Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Saṁyutta Nikāya, English translation |
สํยุตฺต นิกาย ๑๒ฯ๗๐
The Related Suttas Collection 12.70
๗ฯ มหาวคฺค
7. The Great Chapter
สุสิมปริพฺพาชกสุตฺต
The Wanderer Susīma
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเปฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Rājagaha, in the Bamboo Grove, the squirrels’ feeding ground.
เตน โข ปน สมเยน ภควา สกฺกโต โหติ ครุกโต มานิโต ปูชิโต อปจิโต ลาภี จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํฯ ภิกฺขุสงฺโฆปิ สกฺกโต โหติ ครุกโต มานิโต ปูชิโต อปจิโต ลาภี จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํฯ อญฺญติตฺถิยา ปน ปริพฺพาชกา อสกฺกตา โหนฺติ อครุกตา อมานิตา อปูชิตา อนปจิตา, น ลาภิโน จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานํฯ
Now at that time the Buddha was honored, respected, revered, venerated, and esteemed. And he received robes, almsfood, lodgings, and medicines and supplies for the sick. And the bhikkhu Saṅgha was also honored, respected, revered, venerated, and esteemed. And they received robes, almsfood, lodgings, and medicines and supplies for the sick. But the wanderers who followed other religions were not honored, respected, revered, venerated, and esteemed. And they didn’t receive robes, almsfood, lodgings, and medicines and supplies for the sick.
เตน โข ปน สมเยน สุสิโม ปริพฺพาชโก ราชคเห ปฏิวสติ มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธึฯ
Now at that time the wanderer Susīma was residing at Rājagaha together with a large community of wanderers.
อถ โข สุสิมสฺส ปริพฺพาชกสฺส ปริสา สุสิมํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจุํ: “เอหิ ตฺวํ, อาวุโส สุสิม, สมเณ โคตเม พฺรหฺมจริยํ จรฯ ตฺวํ ธมฺมํ ปริยาปุณิตฺวา อเมฺห วาเจยฺยาสิฯ ตํ มยํ ธมฺมํ ปริยาปุณิตฺวา คิหีนํ ภาสิสฺสามฯ เอวํ มยมฺปิ สกฺกตา ภวิสฺสาม ครุกตา มานิตา ปูชิตา อปจิตา ลาภิโน จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานนฺ”ติฯ
Then his community said to Susīma, “Friend Susīma, please lead the spiritual life with the ascetic Gotama. Memorize that teaching and have us recite it with you. When we’ve memorized it we’ll recite it to the laity. In this way we too will be honored, respected, revered, venerated, and esteemed. And we’ll receive robes, almsfood, lodgings, and medicines and supplies for the sick.”
“เอวมาวุโส”ติ โข สุสิโม ปริพฺพาชโก สกาย ปริสาย ปฏิสฺสุณิตฺวา เยนายสฺมา อานนฺโท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา อานนฺเทน สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข สุสิโม ปริพฺพาชโก อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “อิจฺฉามหํ, อาวุโส อานนฺท, อิมสฺมึ ธมฺมวินเย พฺรหฺมจริยํ จริตุนฺ”ติฯ
“Yes, friends,” replied Susīma. Then he went to Venerable Ānanda, and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to Ānanda, “Friend Ānanda, I wish to lead the spiritual life in this teaching and training.”
อถ โข อายสฺมา อานนฺโท สุสิมํ ปริพฺพาชกํ อาทาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อยํ, ภนฺเต, สุสิโม ปริพฺพาชโก เอวมาห: ‘อิจฺฉามหํ, อาวุโส อานนฺท, อิมสฺมึ ธมฺมวินเย พฺรหฺมจริยํ จริตุนฺ'”ติฯ
Then Ānanda took Susīma to the Buddha, bowed, sat down to one side, and said to him, “Sir, this wanderer Susīma says that he wishes to lead the spiritual life in this teaching and training.”
