺติ พฺยากเรยฺยาสี”ติ?
“But Sāriputta, suppose they were to ask you: ‘But what is the source, origin, birthplace, and inception of rebirth?’ How would you answer?”
“สเจ มํ, ภนฺเต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘ชาติ ปนาวุโส สาริปุตฺต, กึนิทานา กึสมุทยา กึชาติกา กึปภวา'ติ? เอวํ ปุฏฺโฐหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยํ: ‘ชาติ โข, อาวุโส, ภวนิทานา ภวสมุทยา ภวชาติกา ภวปฺปภวา'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยนฺ”ติฯ
“Sir, if they were to ask me this, I would answer: ‘Continued existence is the source, origin, birthplace, and inception of rebirth.’ That’s how I’d answer such a question.”
“สเจ ปน ตํ, สาริปุตฺต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘ภโว ปนาวุโส สาริปุตฺต, กึนิทาโน กึสมุทโย กึชาติโก กึปภโว'ติ? เอวํ ปุฏฺโฐ ตฺวํ, สาริปุตฺต, กินฺติ พฺยากเรยฺยาสี”ติ?
“But Sāriputta, suppose they were to ask you: ‘What is the source of continued existence?’ How would you answer?”
“สเจ มํ, ภนฺเต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘ภโว ปนาวุโส สาริปุตฺต, กึนิทาโน กึสมุทโย กึชาติโก กึปภโว'ติ? เอวํ ปุฏฺโฐหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยํ: ‘ภโว โข, อาวุโส, อุปาทานนิทาโน อุปาทานสมุทโย อุปาทานชาติโก อุปาทานปฺปภโว'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยนฺ”ติฯ
“Sir, if they were to ask me this, I’d answer: ‘Grasping is the source of continued existence.’ That’s how I’d answer such a question.”
“สเจ ปน ตํ, สาริปุตฺต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘อุปาทานํ ปนาวุโส …เป… สเจ ปน ตํ, สาริปุตฺต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ—ตณฺหา ปนาวุโส สาริปุตฺต, กึนิทานา กึสมุทยา กึชาติกา กึปภวา'ติ? เอวํ ปุฏฺโฐ ตฺวํ, สาริปุตฺต, กินฺติ พฺยากเรยฺยาสี”ติ?
“But Sāriputta, suppose they were to ask you: ‘What is the source of grasping?’ … But Sāriputta, suppose they were to ask you: ‘What is the source of craving?’ How would you answer?”
“สเจ มํ, ภนฺเต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘ตณฺหา ปนาวุโส สาริปุตฺต, กึนิทานา กึสมุทยา กึชาติกา กึปภวา'ติ? เอวํ ปุฏฺโฐหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยํ: ‘ตณฺหา โข, อาวุโส, เวทนานิทานา เวทนาสมุทยา เวทนาชาติกา เวทนาปภวา'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยนฺ”ติฯ
“Sir, if they were to ask me this, I’d answer: ‘Feeling is the source of craving.’ That’s how I’d answer such a question.”
“สเจ ปน ตํ, สาริปุตฺต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘กถํ ชานโต ปน เต, อาวุโส สาริปุตฺต, กถํ ปสฺสโต ยา เวทนาสุ นนฺที สา น อุปฏฺฐาสี'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐ ตฺวํ, สาริปุตฺต, กินฺติ พฺยากเรยฺยาสี”ติ?
“But Sāriputta, suppose they were to ask you: ‘But how have you known and seen so that the relishing of feelings is no longer present?’ How would you answer?”
“สเจ มํ, ภนฺเต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘กถํ ชานโต ปน เต, อาวุโส สาริปุตฺต, กถํ ปสฺสโต ยา เวทนาสุ นนฺที สา น อุปฏฺฐาสี'ติ เอวํ ปุฏฺโฐหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยํ: ‘ติโสฺส โข อิมา, อาวุโส, เวทนาฯ กตมา ติโสฺส? สุขา เวทนา, ทุกฺขา เวทนา, อทุกฺขมสุขา เวทนาฯ อิมา โข, อาวุโส, ติโสฺส เวทนา อนิจฺจาฯ ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขนฺติ วิทิตํ, ยา เวทนาสุ นนฺที สา น อุปฏฺฐาสี'ติฯ เอวํ, ปุฏฺโฐหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยนฺ”ติฯ
“Sir, if they were to ask me this, I’d answer: ‘Friends, there are three feelings. What three? Pleasant, painful, and neutral feeling. These three feelings are impermanent, and what’s impermanent is suffering. When I understood this, the relishing of feelings was no longer present.’ That’s how I’d answer such a question.”
