Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Saṁyutta Nikāya, English translation |
สํยุตฺต นิกาย ๑๒ฯ๖๖
The Related Suttas Collection 12.66
๗ฯ มหาวคฺค
7. The Great Chapter
สมฺมสสุตฺต
Self-examination
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา กุรูสุ วิหรติ กมฺมาสธมฺมํ นาม กุรูนํ นิคโมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ภิกฺขโว”ติฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying in the land of the Kurus, near the Kuru town named Kammāsadamma. There the Buddha addressed the bhikkhus, “Bhikkhus!”
“ภทนฺเต”ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:
“Venerable sir,” they replied. The Buddha said this:
“สมฺมสถ โน ตุเมฺห, ภิกฺขเว, อนฺตรํ สมฺมสนฺ”ติฯ
“Bhikkhus, do you perform inner self-examination?”
เอวํ วุตฺเต, อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อหํ โข, ภนฺเต, สมฺมสามิ อนฺตรํ สมฺมสนฺ”ติฯ
When he said this, one of the bhikkhus said to the Buddha, “Sir, I perform inner self-examination.”
“ยถา กถํ ปน ตฺวํ, ภิกฺขุ, สมฺมสสิ อนฺตรํ สมฺมสนฺ”ติ? อถ โข โส ภิกฺขุ พฺยากาสิฯ ยถา โส ภิกฺขุ พฺยากาสิ น โส ภิกฺขุ ภควโต จิตฺตํ อาราเธสิฯ
“But bhikkhu, how do you perform inner self-examination?” Then that bhikkhu answered, but the Buddha was not happy with the answer.
เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “เอตสฺส, ภควา, กาโล; เอตสฺส, สุคต, กาโล; ยํ ภควา อนฺตรํ สมฺมสํ ภาเสยฺยฯ ภควโต สุตฺวา ภิกฺขู ธาเรสฺสนฺตี”ติฯ
When he had spoken, Venerable Ānanda said to the Buddha, “Now is the time, Blessed One! Now is the time, Holy One! Let the Buddha speak of the inner self-examination. The bhikkhus will listen and remember it.”
“เตนหานนฺท, สุณาถ, สาธุกํ มนสิ กโรถ, ภาสิสฺสามี”ติฯ
“Well then, Ānanda, listen and apply your mind well, I will speak.”
“เอวํ, ภนฺเต”ติ โข เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:
“Yes, sir,” they replied. The Buddha said this:
“อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สมฺมสมาโน สมฺมสติ อนฺตรํ สมฺมสํ: ‘ยํ โข อิทํ อเนกวิธํ นานปฺปการกํ ทุกฺขํ โลเก อุปฺปชฺชติ ชรามรณํฯ อิทํ โข ทุกฺขํ กึนิทานํ กึสมุทยํ กึชาติกํ กึปภวํ, กิสฺมึ สติ ชรามรณํ โหติ, กิสฺมึ อสติ ชรามรณํ น โหตี'ติ? โส สมฺมสมาโน เอวํ ชานาติ: ‘ยํ โข อิทํ อเนกวิธํ นานปฺปการกํ ทุกฺขํ โลเก อุปฺปชฺชติ ชรามรณํฯ อิทํ โข ทุกฺขํ อุปธินิทานํ อุปธิสมุทยํ อุปธิชาติกํ อุปธิปภวํ, อุปธิสฺมึ สติ ชรามรณํ โหติ, อุปธิสฺมึ อสติ ชรามรณํ น โหตี'ติฯ โส ชรามรณญฺจ ปชานาติ ชรามรณสมุทยญฺจ ปชานาติ ชรามรณนิโรธญฺจ ปชานาติ ยา จ ชรามรณนิโรธสารุปฺปคามินี ปฏิปทา ตญฺจ ปชานาติฯ ตถาปฏิปนฺโน จ โหติ อนุธมฺมจารีฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย ปฏิปนฺโน ชรามรณนิโรธายฯ
“Take a bhikkhu who performs inner self-examination: ‘The suffering that arises in the world starting with old age and death takes many and diverse forms. But what is the source of this suffering? When what exists do old age and death come to be? And when what does not exist do old age and death not come to be?’ While examining they know: ‘The suffering that arises in the world starting with old age and death takes many and diverse forms. The source of this suffering is attachment. When attachments exist old age and death come to be. And when attachments do not exist old age and death don’t come to be.’ They understand old age and death, their origin, their cessation, and the fitting practice for their cessation. And they practice in line with that path. This is called a bhikkhu who is practicing for the complete ending of suffering, for the cessation of old age and death.