“เตนหานนฺท, สุสิมํ ปพฺพาเชถา”ติฯ อลตฺถ โข สุสิโม ปริพฺพาชโก ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชํ, อลตฺถ อุปสมฺปทํฯ
“Well then, Ānanda, give Susīma the going forth.” And the wanderer Susīma received the going forth, the ordination in the Buddha’s presence.
เตน โข ปน สมเยน สมฺพหุเลหิ ภิกฺขูหิ ภควโต สนฺติเก อญฺญา พฺยากตา โหติ: “ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานามา”ติฯ
Now at that time several bhikkhus had declared their enlightenment in the Buddha’s presence: “We understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’”
อโสฺสสิ โข อายสฺมา สุสิโม: “สมฺพหุเลหิ กิร ภิกฺขูหิ ภควโต สนฺติเก อญฺญา พฺยากตา: ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานามา”ติฯ อถ โข อายสฺมา สุสิโม เยน เต ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา เตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา สุสิโม เต ภิกฺขู เอตทโวจ: “สจฺจํ กิรายสฺมนฺเตหิ ภควโต สนฺติเก อญฺญา พฺยากตา: ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานามา”ติ?
Venerable Susīma heard about this. He went up to those bhikkhus, and exchanged greetings with them. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to those bhikkhus, “Is it really true that the venerables have declared enlightenment in the Buddha’s presence?”
“เอวมาวุโส”ติฯ
“Yes, friend.”
“อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภถ—เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหถ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหถ; อาวิภาวํ, ติโรภาวํ, ติโรกุฏฺฏํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมานา คจฺฉถ, เสยฺยถาปิ อากาเส; ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรถ, เสยฺยถาปิ อุทเก; อุทเกปิ อภิชฺชมาเน คจฺฉถ, เสยฺยถาปิ ปถวิยํ; อากาเสปิ ปลฺลงฺเกน กมถ, เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณ; อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปริมสถ ปริมชฺชถ, ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วตฺเตถา”ติ?
“But knowing and seeing thus, do you wield the many kinds of psychic power? That is, multiplying yourselves and becoming one again; appearing and disappearing; going unimpeded through a wall, a rampart, or a mountain as if through space; diving in and out of the earth as if it were water; walking on water as if it were earth; flying cross-legged through the sky like a bird; touching and stroking with the hand the sun and moon, so mighty and powerful. Do you control the body as far as the Brahmā realm?”
“โน เหตํ, อาวุโส”ฯ
“No, friend.”
“อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สทฺเท สุณาถ ทิพฺเพ จ มานุเส จ เย ทูเร สนฺติเก จา”ติ?
“Well, knowing and seeing thus do you, with clairaudience that is purified and superhuman, hear both kinds of sounds, human and divine, whether near or far?”
“โน เหตํ, อาวุโส”ฯ
“No, friend.”
“อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาถ—สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; วีตราคํ วา จิตฺตํ วีตราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; สโทสํ วา จิตฺตํ สโทสํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; วีตโทสํ วา จิตฺตํ วีตโทสํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; สโมหํ วา จิตฺตํ สโมหํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; วีตโมหํ วา จิตฺตํ วีตโมหํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; สงฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ สงฺขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; วิกฺขิตฺตํ วา จิตฺตํ วิกฺขิตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; มหคฺคตํ วา จิตฺตํ มหคฺคตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; อมหคฺคตํ วา จิตฺตํ อมหคฺคตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; เสาตฺตรํ วา จิตฺตํ เสาตฺตรํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; อนุตฺตรํ วา จิตฺตํ อนุตฺตรํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; สมาหิตํ วา จิตฺตํ สมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; อสมาหิตํ วา จิตฺตํ อสมาหิตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถ; อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ อวิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาถา”ติ?
