English Edition
    Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation

    มชฺฌิม นิกาย ๑๒๙

    The Middle-Length Suttas Collection 129

    พาลปณฺฑิตสุตฺต

    The Foolish and the Astute

    เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ภิกฺขโว”ติฯ

    So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery. There the Buddha addressed the bhikkhus, “Bhikkhus!”

    “ภทนฺเต”ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:

    “Venerable sir,” they replied. The Buddha said this:

    “ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, พาลสฺส พาลลกฺขณานิ พาลนิมิตฺตานิ พาลาปทานานิฯ กตมานิ ตีณิ? อิธ, ภิกฺขเว, พาโล ทุจฺจินฺติตจินฺตี จ โหติ ทุพฺภาสิตภาสี จ ทุกฺกฏกมฺมการี จฯ โน เจตํ, ภิกฺขเว, พาโล ทุจฺจินฺติตจินฺตี จ อภวิสฺส ทุพฺภาสิตภาสี จ ทุกฺกฏกมฺมการี จ เกน นํ ปณฺฑิตา ชาเนยฺยุํ: ‘พาโล อยํ ภวํ อสปฺปุริโส'ติ? ยสฺมา จ โข, ภิกฺขเว, พาโล ทุจฺจินฺติตจินฺตี จ โหติ ทุพฺภาสิตภาสี จ ทุกฺกฏกมฺมการี จ ตสฺมา นํ ปณฺฑิตา ชานนฺติ: ‘พาโล อยํ ภวํ อสปฺปุริโส'ติฯ

    “These are the three characteristics, signs, and manifestations of a fool. What three? A fool thinks poorly, speaks poorly, and acts poorly. If a fool didn’t think poorly, speak poorly, and act poorly, then how would the astute know of them, ‘This fellow is a fool, a bad person’? But since a fool does think poorly, speak poorly, and act poorly, then the astute do know of them, ‘This fellow is a fool, a bad person’.

    ส โข โส, ภิกฺขเว, พาโล ติวิธํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติฯ

    A fool experiences three kinds of suffering and sadness in the present life.

    สเจ, ภิกฺขเว, พาโล สภายํ วา นิสินฺโน โหติ, รถิกาย วา นิสินฺโน โหติ, สิงฺฆาฏเก วา นิสินฺโน โหติ; ตตฺร เจ ชโน ตชฺชํ ตสฺสารุปฺปํ กถํ มนฺเตติฯ สเจ, ภิกฺขเว, พาโล ปาณาติปาตี โหติ, อทินฺนาทายี โหติ, กาเมสุมิจฺฉาจารี โหติ, มุสาวาที โหติ, สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐายี โหติฯ ตตฺร, ภิกฺขเว, พาลสฺส เอวํ โหติ: ‘ยํ โข ชโน ตชฺชํ ตสฺสารุปฺปํ กถํ มนฺเตติ, สํวิชฺชนฺเตว เต ธมฺมา มยิ, อหญฺจ เตสุ ธมฺเมสุ สนฺทิสฺสามี'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, พาโล ปฐมํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติฯ

    Suppose a fool is sitting in a council hall, a street, or a crossroad, where people are discussing what is proper and fitting. And suppose that fool is someone who kills living creatures, steals, commits sexual misconduct, lies, and uses alcoholic drinks that cause negligence. Then that fool thinks, ‘These people are discussing what is proper and fitting. But those bad things are found in me and I exhibit them!’ This is the first kind of suffering and sadness that a fool experiences in the present life.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, พาโล ปสฺสติ ราชาโน โจรํ อาคุจารึ คเหตฺวา วิวิธา กมฺมการณา กาเรนฺเต—กสาหิปิ ตาเฬนฺเต เวตฺเตหิปิ ตาเฬนฺเต อทฺธทณฺฑเกหิปิ ตาเฬนฺเต หตฺถมฺปิ ฉินฺทนฺเต ปาทมฺปิ ฉินฺทนฺเต หตฺถปาทมฺปิ ฉินฺทนฺเต กณฺณมฺปิ ฉินฺทนฺเต นาสมฺปิ ฉินฺทนฺเต กณฺณนาสมฺปิ ฉินฺทนฺเต พิลงฺคถาลิกมฺปิ กโรนฺเต สงฺขมุณฺฑิกมฺปิ กโรนฺเต ราหุมุขมฺปิ กโรนฺเต โชติมาลิกมฺปิ กโรนฺเต หตฺถปชฺโชติกมฺปิ กโรนฺเต เอรกวตฺติกมฺปิ กโรนฺเต จีรกวาสิกมฺปิ กโรนฺเต เอเณยฺยกมฺปิ กโรนฺเต พฬิสมํสิกมฺปิ กโรนฺเต กหาปณิกมฺปิ กโรนฺเต ขาราปตจฺฉิกมฺปิ กโรนฺเต ปลิฆปริวตฺติกมฺปิ กโรนฺเต ปลาลปีฐกมฺปิ กโรนฺเต ตตฺเตนปิ เตเลน โอสิญฺจนฺเต สุนเขหิปิ ขาทาเปนฺเต ชีวนฺตมฺปิ สูเล อุตฺตาเสนฺเต อสินาปิ สีสํ ฉินฺทนฺเตฯ ตตฺร, ภิกฺขเว, พาลสฺส เอวํ โหติ: ‘ยถารูปานํ โข ปาปกานํ กมฺมานํ เหตุ ราชาโน โจรํ อาคุจารึ คเหตฺวา วิวิธา กมฺมการณา กาเรนฺติ—กสาหิปิ ตาเฬนฺติ …เป… อสินาปิ สีสํ ฉินฺทนฺติ; สํวิชฺชนฺเตว เต ธมฺมา มยิ, อหญฺจ เตสุ ธมฺเมสุ สนฺทิสฺสามิฯ มญฺเจปิ ราชาโน ชาเนยฺยุํ, มมฺปิ ราชาโน คเหตฺวา วิวิธา กมฺมการณา กาเรยฺยุํ—กสาหิปิ ตาเฬยฺยุํ …เป… ชีวนฺตมฺปิ สูเล อุตฺตาเสยฺยุํ, อสินาปิ สีสํ ฉินฺเทยฺยุนฺ'ติฯ อิทมฺปิ, ภิกฺขเว, พาโล ทุติยํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติฯ

    Furthermore, a fool sees that the kings have arrested a bandit, a criminal, and subjected them to various punishments—whipping, caning, and clubbing; cutting off hands or feet, or both; cutting off ears or nose, or both; the ‘porridge pot’, the ‘shell-shave’, the ‘demon’s mouth’, the ‘garland of fire’, the ‘burning hand’, the ‘grass blades’, the ‘bark dress’, the ‘antelope’, the ‘meat hook’, the ‘coins’, the ‘caustic pickle’, the ‘twisting bar’, the ‘straw mat’; being splashed with hot oil, being fed to the dogs, being impaled alive, and being beheaded. Then that fool thinks, ‘The kinds of deeds for which the kings inflict such punishments—those things are found in me and I exhibit them! If the kings find out about me, they will inflict the same kinds of punishments on me!’ This is the second kind of suffering and sadness that a fool experiences in the present life.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, พาลํ ปีฐสมารูฬฺหํ วา มญฺจสมารูฬฺหํ วา ฉมายํ วา เสมานํ, ยานิสฺส ปุพฺเพ ปาปกานิ กมฺมานิ กตานิ กาเยน ทุจฺจริตานิ วาจาย ทุจฺจริตานิ มนสา ทุจฺจริตานิ ตานิสฺส ตมฺหิ สมเย โอลมฺพนฺติ อชฺโฌลมฺพนฺติ อภิปฺปลมฺพนฺติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มหตํ ปพฺพตกูฏานํ ฉายา สายนฺหสมยํ ปถวิยา โอลมฺพนฺติ อชฺโฌลมฺพนฺติ อภิปฺปลมฺพนฺติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, พาลํ ปีฐสมารูฬฺหํ วา มญฺจสมารูฬฺหํ วา ฉมายํ วา เสมานํ, ยานิสฺส ปุพฺเพ ปาปกานิ กมฺมานิ กตานิ กาเยน ทุจฺจริตานิ วาจาย ทุจฺจริตานิ มนสา ทุจฺจริตานิ ตานิสฺส ตมฺหิ สมเย โอลมฺพนฺติ อชฺโฌลมฺพนฺติ อภิปฺปลมฺพนฺติฯ ตตฺร, ภิกฺขเว, พาลสฺส เอวํ โหติ: ‘อกตํ วต เม กลฺยาณํ, อกตํ กุสลํ, อกตํ ภีรุตฺตาณํ; กตํ ปาปํ, กตํ ลุทฺทํ, กตํ กิพฺพิสํฯ ยาวตา, โภ, อกตกลฺยาณานํ อกตกุสลานํ อกตภีรุตฺตาณานํ กตปาปานํ กตลุทฺทานํ กตกิพฺพิสานํ คติ ตํ คตึ เปจฺจ คจฺฉามี'ติฯ โส โสจติ กิลมติ ปริเทวติ อุรตฺตาฬึ กนฺทติ สมฺโมหํ อาปชฺชติฯ อิทมฺปิ, ภิกฺขเว, พาโล ตติยํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติฯ

    Furthermore, when a fool is resting on a chair or a bed or on the ground, their past bad deeds—misconduct of body, speech, and mind—settle down upon them, rest down upon them, and lay down upon them. It is like the shadow of a great mountain peak in the evening as it settles down, rests down, and lays down upon the earth. In the same way, when a fool is resting on a chair or a bed or on the ground, their past bad deeds—misconduct of body, speech, and mind—settle down upon them, rest down upon them, and lay down upon them. Then that fool thinks, ‘Well, I haven’t done good and skillful things that keep me safe. And I have done bad, violent, and depraved things. When I depart, I’ll go to the place where people who’ve done such things go.’ They sorrow and wail and lament, beating their breasts and falling into confusion. This is the third kind of suffering and sadness that a fool experiences in the present life.

    ส โข โส, ภิกฺขเว, พาโล กาเยน ทุจฺจริตํ จริตฺวา วาจาย ทุจฺจริตํ จริตฺวา มนสา ทุจฺจริตํ จริตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ

    Having done bad things by way of body, speech, and mind, when their body breaks up, after death, they’re reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell.

    ยํ โข ตํ, ภิกฺขเว, สมฺมา วทมาโน วเทยฺย: ‘เอกนฺตํ อนิฏฺฐํ เอกนฺตํ อกนฺตํ เอกนฺตํ อมนาปนฺ'ติ, นิรยเมว ตํ สมฺมา วทมาโน วเทยฺย: ‘เอกนฺตํ อนิฏฺฐํ เอกนฺตํ อกนฺตํ เอกนฺตํ อมนาปนฺ'ติฯ ยาวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, อุปมาปิ น สุกรา ยาว ทุกฺขา นิรยา”ติฯ

    And if there’s anything of which it may be rightly said that it is utterly unlikable, undesirable, and disagreeable, it is of hell that this should be said. So much so that it’s not easy to give a simile for how painful hell is.”

    เอวํ วุตฺเต, อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “สกฺกา ปน, ภนฺเต, อุปมํ กาตุนฺ”ติ?

    When he said this, one of the bhikkhus asked the Buddha, “But sir, is it possible to give a simile?”