อถาปรํ สมฺมสมาโน สมฺมสติ อนฺตรํ สมฺมสํ: ‘อุปธิ ปนายํ กึนิทาโน กึสมุทโย กึชาติโก กึปภโว, กิสฺมึ สติ อุปธิ โหติ, กิสฺมึ อสติ อุปธิ น โหตี'ติ? โส สมฺมสมาโน เอวํ ชานาติ: ‘อุปธิ ตณฺหานิทาโน ตณฺหาสมุทโย ตณฺหาชาติโก ตณฺหาปภโว, ตณฺหาย สติ อุปธิ โหติ, ตณฺหาย อสติ อุปธิ น โหตี'ติฯ โส อุปธิญฺจ ปชานาติ อุปธิสมุทยญฺจ ปชานาติ อุปธินิโรธญฺจ ปชานาติ ยา จ อุปธินิโรธสารุปฺปคามินี ปฏิปทา ตญฺจ ปชานาติฯ ตถาปฏิปนฺโน จ โหติ อนุธมฺมจารีฯ อยํ วุจฺจติ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ สพฺพโส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย ปฏิปนฺโน อุปธินิโรธายฯ
They perform further inner self-examination: ‘But what is the source of this attachment? When what exists does attachment come to be? And when what does not exist does attachment not come to be?’ While examining they know: ‘The source of this attachment is craving. When craving exists attachments come to be. And when craving doesn’t exist attachments don’t come to be.’ They understand attachments, their origin, their cessation, and the fitting practice for their cessation. And they practice in line with that path. This is called a bhikkhu who is practicing for the complete ending of suffering, for the cessation of attachments.
อถาปรํ สมฺมสมาโน สมฺมสติ อนฺตรํ สมฺมสํ: ‘ตณฺหา ปนายํ กตฺถ อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ, กตฺถ นิวิสมานา นิวิสตี'ติ? โส สมฺมสมาโน เอวํ ชานาติ—ยํ โข โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ เอตฺเถสา ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ, เอตฺถ นิวิสมานา นิวิสติฯ กิญฺจ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ? จกฺขุํ โลเก ปิยรูปํ, สาตรูปํ, เอตฺเถสา ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ, เอตฺถ นิวิสมานา นิวิสติฯ โสตํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ …เป… ฆานํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ … ชิวฺหา โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ … กาโย โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ … มโน โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ, เอตฺเถสา ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ เอตฺถ นิวิสมานา นิวิสติฯ
They perform further inner self-examination: ‘But where does that craving arise and where does it settle?’ While examining they know: ‘That craving arises and settles on whatever in the world seems nice and pleasant. And what in the world seems nice and pleasant? The eye in the world seems nice and pleasant, and it is there that craving arises and settles. The ear … nose … tongue … body … mind in the world seems nice and pleasant, and it is there that craving arises and settles.’
เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ นิจฺจโต อทฺทกฺขุํ สุขโต อทฺทกฺขุํ อตฺตโต อทฺทกฺขุํ อาโรคฺยโต อทฺทกฺขุํ เขมโต อทฺทกฺขุํฯ เต ตณฺหํ วฑฺเฒสุํฯ เย ตณฺหํ วฑฺเฒสุํ เต อุปธึ วฑฺเฒสุํฯ เย อุปธึ วฑฺเฒสุํ เต ทุกฺขํ วฑฺเฒสุํฯ เย ทุกฺขํ วฑฺเฒสุํ เต น ปริมุจฺจึสุ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุกฺเขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, น ปริมุจฺจึสุ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
There were ascetics and brahmins of the past who saw the things that seem nice and pleasant in the world as permanent, as pleasurable, as self, as healthy, and as safe. Their craving grew. As their craving grew, their attachments grew. As their attachments grew, their suffering grew. And as their suffering grew, they were not freed from rebirth, old age, and death, from sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. They were not freed from suffering, I say.