“Well, knowing and seeing thus, do you understand the minds of other beings and individuals, having comprehended them with your mind? Do you understand mind with greed as ‘mind with greed’, and mind without greed as ‘mind without greed’? Do you understand mind with hate as ‘mind with hate’, and mind without hate as ‘mind without hate’? Do you understand mind with delusion as ‘mind with delusion’, and mind without delusion as ‘mind without delusion’? Do you understand constricted mind as ‘constricted mind’, and scattered mind as ‘scattered mind’? Do you understand expansive mind as ‘expansive mind’, and unexpansive mind as ‘unexpansive mind’? Do you understand mind that is not supreme as ‘mind that is not supreme’, and mind that is supreme as ‘mind that is supreme’? Do you understand mind immersed in samādhi as ‘mind immersed in samādhi’, and mind not immersed in samādhi as ‘mind not immersed in samādhi’? Do you understand freed mind as ‘freed mind’, and unfreed mind as ‘unfreed mind’?”
“โน เหตํ, อาวุโส”ฯ
“No, friend.”
“อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรถ, เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ตึสมฺปิ ชาติโย จตฺตารีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ, อเนเกปิ สํวฏฺฏกปฺเป อเนเกปิ วิวฏฺฏกปฺเป อเนเกปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏกปฺเป: ‘อมุตฺราสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ; ตตฺราปาสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน'ติฯ อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรถา”ติ?
“Well, knowing and seeing thus, do you recollect many kinds of past lives. That is: one, two, three, four, five, ten, twenty, thirty, forty, fifty, a hundred, a thousand, a hundred thousand rebirths; many eons of the world contracting, many eons of the world expanding, many eons of the world contracting and expanding? Do you remember: ‘There, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn somewhere else. There, too, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn here.’ Do you recollect your many kinds of past lives, with features and details?”
“โน เหตํ, อาวุโส”ฯ
“No, friend.”
“อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสถ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ, สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาถ: ‘อิเม วต โภนฺโต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา, อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฏฺฐิกา มิจฺฉาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานา, เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนา; อิเม วา ปน โภนฺโต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา, อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฏฺฐิกา สมฺมาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานา เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา'ติ, อิติ ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสถ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ, สุคเต ทุคฺคเต ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาถา”ติ?
“Well, knowing and seeing thus, do you, with clairvoyance that is purified and superhuman, see sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place—and understand how sentient beings are reborn according to their deeds? ‘These dear beings did bad things by way of body, speech, and mind. They spoke ill of the noble ones; they had wrong view; and they chose to act out of that wrong view. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. These dear beings, however, did good things by way of body, speech, and mind. They never spoke ill of the noble ones; they had right view; and they chose to act out of that right view. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a good place, a heavenly realm.’ And so, with clairvoyance that is purified and superhuman, do you see sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. And do you understand how sentient beings are reborn according to their deeds?”
“โน เหตํ, อาวุโส”ฯ
“No, friend.”
“อปิ ปน ตุเมฺห อายสฺมนฺโต เอวํ ชานนฺตา เอวํ ปสฺสนฺตา เย เต สนฺตา วิโมกฺขา อติกฺกมฺม รูเป อารุปฺปา, เต กาเยน ผุสิตฺวา วิหรถา”ติ?
“Well, knowing and seeing thus, do you have direct meditative experience of the peaceful liberations that are formless, transcending form?”
“โน เหตํ, อาวุโส”ฯ
“No, friend.”
“เอตฺถ ทานิ อายสฺมนฺโต อิทญฺจ เวยฺยากรณํ อิเมสญฺจ ธมฺมานํ อสมาปตฺติ; อิทํ โน, อาวุโส, กถนฺ”ติ?
“Well now, venerables, how could there be such a declaration when these things are not attained?”
“ปญฺญาวิมุตฺตา โข มยํ, อาวุโส สุสิมา”ติฯ
“Friend Susīma, we are freed by wisdom.”
“น ขฺวาหํ อิมสฺส อายสฺมนฺตานํ สงฺขิตฺเตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อาชานามิฯ สาธุ เม อายสฺมนฺโต ตถา ภาสนฺตุ ยถาหํ อิมสฺส อายสฺมนฺตานํ สงฺขิตฺเตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อาชาเนยฺยนฺ”ติฯ
“I don’t understand the detailed meaning of what you have said in brief. Please teach me this matter so I can understand the detailed meaning.”