    “สกฺกา, ภิกฺขู”ติ ภควา อโวจฯ

    “It’s possible,” said the Buddha.

    “เสยฺยถาปิ, ภิกฺขุ, โจรํ อาคุจารึ คเหตฺวา รญฺโญ ทเสฺสยฺยุํ: ‘อยํ โข, เทว, โจโร อาคุจารี, อิมสฺส ยํ อิจฺฉสิ ตํ ทณฺฑํ ปเณหี'ติฯ ตเมนํ ราชา เอวํ วเทยฺย: ‘คจฺฉถ, โภ, อิมํ ปุริสํ ปุพฺพณฺหสมยํ สตฺติสเตน หนถา'ติฯ ตเมนํ ปุพฺพณฺหสมยํ สตฺติสเตน หเนยฺยุํฯ อถ ราชา มชฺฌนฺหิกสมยํ เอวํ วเทยฺย: ‘อมฺโภ, กถํ โส ปุริโส'ติ? ‘ตเถว, เทว, ชีวตี'ติฯ ตเมนํ ราชา เอวํ วเทยฺย: ‘คจฺฉถ, โภ, ตํ ปุริสํ มชฺฌนฺหิกสมยํ สตฺติสเตน หนถา'ติฯ ตเมนํ มชฺฌนฺหิกสมยํ สตฺติสเตน หเนยฺยุํฯ อถ ราชา สายนฺหสมยํ เอวํ วเทยฺย: ‘อมฺโภ, กถํ โส ปุริโส'ติ? ‘ตเถว, เทว, ชีวตี'ติฯ ตเมนํ ราชา เอวํ วเทยฺย: ‘คจฺฉถ, โภ, ตํ ปุริสํ สายนฺหสมยํ สตฺติสเตน หนถา'ติฯ ตเมนํ สายนฺหสมยํ สตฺติสเตน หเนยฺยุํฯ

    “Suppose they arrest a bandit, a criminal and present him to the king, saying, ‘Your Majesty, this is a bandit, a criminal. Punish him as you will.’ The king would say, ‘Go, my men, and strike this man in the morning with a hundred spears!’ The king’s men did as they were told. Then at midday the king would say, ‘My men, how is that man?’ ‘He’s still alive, Your Majesty.’ The king would say, ‘Go, my men, and strike this man in the midday with a hundred spears!’ The king’s men did as they were told. Then late in the afternoon the king would say, ‘My men, how is that man?’ ‘He’s still alive, Your Majesty.’ The king would say, ‘Go, my men, and strike this man in the late afternoon with a hundred spears!’ The king’s men did as they were told.

    ตํ กึ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ โส ปุริโส ตีหิ สตฺติสเตหิ หญฺญมาโน ตโตนิทานํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฏิสํเวทิเยถา”ติ?

    What do you think, bhikkhus? Would that man experience pain and distress from being struck with three hundred spears?”

    “เอกิสฺสาปิ, ภนฺเต, สตฺติยา หญฺญมาโน โส ปุริโส ตโตนิทานํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฏิสํเวทิเยถ, โก ปน วาโท ตีหิ สตฺติสเตหี”ติ?

    “Sir, that man would experience pain and distress from being struck with one spear, let alone three hundred spears!”

    อถ โข ภควา ปริตฺตํ ปาณิมตฺตํ ปาสาณํ คเหตฺวา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ตํ กึ มญฺญถ, ภิกฺขเว, กตโม นุ โข มหนฺตตโร—โย จายํ มยา ปริตฺโต ปาณิมตฺโต ปาสาโณ คหิโต, โย จ หิมวา ปพฺพตราชา”ติ?

    Then the Buddha, picking up a stone the size of his palm, addressed the bhikkhus, “What do you think, bhikkhus? Which is bigger: the stone the size of my palm that I’ve picked up, or the Himalayas, the king of mountains?”

    “อปฺปมตฺตโก อยํ, ภนฺเต, ภควตา ปริตฺโต ปาณิมตฺโต ปาสาโณ คหิโต, หิมวนฺตํ ปพฺพตราชานํ อุปนิธาย สงฺขมฺปิ น อุเปติ, กลภาคมฺปิ น อุเปติ, อุปนิธมฺปิ น อุเป”ติฯ

    “Sir, the stone you’ve picked up is tiny. Compared to the Himalayas, it doesn’t count, it’s not worth a fraction, there’s no comparison.”

    “เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยํ โส ปุริโส ตีหิ สตฺติสเตหิ หญฺญมาโน ตโตนิทานํ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติ ตํ นิรยกสฺส ทุกฺขสฺส อุปนิธาย สงฺขมฺปิ น อุเปติ, กลภาคมฺปิ น อุเปติ, อุปนิธมฺปิ น อุเปติฯ

    “In the same way, compared to the suffering in hell, the pain and distress experienced by that man due to being struck with three hundred spears doesn’t count, it’s not worth a fraction, there’s no comparison.

    ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา ปญฺจวิธพนฺธนํ นาม กมฺมการณํ กโรนฺติ—ตตฺตํ อโยขิลํ หตฺเถ คเมนฺติ, ตตฺตํ อโยขิลํ ทุติเย หตฺเถ คเมนฺติ, ตตฺตํ อโยขิลํ ปาเท คเมนฺติ, ตตฺตํ อโยขิลํ ทุติเย ปาเท คเมนฺติ, ตตฺตํ อโยขิลํ มชฺเฌ อุรสฺมึ คเมนฺติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลํ กโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ

    The wardens of hell punish them with the five-fold crucifixion. They drive red-hot stakes through the hands and feet, and another in the middle of the chest. And there they feel painful, sharp, severe, acute feelings—but they don’t die until that bad deed is eliminated.

    ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา สํเวเสตฺวา กุฐารีหิ ตจฺฉนฺติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา …เป… พฺยนฺตีโหติฯ

    The wardens of hell throw them down and hack them with axes. …

    ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา อุทฺธมฺปาทํ อโธสิรํ คเหตฺวา วาสีหิ ตจฺฉนฺติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา …เป… พฺยนฺตีโหติฯ

    They hang them upside-down and hack them with hatchets. …

    ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา รเถ โยเชตฺวา อาทิตฺตาย ปถวิยา สมฺปชฺชลิตาย สโชติภูตาย สาเรนฺติปิ ปจฺจาสาเรนฺติปิฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา …เป… พฺยนฺตีโหติฯ

    They harness them to a chariot, and drive them back and forth across burning ground, blazing and glowing. …

    ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา มหนฺตํ องฺคารปพฺพตํ อาทิตฺตํ สมฺปชฺชลิตํ สโชติภูตํ อาโรเปนฺติปิ โอโรเปนฺติปิฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลํ กโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ

    They make them climb up and down a huge mountain of burning coals, blazing and glowing. …

    ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา อุทฺธมฺปาทํ อโธสิรํ คเหตฺวา ตตฺตาย โลหกุมฺภิยา ปกฺขิปนฺติ อาทิตฺตาย สมฺปชฺชลิตาย สโชติภูตายฯ โส ตตฺถ เผณุทฺเทหกํ ปจฺจติฯ โส ตตฺถ เผณุทฺเทหกํ ปจฺจมาโน สกิมฺปิ อุทฺธํ คจฺฉติ, สกิมฺปิ อโธ คจฺฉติ, สกิมฺปิ ติริยํ คจฺฉติฯ โส ตตฺถ ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา เวทนา เวเทติ, น จ ตาว กาลํ กโรติ ยาว น ตํ ปาปกมฺมํ พฺยนฺตีโหติฯ

    The wardens of hell turn them upside down and throw them into a red-hot copper pot, burning, blazing, and glowing. There they’re seared in boiling scum, and they’re swept up and down and round and round. And there they feel painful, sharp, severe, acute feelings—but they don’t die until that bad deed is eliminated.

    ตเมนํ, ภิกฺขเว, นิรยปาลา มหานิรเย ปกฺขิปนฺติฯ โส โข ปน, ภิกฺขเว, มหานิรโย—

    The wardens of hell toss them in the Great Hell. Now, about that Great Hell:

    จตุกฺกณฺโณ จตุทฺวาโร, วิภตฺโต ภาคโส มิโต; อโยปาการปริยนฺโต, อยสา ปฏิกุชฺชิโตฯ

    ‘Four are its corners, four its doors, neatly divided in equal parts. Surrounded by an iron wall, of iron is its roof.

    ตสฺส อโยมยา ภูมิ, ชลิตา เตชสา ยุตา; สมนฺตา โยชนสตํ, ผริตฺวา ติฏฺฐติ สพฺพทาฯ

    The ground is even made of iron, it burns with fierce fire. The heat forever radiates a hundred leagues around.’

    อเนกปริยาเยนปิ โข อหํ, ภิกฺขเว, นิรยกถํ กเถยฺยํ; ยาวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, น สุกรา อกฺขาเนน ปาปุณิตุํ ยาว ทุกฺขา นิรยาฯ

    I could tell you many different things about hell. So much so that it’s not easy to completely describe the suffering in hell.

    สนฺติ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตา ปาณา ติณภกฺขาฯ เต อลฺลานิปิ ติณานิ สุกฺขานิปิ ติณานิ ทนฺตุเลฺลหกํ ขาทนฺติฯ กตเม จ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตา ปาณา ติณภกฺขา? หตฺถี อสฺสา โคณา คทฺรภา อชา มิคา, เย วา ปนญฺเญปิ เกจิ ติรจฺฉานคตา ปาณา ติณภกฺขาฯ ส โข โส, ภิกฺขเว, พาโล อิธ ปุพฺเพ รสาโท อิธ ปาปานิ กมฺมานิ กริตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เตสํ สตฺตานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ เย เต สตฺตา ติณภกฺขาฯ

    There are, bhikkhus, animals that feed on grass. They eat by cropping fresh or dried grass with their teeth. And what animals feed on grass? Elephants, horses, cattle, donkeys, goats, deer, and various others. A fool who used to be a glutton here and did bad deeds here, when their body breaks up, after death, is reborn in the company of those sentient beings who feed on grass.

    สนฺติ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตา ปาณา คูถภกฺขาฯ เต ทูรโตว คูถคนฺธํ ฆายิตฺวา ธาวนฺติ: ‘เอตฺถ ภุญฺชิสฺสาม, เอตฺถ ภุญฺชิสฺสามา'ติฯ เสยฺยถาปิ นาม พฺราหฺมณา อาหุติคนฺเธน ธาวนฺติ: ‘เอตฺถ ภุญฺชิสฺสาม, เอตฺถ ภุญฺชิสฺสามา'ติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, สนฺติ ติรจฺฉานคตา ปาณา คูถภกฺขา, เต ทูรโตว คูถคนฺธํ ฆายิตฺวา ธาวนฺติ: ‘เอตฺถ ภุญฺชิสฺสาม, เอตฺถ ภุญฺชิสฺสามา'ติฯ กตเม จ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตา ปาณา คูถภกฺขา? กุกฺกุฏา สูกรา โสณา สิงฺคาลา, เย วา ปนญฺเญปิ เกจิ ติรจฺฉานคตา ปาณา คูถภกฺขาฯ ส โข โส, ภิกฺขเว, พาโล อิธ ปุพฺเพ รสาโท อิธ ปาปานิ กมฺมานิ กริตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เตสํ สตฺตานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ เย เต สตฺตา คูถภกฺขาฯ

    There are animals that feed on dung. When they catch a whiff of dung they run to it, thinking, ‘There we’ll eat! There we’ll eat!’ It’s like when brahmins smell a burnt offering, they run to it, thinking, ‘There we’ll eat! There we’ll eat!’ In the same way, there are animals that feed on dung. When they catch a whiff of dung they run to it, thinking, ‘There we’ll eat! There we’ll eat!’ And what animals feed on dung? Chickens, pigs, dogs, jackals, and various others. A fool who used to be a glutton here and did bad deeds here, after death is reborn in the company of those sentient beings who feed on dung.