“สาธุ สาธุ, สาริปุตฺตฯ อยมฺปิ โข, สาริปุตฺต, ปริยาโย, เอตเสฺสว อตฺถสฺส สงฺขิตฺเตน เวยฺยากรณาย: ‘ยํ กิญฺจิ เวทยิตํ ตํ ทุกฺขสฺมินฺ'”ติฯ
“Good, good, Sāriputta! The same point may also be briefly explained in this way: ‘Suffering includes whatever is felt.’
“สเจ ปน ตํ, สาริปุตฺต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘กถํ วิโมกฺขา ปน ตยา, อาวุโส สาริปุตฺต, อญฺญา พฺยากตา—ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานามี'ติ? เอวํ ปุฏฺโฐ ตฺวํ, สาริปุตฺต, กินฺติ พฺยากเรยฺยาสี”ติ?
But Sāriputta, suppose they were to ask you: ‘But Friend, how have you been released that you declare enlightenment: “I understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’”?’ How would you answer?”
“สเจ มํ, ภนฺเต, เอวํ ปุจฺเฉยฺยุํ: ‘กถํ วิโมกฺขา ปน ตยา, อาวุโส สาริปุตฺต, อญฺญา พฺยากตา—ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานามี'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยํ: ‘อชฺฌตฺตํ วิโมกฺขา ขฺวาหํ, อาวุโส, สพฺพุปาทานกฺขยา ตถา สโต วิหรามิ ยถา สตํ วิหรนฺตํ อาสวา นานุสฺสวนฺติ, อตฺตานญฺจ นาวชานามี'ติฯ เอวํ ปุฏฺโฐหํ, ภนฺเต, เอวํ พฺยากเรยฺยนฺ”ติฯ
“Sir, if they were to ask me this, I’d answer: ‘Because of an inner release with the ending of all grasping, I live mindfully so that defilements don’t defile me and I don’t look down on myself.’ That’s how I’d answer such a question.”
“สาธุ สาธุ, สาริปุตฺตฯ อยมฺปิ โข สาริปุตฺต, ปริยาโย เอตเสฺสว อตฺถสฺส สงฺขิตฺเตน เวยฺยากรณาย—เย อาสวา สมเณน วุตฺตา เตสฺวาหํ น กงฺขามิ, เต เม ปหีนาติ น วิจิกิจฺฉามี”ติฯ
“Good, good, Sāriputta! The same point may also be briefly explained in this way: ‘I have no uncertainty regarding the defilements spoken of by the ascetic. I have no doubt that I’ve given them up.’”
อิทมโวจ ภควาฯ อิทํ วตฺวา สุคโต อุฏฺฐายาสนา วิหารํ ปาวิสิฯ
That is what the Buddha said. When he had spoken, the Holy One got up from his seat and entered his dwelling.
ตตฺร โข อายสฺมา สาริปุตฺโต อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ปุพฺเพ อปฺปฏิสํวิทิตํ มํ, อาวุโส, ภควา ปฐมํ ปญฺหํ อปุจฺฉิ, ตสฺส เม อโหสิ ทนฺธายิตตฺตํฯ ยโต จ โข เม, อาวุโส, ภควา ปฐมํ ปญฺหํ อนุโมทิ, ตสฺส มยฺหํ, อาวุโส, เอตทโหสิ—ทิวสญฺเจปิ มํ ภควา เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺย อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิ, ทิวสมฺปาหํ ภควโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺยํ อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิฯ รตฺติญฺเจปิ มํ ภควา เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺย อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิ, รตฺติมฺปาหํ ภควโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺยํ อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิฯ รตฺตินฺทิวํ เจปิ มํ ภควา เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺย อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิ, รตฺตินฺทิวมฺปาหํ ภควโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺยํ อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิฯ เทฺว รตฺตินฺทิวานิ เจปิ มํ ภควา เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺย …เป… เทฺว รตฺตินฺทิวานิปาหํ ภควโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺยํ …เป… ตีณิ รตฺตินฺทิวานิ เจปิ มํ ภควา เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺย …เป… ตีณิ รตฺตินฺทิวานิปาหํ ภควโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺยํ …เป… จตฺตาริ รตฺตินฺทิวานิ เจปิ มํ ภควา เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺย …เป… จตฺตาริ รตฺตินฺทิวานิปาหํ ภควโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺยํ …เป… ปญฺจ รตฺตินฺทิวานิ เจปิ มํ ภควา เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺย …เป… ปญฺจ รตฺตินฺทิวานิปาหํ ภควโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺยํ …เป… ฉ รตฺตินฺทิวานิ เจปิ มํ ภควา เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺย …เป… ฉ รตฺตินฺทิวานิปาหํ ภควโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺยํ …เป… สตฺต รตฺตินฺทิวานิ เจปิ มํ ภควา เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺย อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิ, สตฺต รตฺตินฺทิวานิปาหํ ภควโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺยํ อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหี”ติฯ
Then soon after the Buddha left, Venerable Sāriputta said to the bhikkhus, “Friends, the first question that the Buddha asked me was something that I’d not previously considered, so I hesitated. But when the Buddha agreed with my answer, I thought: ‘If the Buddha were to question me all day on this matter in different words and ways, I could answer all day with different words and ways. If he were to question me all night, all day and night, for two days and nights, for three, four, five, six, or seven days and nights, I could answer in different words and ways for seven days and nights.’”