“อาชาเนยฺยาสิ วา ตฺวํ, อาวุโส สุสิม, น วา ตฺวํ อาชาเนยฺยาสิ อถ โข ปญฺญาวิมุตฺตา มยนฺ”ติฯ
“Friend Susīma, whether you understand or not, we are freed by wisdom.”
อถ โข อายสฺมา สุสิโม อุฏฺฐายาสนา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา สุสิโม ยาวตโก เตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธึ อโหสิ กถาสลฺลาโป ตํ สพฺพํ ภควโต อาโรเจสิฯ
Then Susīma went to the Buddha, bowed, sat down to one side, and informed the Buddha of all he had discussed with those bhikkhus.
“ปุพฺเพ โข, สุสิม, ธมฺมฏฺฐิติญาณํ, ปจฺฉา นิพฺพาเน ญาณนฺ”ติฯ
“Susīma, first comes knowledge of the stability of natural principles. Afterwards there is knowledge of Nibbana.”
“น ขฺวาหํ, ภนฺเต, อิมสฺส ภควตา สงฺขิตฺเตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อาชานามิฯ สาธุ เม, ภนฺเต, ภควา ตถา ภาสตุ ยถาหํ อิมสฺส ภควตา สงฺขิตฺเตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน อตฺถํ อาชาเนยฺยนฺ”ติฯ
“Sir, I don’t understand the detailed meaning of what you have said in brief. Please teach me this matter so I can understand the detailed meaning.”
“อาชาเนยฺยาสิ วา ตฺวํ, สุสิม, น วา ตฺวํ อาชาเนยฺยาสิ, อถ โข ธมฺมฏฺฐิติญาณํ ปุพฺเพ, ปจฺฉา นิพฺพาเน ญาณํฯ
“Susīma, whether you understand or not, first comes knowledge of the stability of natural principles. Afterwards there is knowledge of Nibbana.
ตํ กึ มญฺญสิ, สุสิม, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา”ติ?
What do you think, Susīma? Is form permanent or impermanent?”
“อนิจฺจํ, ภนฺเต”ฯ
“Impermanent, sir.”
“ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา”ติ?
“But if it’s impermanent, is it suffering or happiness?”
“ทุกฺขํ, ภนฺเต”ฯ
“Suffering, sir.”
“ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ: ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา'”ติ?
“But if it’s impermanent, suffering, and perishable, is it fit to be regarded thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“เวทนา นิจฺจา วา อนิจฺจา วา”ติ?
“Is feeling permanent or impermanent?”
“อนิจฺจา, ภนฺเต”ฯ
“Impermanent, sir.”
“ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา”ติ?
“But if it’s impermanent, is it suffering or happiness?”
“ทุกฺขํ, ภนฺเต”ฯ
“Suffering, sir.”
“ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ: ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา'”ติ?
“But if it’s impermanent, suffering, and perishable, is it fit to be regarded thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“สญฺญา นิจฺจา วา อนิจฺจา วา”ติ?
“Is perception permanent or impermanent?”
“อนิจฺจา, ภนฺเต” …เป…
“Impermanent, sir.” …
“สงฺขารา นิจฺจา วา อนิจฺจา วา”ติ?
“Are choices permanent or impermanent?”
“อนิจฺจา, ภนฺเต”ฯ
“Impermanent, sir.”
“ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา”ติ?
“But if they’re impermanent, are they suffering or happiness?”
“ทุกฺขํ, ภนฺเต”ฯ
“Suffering, sir.”
“ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ: ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา'”ติ?
“But if they’re impermanent, suffering, and perishable, are they fit to be regarded thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“วิญฺญาณํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา”ติ?
“Is consciousness permanent or impermanent?”
“อนิจฺจํ, ภนฺเต”ฯ
“Impermanent, sir.”
“ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา”ติ?
“But if it’s impermanent, is it suffering or happiness?”