    สนฺติ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตา ปาณา อนฺธกาเร ชายนฺติ อนฺธกาเร ชียนฺติ อนฺธกาเร มียนฺติฯ กตเม จ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตา ปาณา อนฺธกาเร ชายนฺติ อนฺธกาเร ชียนฺติ อนฺธกาเร มียนฺติ? กีฏา ปุฬวา คณฺฑุปฺปาทา, เย วา ปนญฺเญปิ เกจิ ติรจฺฉานคตา ปาณา อนฺธกาเร ชายนฺติ อนฺธกาเร ชียนฺติ อนฺธกาเร มียนฺติฯ ส โข โส, ภิกฺขเว, พาโล อิธ ปุพฺเพ รสาโท, อิธ ปาปานิ กมฺมานิ กริตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เตสํ สตฺตานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ เย เต สตฺตา อนฺธกาเร ชายนฺติ อนฺธกาเร ชียนฺติ อนฺธกาเร มียนฺติฯ

    There are animals who are born, live, and die in darkness. And what animals are born, live, and die in darkness? Moths, maggots, earthworms, and various others. A fool who used to be a glutton here and did bad deeds here, after death is reborn in the company of those sentient beings who are born, live, and die in darkness.

    สนฺติ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตา ปาณา อุทกสฺมึ ชายนฺติ อุทกสฺมึ ชียนฺติ อุทกสฺมึ มียนฺติฯ กตเม จ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตา ปาณา อุทกสฺมึ ชายนฺติ อุทกสฺมึ ชียนฺติ อุทกสฺมึ มียนฺติ? มจฺฉา กจฺฉปา สุสุมารา, เย วา ปนญฺเญปิ เกจิ ติรจฺฉานคตา ปาณา อุทกสฺมึ ชายนฺติ อุทกสฺมึ ชียนฺติ อุทกสฺมึ มียนฺติฯ ส โข โส, ภิกฺขเว, พาโล อิธ ปุพฺเพ รสาโท อิธ ปาปานิ กมฺมานิ กริตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เตสํ สตฺตานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ เย เต สตฺตา อุทกสฺมึ ชายนฺติ อุทกสฺมึ ชียนฺติ อุทกสฺมึ มียนฺติฯ

    There are animals who are born, live, and die in water. And what animals are born, live, and die in water? Fish, turtles, crocodiles, and various others. A fool who used to be a glutton here and did bad deeds here, after death is reborn in the company of those sentient beings who are born, live, and die in water.

    สนฺติ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตา ปาณา อสุจิสฺมึ ชายนฺติ อสุจิสฺมึ ชียนฺติ อสุจิสฺมึ มียนฺติฯ กตเม จ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานคตา ปาณา อสุจิสฺมึ ชายนฺติ อสุจิสฺมึ ชียนฺติ อสุจิสฺมึ มียนฺติ? เย เต, ภิกฺขเว, สตฺตา ปูติมจฺเฉ วา ชายนฺติ ปูติมจฺเฉ วา ชียนฺติ ปูติมจฺเฉ วา มียนฺติ ปูติกุณเป วา …เป… ปูติกุมฺมาเส วา … จนฺทนิกาย วา … โอลิคเลฺล วา ชายนฺติ, เย วา ปนญฺเญปิ เกจิ ติรจฺฉานคตา ปาณา อสุจิสฺมึ ชายนฺติ อสุจิสฺมึ ชียนฺติ อสุจิสฺมึ มียนฺติฯ ส โข โส, ภิกฺขเว, พาโล อิธ ปุพฺเพ รสาโท อิธ ปาปานิ กมฺมานิ กริตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เตสํ สตฺตานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ เย เต สตฺตา อสุจิสฺมึ ชายนฺติ อสุจิสฺมึ ชียนฺติ อสุจิสฺมึ มียนฺติฯ

    There are animals who are born, live, and die in filth. And what animals are born, live, and die in filth? Those animals that are born, live, and die in a rotten fish, a rotten carcass, rotten porridge, or a sewer. A fool who used to be a glutton here and did bad deeds here, after death is reborn in the company of those sentient beings who are born, live, and die in filth.

    อเนกปริยาเยนปิ โข อหํ, ภิกฺขเว, ติรจฺฉานโยนิกถํ กเถยฺยํ; ยาวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, น สุกรํ อกฺขาเนน ปาปุณิตุํ ยาว ทุกฺขา ติรจฺฉานโยนิฯ

    I could tell you many different things about the animal realm. So much so that it’s not easy to completely describe the suffering in the animal realm.

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปุริโส เอกจฺฉิคฺคลํ ยุคํ มหาสมุทฺเท ปกฺขิเปยฺยฯ ตเมนํ ปุรตฺถิโม วาโต ปจฺฉิเมน สํหเรยฺย, ปจฺฉิโม วาโต ปุรตฺถิเมน สํหเรยฺย, อุตฺตโร วาโต ทกฺขิเณน สํหเรยฺย, ทกฺขิโณ วาโต อุตฺตเรน สํหเรยฺยฯ ตตฺราสฺส กาโณ กจฺฉโป, โส วสฺสสตสฺส วสฺสสตสฺส อจฺจเยน สกึ อุมฺมุชฺเชยฺยฯ

    Bhikkhus, suppose a person were to throw a yoke with a single hole into the ocean. The east wind wafts it west; the west wind wafts it east; the north wind wafts it south; and the south wind wafts it north. And there was a one-eyed turtle who popped up once every hundred years.