เยปิ หิ เกจิ, ภิกฺขเว, อนาคตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ นิจฺจโต ทกฺขิสฺสนฺติ สุขโต ทกฺขิสฺสนฺติ อตฺตโต ทกฺขิสฺสนฺติ อาโรคฺยโต ทกฺขิสฺสนฺติ เขมโต ทกฺขิสฺสนฺติฯ เต ตณฺหํ วฑฺฒิสฺสนฺติฯ เย ตณฺหํ วฑฺฒิสฺสนฺติ เต อุปธึ วฑฺฒิสฺสนฺติฯ เย อุปธึ วฑฺฒิสฺสนฺติ เต ทุกฺขํ วฑฺฒิสฺสนฺติฯ เย ทุกฺขํ วฑฺฒิสฺสนฺติ เต น ปริมุจฺจิสฺสนฺติ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุกฺเขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, น ปริมุจฺจิสฺสนฺติ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
There will be ascetics and brahmins in the future who will see the things that seem nice and pleasant in the world as permanent, as pleasurable, as self, as healthy, and as safe. Their craving will grow. As their craving grows, their attachments will grow. As their attachments grow, their suffering will grow. And as their suffering grows, they will not be freed from rebirth, old age, and death, from sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. They will not be freed from suffering, I say.
เยปิ หิ เกจิ, ภิกฺขเว, เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ นิจฺจโต ปสฺสนฺติ สุขโต ปสฺสนฺติ อตฺตโต ปสฺสนฺติ อาโรคฺยโต ปสฺสนฺติ เขมโต ปสฺสนฺติฯ เต ตณฺหํ วฑฺเฒนฺติฯ เย ตณฺหํ วฑฺเฒนฺติ เต อุปธึ วฑฺเฒนฺติฯ เย อุปธึ วฑฺเฒนฺติ เต ทุกฺขํ วฑฺเฒนฺติฯ เย ทุกฺขํ วฑฺเฒนฺติ เต น ปริมุจฺจนฺติ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุกฺเขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, น ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
There are ascetics and brahmins in the present who see the things that seem nice and pleasant in the world as permanent, as pleasurable, as self, as healthy, and as safe. Their craving grows. As their craving grows, their attachments grow. As their attachments grow, their suffering grows. And as their suffering grows, they are not freed from rebirth, old age, and death, from sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. They are not freed from suffering, I say.
เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อาปานียกํโส วณฺณสมฺปนฺโน คนฺธสมฺปนฺโน รสสมฺปนฺโนฯ โส จ โข วิเสน สํสฏฺโฐฯ อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย ฆมฺมาภิตตฺโต ฆมฺมปเรโต กิลนฺโต ตสิโต ปิปาสิโตฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ: ‘อยํ เต, อมฺโภ ปุริส, อาปานียกํโส วณฺณสมฺปนฺโน คนฺธสมฺปนฺโน รสสมฺปนฺโน; โส จ โข วิเสน สํสฏฺโฐฯ สเจ อากงฺขสิ ปิวฯ ปิวโต หิ โข ตํ ฉาเทสฺสติ วณฺเณนปิ คนฺเธนปิ รเสนปิ, ปิวิตฺวา จ ปน ตโตนิทานํ มรณํ วา นิคจฺฉสิ มรณมตฺตํ วา ทุกฺขนฺ'ติฯ โส ตํ อาปานียกํสํ สหสา อปฺปฏิสงฺขา ปิเวยฺย, นปฺปฏินิสฺสชฺเชยฺยฯ โส ตโตนิทานํ มรณํ วา นิคจฺเฉยฺย มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ
Suppose there was a bronze cup of beverage that had a nice color, aroma, and flavor. But it was mixed with poison. Then along comes a man struggling in the oppressive heat, weary, thirsty, and parched. They’d say to him: ‘Here, mister, this bronze cup of beverage has a nice color, aroma, and flavor. But it’s mixed with poison. Drink it if you like. If you drink it, the color, aroma, and flavor will be appetizing, but it will result in death or deadly pain.’ He wouldn’t reject that beverage. Hastily, without reflection, he’d drink it, resulting in death or deadly pain.