“ทุกฺขํ, ภนฺเต”ฯ
“Suffering, sir.”
“ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ: ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา'”ติ?
“But if it’s impermanent, suffering, and perishable, is it fit to be regarded thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“ตสฺมาติห, สุสิม, ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา หีนํ วา ปณีตํ วา ยํ ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ รูปํ เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เมโส อตฺตาติ; เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํฯ ยา กาจิ เวทนา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกา วา สุขุมา วา หีนา วา ปณีตา วา ยา ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพา เวทนา เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เมโส อตฺตาติ; เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํฯ ยา กาจิ สญฺญา …เป… เย เกจิ สงฺขารา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกา วา สุขุมา วา หีนา วา ปณีตา วา เย ทูเร สนฺติเก วา, สพฺเพ สงฺขารา เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เมโส อตฺตาติ; เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํฯ ยํ กิญฺจิ วิญฺญาณํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา หีนํ วา ปณีตํ วา ยํ ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ วิญฺญาณํ เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เมโส อตฺตาติ; เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํฯ
“So, Susīma, you should truly see any kind of form at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all form—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ You should truly see any kind of feeling at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all feeling—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ You should truly see any kind of perception at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all perception—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ You should truly see any kind of choices at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all choices—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ You should truly see any kind of consciousness at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all consciousness—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’
เอวํ ปสฺสํ, สุสิม, สุตวา อริยสาวโก รูปสฺมิมฺปิ นิพฺพินฺทติ, เวทนายปิ นิพฺพินฺทติ, สญฺญายปิ นิพฺพินฺทติ, สงฺขาเรสุปิ นิพฺพินฺทติ, วิญฺญาณสฺมิมฺปิ นิพฺพินฺทติฯ นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ, วิราคา วิมุจฺจติ, วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ
Seeing this, a learned noble disciple grows disillusioned with form, feeling, perception, choices, and consciousness. Being disillusioned, desire fades away. When desire fades away they’re freed. When they’re freed, they know they’re freed.
‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานาติฯ
They understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’
‘ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺ'ติ, สุสิม, ปสฺสสี”ติ?
Susīma, do you see that rebirth is a condition for old age and death?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“‘ภวปจฺจยา ชาตี'ติ, สุสิม, ปสฺสสี”ติ?
“Do you see that continued existence is a condition for rebirth?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“‘อุปาทานปจฺจยา ภโว'ติ, สุสิม, ปสฺสสี”ติ?
“Do you see that grasping is a condition for continued existence?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“‘ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานนฺ'ติ, สุสิม, ปสฺสสี”ติ?
“Do you see that craving is a condition for grasping?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“เวทนาปจฺจยา ตณฺหาติ … ผสฺสปจฺจยา เวทนาติ … สฬายตนปจฺจยา ผโสฺสติ … นามรูปปจฺจยา สฬายตนนฺติ … วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺติ … สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณนฺติ … อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราติ, สุสิม, ปสฺสสี”ติ?
“Do you see that feeling is a condition for craving … contact is a condition for feeling … the six sense fields are conditions for contact … name and form are conditions for the six sense fields … consciousness is a condition for name and form … choices are a condition for consciousness … ignorance is a condition for choices?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“‘ชาตินิโรธา ชรามรณนิโรโธ'ติ, สุสิม, ปสฺสสี”ติ?
“Do you see that when rebirth ceases old age and death cease?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“‘ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ'ติ สุสิม, ปสฺสสี”ติ?
“Do you see that when continued existence ceases rebirth ceases?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธติ … ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธติ … เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธติ … ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธติ … สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธติ … นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธติ … วิญฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธติ … สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธติ … อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธติ, สุสิม, ปสฺสสี”ติ?