    ตํ กึ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ โส กาโณ กจฺฉโป อมุสฺมึ เอกจฺฉิคฺคเล ยุเค คีวํ ปเวเสยฺยา”ติ?

    What do you think, bhikkhus? Would that one-eyed turtle still poke its neck through the hole in that yoke?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ “ยทิ ปน, ภนฺเต, กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยนา”ติฯ

    “No, sir. Only after a very long time, sir, if ever.”

    “ขิปฺปตรํ โข โส, ภิกฺขเว, กาโณ กจฺฉโป อมุสฺมึ เอกจฺฉิคฺคเล ยุเค คีวํ ปเวเสยฺย, อโต ทุลฺลภตราหํ, ภิกฺขเว, มนุสฺสตฺตํ วทามิ สกึ วินิปาตคเตน พาเลนฯ ตํ กิสฺส เหตุ? น เหตฺถ, ภิกฺขเว, อตฺถิ ธมฺมจริยา สมจริยา กุสลกิริยา ปุญฺญกิริยาฯ อญฺญมญฺญขาทิกา เอตฺถ, ภิกฺขเว, วตฺตติ ทุพฺพลขาทิกาฯ

    “That one-eyed turtle would poke its neck through the hole in that yoke sooner than a fool who has fallen to the underworld would be reborn as a human being, I say. Why is that? Because in that place there’s no principled or moral conduct, and no doing what is good and skillful. There they just prey on each other, preying on the weak.

    ส โข โส, ภิกฺขเว, พาโล สเจ กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน มนุสฺสตฺตํ อาคจฺฉติ, ยานิ ตานิ นีจกุลานิ—จณฺฑาลกุลํ วา เนสาทกุลํ วา เวนกุลํ วา รถการกุลํ วา ปุกฺกุสกุลํ วาฯ ตถารูเป กุเล ปจฺจาชายติ ทลิทฺเท อปฺปนฺนปานโภชเน กสิรวุตฺติเก, ยตฺถ กสิเรน ฆาสจฺฉาโท ลพฺภติฯ โส จ โหติ ทุพฺพณฺโณ ทุทฺทสิโก โอโกฏิมโก พวฺหาพาโธ กาโณ วา กุณี วา ขุชฺโช วา ปกฺขหโต วา น ลาภี อนฺนสฺส ปานสฺส วตฺถสฺส ยานสฺส มาลาคนฺธวิเลปนสฺส เสยฺยาวสถปทีเปยฺยสฺสฯ โส กาเยน ทุจฺจริตํ จรติ วาจาย ทุจฺจริตํ จรติ มนสา ทุจฺจริตํ จรติฯ โส กาเยน ทุจฺจริตํ จริตฺวา วาจาย ทุจฺจริตํ จริตฺวา มนสา ทุจฺจริตํ จริตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ

    And suppose that fool, after a very long time, returned to the human realm. They’d be reborn in a low class family—a family of outcastes, hunters, bamboo-workers, chariot-makers, or waste-collectors. Such families are poor, with little to eat or drink, where life is tough, and food and shelter are hard to find. And they’d be ugly, unsightly, deformed, sickly—one-eyed, crippled, lame, or half-paralyzed. They don’t get to have food, drink, clothes, and vehicles; garlands, perfumes, and makeup; or bed, house, and lighting. And they do bad things by way of body, speech, and mind. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell.

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อกฺขธุตฺโต ปฐเมเนว กลิคฺคเหน ปุตฺตมฺปิ ชีเยถ, ทารมฺปิ ชีเยถ, สพฺพํ สาปเตยฺยมฺปิ ชีเยถ, อุตฺตริปิ อธิพนฺธํ นิคจฺเฉยฺยฯ อปฺปมตฺตโก โส, ภิกฺขเว, กลิคฺคโห ยํ โส อกฺขธุตฺโต ปฐเมเนว กลิคฺคเหน ปุตฺตมฺปิ ชีเยถ, ทารมฺปิ ชีเยถ, สพฺพํ สาปเตยฺยมฺปิ ชีเยถ, อุตฺตริปิ อธิพนฺธํ นิคจฺเฉยฺยฯ อถ โข อยเมว ตโต มหนฺตตโร กลิคฺคโห ยํ โส พาโล กาเยน ทุจฺจริตํ จริตฺวา วาจาย ทุจฺจริตํ จริตฺวา มนสา ทุจฺจริตํ จริตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติฯ อยํ, ภิกฺขเว, เกวลา ปริปูรา พาลภูมีติฯ

    Suppose a gambler on the first unlucky throw were to lose his wife and child, all his property, and then get thrown in jail. But such an unlucky throw is trivial compared to the unlucky throw whereby a fool, having done bad things by way of body, speech, and mind, when their body breaks up, after death, is reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. This is the total fulfillment of the fool’s level.

    ตีณิมานิ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตสฺส ปณฺฑิตลกฺขณานิ ปณฺฑิตนิมิตฺตานิ ปณฺฑิตาปทานานิฯ กตมานิ ตีณิ? อิธ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต สุจินฺติตจินฺตี จ โหติ สุภาสิตภาสี จ สุกตกมฺมการี จฯ โน เจตํ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต สุจินฺติตจินฺตี จ อภวิสฺส สุภาสิตภาสี จ สุกตกมฺมการี จ, เกน นํ ปณฺฑิตา ชาเนยฺยุํ: ‘ปณฺฑิโต อยํ ภวํ สปฺปุริโส'ติ?