อถ โข กฬารขตฺติโย ภิกฺขุ อุฏฺฐายาสนา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข กฬารขตฺติโย ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อายสฺมตา, ภนฺเต, สาริปุตฺเตน สีหนาโท นทิโต—ปุพฺเพ อปฺปฏิสํวิทิตํ มํ, อาวุโส, ภควา ปฐมํ ปญฺหํ อปุจฺฉิ, ตสฺส เม อโหสิ ทนฺธายิตตฺตํฯ ยโต จ โข เม, อาวุโส, ภควา ปฐมํ ปญฺหํ อนุโมทิ, ตสฺส มยฺหํ, อาวุโส, เอตทโหสิ—ทิวสญฺเจปิ มํ ภควา เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺย อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิ, ทิวสมฺปาหํ ภควโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺยํ อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิ; รตฺติญฺเจปิ …เป… รตฺตินฺทิวญฺเจปิ มํ ภควา …เป… เทฺว รตฺตินฺทิวานิ เจปิ มํ ภควา …เป… ตีณิ … จตฺตาริ … ปญฺจ … ฉ … สตฺต รตฺตินฺทิวานิ เจปิ มํ ภควา เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺย อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิ, สตฺต รตฺตินฺทิวานิปาหํ ภควโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺยํ อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหี”ติฯ
Then Kaḷāra the Aristocrat went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “Sir, Venerable Sāriputta has roared his lion’s roar!” (And he told the Buddha all that Sāriputta had said.)
“สา หิ, ภิกฺขุ, สาริปุตฺตสฺส ธมฺมธาตุ สุปฺปฏิวิทฺธา, ยสฺสา ธมฺมธาตุยา สุปฺปฏิวิทฺธตฺตา ทิวสํ เจปาหํ สาริปุตฺตํ เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺยํ อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิ, ทิวสมฺปิ เม สาริปุตฺโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺย อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิฯ รตฺตึ เจปาหํ สาริปุตฺตํ เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺยํ อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิ, รตฺติมฺปิ เม สาริปุตฺโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺย …เป… รตฺตินฺทิวํ เจปาหํ สาริปุตฺตํ เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺยํ, รตฺตินฺทิวมฺปิ เม สาริปุตฺโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺย … เทฺว รตฺตินฺทิวานิ เจปาหํ สาริปุตฺตํ เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺยํ, เทฺว รตฺตินฺทิวานิปิ เม สาริปุตฺโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺย … ตีณิ รตฺตินฺทิวานิ เจปาหํ สาริปุตฺตํ เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺยํ, ตีณิ รตฺตินฺทิวานิปิ เม สาริปุตฺโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺย … จตฺตาริ รตฺตินฺทิวานิ เจปาหํ สาริปุตฺตํ เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺยํ, จตฺตาริ รตฺตินฺทิวานิปิ เม สาริปุตฺโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺย … ปญฺจ รตฺตินฺทิวานิ เจปาหํ สาริปุตฺตํ เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺยํ, ปญฺจ รตฺตินฺทิวานิปิ เม สาริปุตฺโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺย … ฉ รตฺตินฺทิวานิ เจปาหํ สาริปุตฺตํ เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺยํ, ฉ รตฺตินฺทิวานิปิ เม สาริปุตฺโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺย … สตฺต รตฺตินฺทิวานิ เจปาหํ สาริปุตฺตํ เอตมตฺถํ ปุจฺเฉยฺยํ อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหิ, สตฺต รตฺตินฺทิวานิปิ เม สาริปุตฺโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺย อญฺญมญฺเญหิ ปเทหิ อญฺญมญฺเญหิ ปริยาเยหี”ติฯ
“Bhikkhu, Sāriputta has clearly comprehended the principle of the teachings, so that he could answer any questions I might ask him in different words and ways up to the seventh day and night.”
ทุติยํฯ
The authoritative text of the Saṁyutta Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]