“Do you see that when grasping ceases continued existence ceases … when craving ceases, grasping ceases … when feeling ceases, craving ceases … when contact ceases, feeling ceases … when the six sense fields cease, contact ceases … when name and form cease, the six sense fields cease … when consciousness ceases name and form cease … when choices cease consciousness ceases … when ignorance ceases choices cease?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“อปิ ปน ตฺวํ, สุสิม, เอวํ ชานนฺโต เอวํ ปสฺสนฺโต อเนกวิหิตํ อิทฺธิวิธํ ปจฺจนุโภสิ—เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหสิ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหสิ; อาวิภาวํ, ติโรภาวํ, ติโรกุฏฺฏํ ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมาโน คจฺฉสิ, เสยฺยถาปิ อากาเส; ปถวิยาปิ อุมฺมุชฺชนิมุชฺชํ กโรสิ, เสยฺยถาปิ อุทเก; อุทเกปิ อภิชฺชมาโน คจฺฉสิ, เสยฺยถาปิ ปถวิยํ; อากาเสปิ ปลฺลงฺเกน กมสิ, เสยฺยถาปิ ปกฺขี สกุโณ; อิเมปิ จนฺทิมสูริเย เอวํมหิทฺธิเก เอวํมหานุภาเว ปาณินา ปริมสสิ ปริมชฺชสิ, ยาว พฺรหฺมโลกาปิ กาเยน วสํ วตฺเตสี”ติ?
“But knowing and seeing thus, do you wield the many kinds of psychic power? …”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“อปิ ปน ตฺวํ, สุสิม, เอวํ ชานนฺโต เอวํ ปสฺสนฺโต ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย อุโภ สทฺเท สุณสิ ทิพฺเพ จ มานุเส จ เย ทูเร สนฺติเก จา”ติ?
“Well, knowing and seeing thus do you, with clairaudience that is purified and superhuman, hear both kinds of sounds, human and divine, whether near or far?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“อปิ ปน ตฺวํ, สุสิม, เอวํ ชานนฺโต เอวํ ปสฺสนฺโต ปรสตฺตานํ ปรปุคฺคลานํ เจตสา เจโต ปริจฺจ ปชานาสิ—สราคํ วา จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาสิ …เป… วิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิมุตฺตํ จิตฺตนฺติ ปชานาสี”ติ?
“Well, knowing and seeing thus, do you understand the minds of other beings and individuals, having comprehended them with your mind? …”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“อปิ ปน ตฺวํ, สุสิม, เอวํ ชานนฺโต เอวํ ปสฺสนฺโต อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรสิ, เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ …เป… อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรสี”ติ?
“Well, knowing and seeing thus, do you recollect many kinds of past lives, with features and details?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“อปิ ปน ตฺวํ, สุสิม, เอวํ ชานนฺโต เอวํ ปสฺสนฺโต ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสสิ จวมาเน …เป… ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาสี”ติ?
“Well, knowing and seeing thus, do you, with clairvoyance that is purified and superhuman, see sentient beings passing away and being reborn … according to their deeds?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“อปิ ปน ตฺวํ, สุสิม, เอวํ ชานนฺโต เอวํ ปสฺสนฺโต เย เต สนฺตา วิโมกฺขา อติกฺกมฺม รูเป อารุปฺปา, เต กาเยน ผุสิตฺวา วิหรสี”ติ?
“Well, knowing and seeing thus, do you have direct meditative experience of the peaceful liberations that are formless, transcending form?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“เอตฺถ ทานิ, สุสิม, อิทญฺจ เวยฺยากรณํ อิเมสญฺจ ธมฺมานํ อสมาปตฺติ, อิทํ โน, สุสิม, กถนฺ”ติ?
“Well now, Susīma, how could there be such a declaration when these things are not attained?”
อถ โข อายสฺมา สุสิโม ภควโต ปาเทสุ สิรสา นิปติตฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อจฺจโย มํ, ภนฺเต, อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, ยฺวาหํ เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ธมฺมตฺเถนโก ปพฺพชิโตฯ ตสฺส เม, ภนฺเต, ภควา อจฺจยํ อจฺจยโต ปฏิคฺคณฺหาตุ อายตึ สํวรายา”ติฯ
Then Venerable Susīma bowed with his head at the Buddha’s feet and said, “I have made a mistake, sir. It was foolish, stupid, and unskillful of me to go forth as a thief in such a well-explained teaching and training. Please, sir, accept my mistake for what it is, so I will restrain myself in future.”