เอวเมว โข, ภิกฺขเว, เย หิ เกจิ อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ …เป… อนาคตมทฺธานํ …เป… เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ นิจฺจโต ปสฺสนฺติ สุขโต ปสฺสนฺติ อตฺตโต ปสฺสนฺติ อาโรคฺยโต ปสฺสนฺติ เขมโต ปสฺสนฺติ, เต ตณฺหํ วฑฺเฒนฺติฯ เย ตณฺหํ วฑฺเฒนฺติ เต อุปธึ วฑฺเฒนฺติฯ เย อุปธึ วฑฺเฒนฺติ เต ทุกฺขํ วฑฺเฒนฺติฯ เย ทุกฺขํ วฑฺเฒนฺติ เต น ปริมุจฺจนฺติ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุกฺเขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, น ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
In the same way, there are ascetics and brahmins of the past … future … There are ascetics and brahmins in the present who see the things that seem nice and pleasant in the world as permanent, as pleasurable, as self, as healthy, and as safe. Their craving grows. As their craving grows, their attachments grow. As their attachments grow, their suffering grows. And as their suffering grows, they are not freed from rebirth, old age, and death, from sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. They are not freed from suffering, I say.
เย จ โข เกจิ, ภิกฺขเว, อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ อนิจฺจโต อทฺทกฺขุํ ทุกฺขโต อทฺทกฺขุํ อนตฺตโต อทฺทกฺขุํ โรคโต อทฺทกฺขุํ ภยโต อทฺทกฺขุํ, เต ตณฺหํ ปชหึสุฯ เย ตณฺหํ ปชหึสุ เต อุปธึ ปชหึสุฯ เย อุปธึ ปชหึสุ เต ทุกฺขํ ปชหึสุฯ เย ทุกฺขํ ปชหึสุ เต ปริมุจฺจึสุ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุกฺเขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ปริมุจฺจึสุ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
There were ascetics and brahmins of the past who saw the things that seem nice and pleasant in the world as impermanent, as suffering, as not-self, as diseased, and as dangerous. They gave up craving. Giving up craving, they gave up attachments. Giving up attachments, they gave up suffering. Giving up suffering, they were freed from rebirth, old age, and death, from sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. They were freed from suffering, I say.
เยปิ หิ เกจิ, ภิกฺขเว, อนาคตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ อนิจฺจโต ทกฺขิสฺสนฺติ ทุกฺขโต ทกฺขิสฺสนฺติ อนตฺตโต ทกฺขิสฺสนฺติ โรคโต ทกฺขิสฺสนฺติ ภยโต ทกฺขิสฺสนฺติ, เต ตณฺหํ ปชหิสฺสนฺติฯ เย ตณฺหํ ปชหิสฺสนฺติ …เป… ปริมุจฺจิสฺสนฺติ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
There will be ascetics and brahmins in the future who will see the things that seem nice and pleasant in the world as impermanent, as suffering, as not-self, as diseased, and as dangerous. They will give up craving. Giving up craving … they will be freed from suffering, I say.
เยปิ หิ เกจิ, ภิกฺขเว, เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ อนิจฺจโต ปสฺสนฺติ ทุกฺขโต ปสฺสนฺติ อนตฺตโต ปสฺสนฺติ โรคโต ปสฺสนฺติ ภยโต ปสฺสนฺติ, เต ตณฺหํ ปชหนฺติฯ เย ตณฺหํ ปชหนฺติ เต อุปธึ ปชหนฺติฯ เย อุปธึ ปชหนฺติ เต ทุกฺขํ ปชหนฺติฯ เย ทุกฺขํ ปชหนฺติ เต ปริมุจฺจนฺติ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุกฺเขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
There are ascetics and brahmins in the present who see the things that seem nice and pleasant in the world as impermanent, as suffering, as not-self, as diseased, and as dangerous. They give up craving. Giving up craving, they give up attachments. Giving up attachments, they give up suffering. Giving up suffering, they are freed from rebirth, old age, and death, from sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. They are freed from suffering, I say.
เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อาปานียกํโส วณฺณสมฺปนฺโน คนฺธสมฺปนฺโน รสสมฺปนฺโนฯ โส จ โข วิเสน สํสฏฺโฐฯ อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย ฆมฺมาภิตตฺโต ฆมฺมปเรโต กิลนฺโต ตสิโต ปิปาสิโตฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ: ‘อยํ เต, อมฺโภ ปุริส, อาปานียกํโส วณฺณสมฺปนฺโน คนฺธสมฺปนฺโน รสสมฺปนฺโน โส จ โข วิเสน สํสฏฺโฐฯ สเจ อากงฺขสิ ปิวฯ ปิวโต หิ โข ตํ ฉาเทสฺสติ วณฺเณนปิ คนฺเธนปิ รเสนปิ; ปิวิตฺวา จ ปน ตโตนิทานํ มรณํ วา นิคจฺฉสิ มรณมตฺตํ วา ทุกฺขนฺ'ติฯ อถ โข, ภิกฺขเว, ตสฺส ปุริสสฺส เอวมสฺส: ‘สกฺกา โข เม อยํ สุราปิปาสิตา ปานีเยน วา วิเนตุํ ทธิมณฺฑเกน วา วิเนตุํ ภฏฺฐโลณิกาย วา วิเนตุํ โลณโสวีรเกน วา วิเนตุํ, น เตฺววาหํ ตํ ปิเวยฺยํ, ยํ มม อสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา'ติฯ โส ตํ อาปานียกํสํ ปฏิสงฺขา น ปิเวยฺย, ปฏินิสฺสชฺเชยฺยฯ โส ตโตนิทานํ น มรณํ วา นิคจฺเฉยฺย มรณมตฺตํ วา ทุกฺขํฯ
Suppose there was a bronze cup of beverage that had a nice color, aroma, and flavor. But it was mixed with poison. Then along comes a man struggling in the oppressive heat, weary, thirsty, and parched. They’d say to him: ‘Here, mister, this bronze cup of beverage has a nice color, aroma, and flavor. But it’s mixed with poison. Drink it if you like. If you drink it, its nice color, aroma, and flavor will refresh you. But drinking it will result in death or deadly pain.’ Then that man might think: ‘I could quench my thirst with water, whey, seasoned drink, or broth. But I shouldn’t drink that beverage, for it would be for my lasting harm and suffering.’ He’d reject that beverage. After appraisal, he wouldn’t drink it, and it wouldn’t result in death or deadly pain.
เอวเมว โข, ภิกฺขเว, เย หิ เกจิ อตีตมทฺธานํ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ อนิจฺจโต อทฺทกฺขุํ ทุกฺขโต อทฺทกฺขุํ อนตฺตโต อทฺทกฺขุํ โรคโต อทฺทกฺขุํ ภยโต อทฺทกฺขุํ, เต ตณฺหํ ปชหึสุฯ เย ตณฺหํ ปชหึสุ เต อุปธึ ปชหึสุฯ เย อุปธึ ปชหึสุ เต ทุกฺขํ ปชหึสุฯ เย ทุกฺขํ ปชหึสุ เต ปริมุจฺจึสุ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุกฺเขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ปริมุจฺจึสุ ทุกฺขสฺมาติ วทามิฯ
In the same way, there were ascetics and brahmins of the past who saw the things that seem nice and pleasant in the world as impermanent, as suffering, as not-self, as diseased, and as dangerous. They gave up craving. Giving up craving, they gave up attachments. Giving up attachments, they gave up suffering. Giving up suffering, they were freed from rebirth, old age, and death, from sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. They were freed from suffering, I say.
เยปิ หิ เกจิ, ภิกฺขเว, อนาคตมทฺธานํ …เป… เอตรหิ สมณา วา พฺราหฺมณา วา ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ ตํ อนิจฺจโต ปสฺสนฺติ ทุกฺขโต ปสฺสนฺติ อนตฺตโต ปสฺสนฺติ โรคโต ปสฺสนฺติ ภยโต ปสฺสนฺติ, เต ตณฺหํ ปชหนฺติฯ เย ตณฺหํ ปชหนฺติ เต อุปธึ ปชหนฺติฯ เย อุปธึ ปชหนฺติ เต ทุกฺขํ ปชหนฺติฯ เย ทุกฺขํ ปชหนฺติ เต ปริมุจฺจนฺติ ชาติยา ชราย มรเณน โสเกหิ ปริเทเวหิ ทุกฺเขหิ โทมนเสฺสหิ อุปายาเสหิ, ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมาติ วทามี”ติฯ
There will be ascetics and brahmins in the future … There are ascetics and brahmins in the present who see the things that seem nice and pleasant in the world as impermanent, as suffering, as not-self, as diseased, and as dangerous. They give up craving. Giving up craving, they give up attachments. Giving up attachments, they give up suffering. Giving up suffering, they are freed from rebirth, old age, and death, from sorrow, lamentation, pain, sadness, and distress. They are freed from suffering, I say.”
ฉฏฺฐํฯ
The authoritative text of the Saṁyutta Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]