“ตคฺฆ ตฺวํ, สุสิม, อจฺจโย อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, โย ตฺวํ เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ธมฺมตฺเถนโก ปพฺพชิโตฯ เสยฺยถาปิ, สุสิม, โจรํ อาคุจารึ คเหตฺวา รญฺโญ ทเสฺสยฺยุํ: ‘อยํ เต, เทว, โจโร อาคุจารี, อิมสฺส ยํ อิจฺฉสิ ตํ ทณฺฑํ ปเณหี'ติฯ ตเมนํ ราชา เอวํ วเทยฺย: ‘คจฺฉถ, โภ, อิมํ ปุริสํ ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิยาย รถิยํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉินฺทถา'ติฯ ตเมนํ รญฺโญ ปุริสา ทฬฺหาย รชฺชุยา ปจฺฉาพาหํ คาฬฺหพนฺธนํ พนฺธิตฺวา ขุรมุณฺฑํ กริตฺวา ขรสฺสเรน ปณเวน รถิยาย รถิยํ สิงฺฆาฏเกน สิงฺฆาฏกํ ปริเนตฺวา ทกฺขิเณน ทฺวาเรน นิกฺขาเมตฺวา ทกฺขิณโต นครสฺส สีสํ ฉินฺเทยฺยุํฯ ตํ กึ มญฺญสิ, สุสิม, อปิ นุ โส ปุริโส ตโตนิทานํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฏิสํเวทิเยถา”ติ?
“Indeed, Susīma, you made a mistake. It was foolish, stupid, and unskillful of you to go forth as a thief in such a well-explained teaching and training. Suppose they were to arrest a bandit, a criminal and present him to the king, saying: ‘Your Majesty, this is a bandit, a criminal. Punish him as you will.’ The king would say: ‘Go, my men, and tie this man’s arms tightly behind his back with a strong rope. Shave his head and march him from street to street and from square to square to the beating of a harsh drum. Then take him out the south gate and there, to the south of the city, chop off his head.’ The king’s men would do as they were told. What do you think, Susīma? Wouldn’t that man experience pain and distress because of that?”
“เอวํ, ภนฺเต”ฯ
“Yes, sir.”
“ยํ โข โส, สุสิม, ปุริโส ตโตนิทานํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฏิสํเวทิเยถฯ ยา เอวํ สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ธมฺมตฺเถนกสฺส ปพฺพชฺชา, อยํ ตโต ทุกฺขวิปากตรา จ กฏุกวิปากตรา จ, อปิ จ วินิปาตาย สํวตฺตติฯ ยโต จ โข ตฺวํ, สุสิม, อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฏิกโรสิ ตํ เต มยํ ปฏิคฺคณฺหามฯ วุทฺธิ เหสา, สุสิม, อริยสฺส วินเย โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฏิกโรติ, อายติญฺจ สํวรํ อาปชฺชตี”ติฯ
“Although that man would experience pain and distress because of that, going forth as a thief in such a well-explained teaching and training has a more painful and bitter result. And it even leads to the underworld. But since you have recognized your mistake for what it is, and have dealt with it properly, I accept it. For it is growth in the training of the Noble One to recognize a mistake for what it is, deal with it properly, and commit to restraint in the future.”
ทสมํฯ
มหาวคฺโค สตฺตโมฯ
ตสฺสุทฺทานํ
เทฺว อสฺสุตวตา วุตฺตา, ปุตฺตมํเสน จาปรํ; อตฺถิราโค จ นครํ, สมฺมสํ นฬกลาปิยํ; โกสมฺพี อุปยนฺติ จ, ทสโม สุสิเมน จาติฯ
The authoritative text of the Saṁyutta Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]