    There are these three characteristics, signs, and manifestations of an astute person. What three? An astute person thinks well, speaks well, and acts well. If an astute person didn’t think well, speak well, and act well, then how would the astute know of them, ‘This fellow is astute, a good person’?

    ยสฺมา จ โข, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต สุจินฺติตจินฺตี จ โหติ สุภาสิตภาสี จ สุกตกมฺมการี จ ตสฺมา นํ ปณฺฑิตา ชานนฺติ: ‘ปณฺฑิโต อยํ ภวํ สปฺปุริโส'ติฯ ส โข โส, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต ติวิธํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สุขํ โสมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติฯ สเจ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต สภายํ วา นิสินฺโน โหติ, รถิกาย วา นิสินฺโน โหติ, สิงฺฆาฏเก วา นิสินฺโน โหติ; ตตฺร เจ ชโน ตชฺชํ ตสฺสารุปฺปํ กถํ มนฺเตติฯ สเจ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต ปาณาติปาตา ปฏิวิรโต โหติ, อทินฺนาทานา ปฏิวิรโต โหติ, กาเมสุมิจฺฉาจารา ปฏิวิรโต โหติ, มุสาวาทา ปฏิวิรโต โหติ, สุราเมรยมชฺชปฺปมาทฏฺฐานา ปฏิวิรโต โหติ; ตตฺร, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตสฺส เอวํ โหติ: ‘ยํ โข ชโน ตชฺชํ ตสฺสารุปฺปํ กถํ มนฺเตติ; สํวิชฺชนฺเตว เต ธมฺมา มยิ, อหญฺจ เตสุ ธมฺเมสุ สนฺทิสฺสามี'ติฯ อิทํ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต ปฐมํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สุขํ โสมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติฯ

    But since an astute person does think well, speak well, and act well, then the astute do know of them, ‘This fellow is astute, a good person’. An astute person experiences three kinds of pleasure and happiness in the present life. Suppose an astute person is sitting in a council hall, a street, or a crossroad, where people are discussing about what is proper and fitting. And suppose that astute person is someone who refrains from killing living creatures, stealing, committing sexual misconduct, lying, and alcoholic drinks that cause negligence. Then that astute person thinks, ‘These people are discussing what is proper and fitting. And those good things are found in me and I exhibit them.’ This is the first kind of pleasure and happiness that an astute person experiences in the present life.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต ปสฺสติ ราชาโน โจรํ อาคุจารึ คเหตฺวา วิวิธา กมฺมการณา กาเรนฺเต—กสาหิปิ ตาเฬนฺเต เวตฺเตหิปิ ตาเฬนฺเต อทฺธทณฺฑเกหิปิ ตาเฬนฺเต หตฺถมฺปิ ฉินฺทนฺเต ปาทมฺปิ ฉินฺทนฺเต หตฺถปาทมฺปิ ฉินฺทนฺเต กณฺณมฺปิ ฉินฺทนฺเต นาสมฺปิ ฉินฺทนฺเต กณฺณนาสมฺปิ ฉินฺทนฺเต พิลงฺคถาลิกมฺปิ กโรนฺเต สงฺขมุณฺฑิกมฺปิ กโรนฺเต ราหุมุขมฺปิ กโรนฺเต โชติมาลิกมฺปิ กโรนฺเต หตฺถปชฺโชติกมฺปิ กโรนฺเต เอรกวตฺติกมฺปิ กโรนฺเต จีรกวาสิกมฺปิ กโรนฺเต เอเณยฺยกมฺปิ กโรนฺเต พลิสมํสิกมฺปิ กโรนฺเต กหาปณิกมฺปิ กโรนฺเต ขาราปตจฺฉิกมฺปิ กโรนฺเต ปลิฆปริวตฺติกมฺปิ กโรนฺเต ปลาลปีฐกมฺปิ กโรนฺเต ตตฺเตนปิ เตเลน โอสิญฺจนฺเต สุนเขหิปิ ขาทาเปนฺเต ชีวนฺตมฺปิ สูเล อุตฺตาเสนฺเต อสินาปิ สีสํ ฉินฺทนฺเตฯ ตตฺร, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตสฺส เอวํ โหติ: ‘ยถารูปานํ โข ปาปกานํ กมฺมานํ เหตุ ราชาโน โจรํ อาคุจารึ คเหตฺวา วิวิธา กมฺมการณา กาเรนฺติ กสาหิปิ ตาเฬนฺติ, เวตฺเตหิปิ ตาเฬนฺติ, อทฺธทณฺฑเกหิปิ ตาเฬนฺติ, หตฺถมฺปิ ฉินฺทนฺติ, ปาทมฺปิ ฉินฺทนฺติ, หตฺถปาทมฺปิ ฉินฺทนฺติ, กณฺณมฺปิ ฉินฺทนฺติ, นาสมฺปิ ฉินฺทนฺติ, กณฺณนาสมฺปิ ฉินฺทนฺติ, พิลงฺคถาลิกมฺปิ กโรนฺติ, สงฺขมุณฺฑิกมฺปิ กโรนฺติ, ราหุมุขมฺปิ กโรนฺติ, โชติมาลิกมฺปิ กโรนฺติ, หตฺถปชฺโชติกมฺปิ กโรนฺติ, เอรกวตฺติกมฺปิ กโรนฺติ, จีรกวาสิกมฺปิ กโรนฺติ, เอเณยฺยกมฺปิ กโรนฺติ, พลิสมํสิกมฺปิ กโรนฺติ, กหาปณิกมฺปิ กโรนฺติ, ขาราปตจฺฉิกมฺปิ กโรนฺติ, ปลิฆปริวตฺติกมฺปิ กโรนฺติ, ปลาลปีฐกมฺปิ กโรนฺติ, ตตฺเตนปิ เตเลน โอสิญฺจนฺติ, สุนเขหิปิ ขาทาเปนฺติ, ชีวนฺตมฺปิ สูเล อุตฺตาเสนฺติ, อสินาปิ สีสํ ฉินฺทนฺติ, น เต ธมฺมา มยิ สํวิชฺชนฺติ, อหญฺจ น เตสุ ธมฺเมสุ สนฺทิสฺสามี'ติฯ อิทมฺปิ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต ทุติยํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สุขํ โสมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติฯ

    Furthermore, an astute person sees that the kings have arrested a bandit, a criminal, and subjected them to various punishments—whipping, caning, and clubbing; cutting off hands or feet, or both; cutting off ears or nose, or both; the ‘porridge pot’, the ‘shell-shave’, the ‘demon’s mouth’, the ‘garland of fire’, the ‘burning hand’, the ‘grass blades’, the ‘bark dress’, the ‘antelope’, the ‘meat hook’, the ‘coins’, the ‘caustic pickle’, the ‘twisting bar’, the ‘straw mat’; being splashed with hot oil, being fed to the dogs, being impaled alive, and being beheaded. Then that astute person thinks, ‘The kinds of deeds for which the kings inflict such punishments—those things are not found in me and I do not exhibit them!’ This is the second kind of pleasure and happiness that an astute person experiences in the present life.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตํ ปีฐสมารูฬฺหํ วา มญฺจสมารูฬฺหํ วา ฉมายํ วา เสมานํ, ยานิสฺส ปุพฺเพ กลฺยาณานิ กมฺมานิ กตานิ กาเยน สุจริตานิ วาจาย สุจริตานิ มนสา สุจริตานิ ตานิสฺส ตมฺหิ สมเย โอลมฺพนฺติ …เป… เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, มหตํ ปพฺพตกูฏานํ ฉายา สายนฺหสมยํ ปถวิยา โอลมฺพนฺติ อชฺโฌลมฺพนฺติ อภิปฺปลมฺพนฺติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตํ ปีฐสมารูฬฺหํ วา มญฺจสมารูฬฺหํ วา ฉมายํ วา เสมานํ ยานิสฺส ปุพฺเพ กลฺยาณานิ กมฺมานิ กตานิ กาเยน สุจริตานิ วาจาย สุจริตานิ มนสา สุจริตานิ ตานิสฺส ตมฺหิ สมเย โอลมฺพนฺติ อชฺโฌลมฺพนฺติ อภิปฺปลมฺพนฺติฯ ตตฺร, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตสฺส เอวํ โหติ: ‘อกตํ วต เม ปาปํ, อกตํ ลุทฺทํ, อกตํ กิพฺพิสํ; กตํ กลฺยาณํ, กตํ กุสลํ, กตํ ภีรุตฺตาณํฯ ยาวตา, โภ, อกตปาปานํ อกตลุทฺทานํ อกตกิพฺพิสานํ กตกลฺยาณานํ กตกุสลานํ กตภีรุตฺตาณานํ คติ ตํ คตึ เปจฺจ คจฺฉามี'ติฯ โส น โสจติ, น กิลมติ, น ปริเทวติ, น อุรตฺตาฬึ กนฺทติ, น สมฺโมหํ อาปชฺชติฯ อิทมฺปิ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต ตติยํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สุขํ โสมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติฯ

    Furthermore, when an astute person is resting on a chair or a bed or on the ground, their past good deeds—good conduct of body, speech, and mind—settle down upon them, rest down upon them, and lay down upon them. It is like the shadow of a great mountain peak in the evening as it settles down, rests down, and lays down upon the earth. In the same way, when an astute person is resting on a chair or a bed or on the ground, their past good deeds—good conduct of body, speech, and mind—settle down upon them, rest down upon them, and lay down upon them. Then that astute person thinks, ‘Well, I haven’t done bad, violent, and depraved things. And I have done good and skillful deeds that keep me safe. When I pass away, I’ll go to the place where people who’ve done such things go.’ So they don’t sorrow and wail and lament, beating their breast and falling into confusion. This is the third kind of pleasure and happiness that an astute person experiences in the present life.

    ส โข โส, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต กาเยน สุจริตํ จริตฺวา วาจาย สุจริตํ จริตฺวา มนสา สุจริตํ จริตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ

    When their body breaks up, after death, they’re reborn in a good place, a heavenly realm.

    ยํ โข ตํ, ภิกฺขเว, สมฺมา วทมาโน วเทยฺย: ‘เอกนฺตํ อิฏฺฐํ เอกนฺตํ กนฺตํ เอกนฺตํ มนาปนฺ'ติ, สคฺคเมว ตํ สมฺมา วทมาโน วเทยฺย: ‘เอกนฺตํ อิฏฺฐํ เอกนฺตํ กนฺตํ เอกนฺตํ มนาปนฺ'ติฯ ยาวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, อุปมาปิ น สุกรา ยาว สุขา สคฺคา”ติฯ

    And if there’s anything of which it may be rightly said that it is utterly likable, desirable, and agreeable, it is of heaven that this should be said. So much so that it’s not easy to give a simile for how pleasurable heaven is.”

    เอวํ วุตฺเต, อญฺญตโร ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “สกฺกา ปน, ภนฺเต, อุปมํ กาตุนฺ”ติ?

    When he said this, one of the bhikkhus asked the Buddha, “But sir, is it possible to give a simile?”

    “สกฺกา, ภิกฺขู”ติ ภควา อโวจฯ

    “It’s possible,” said the Buddha.

    “เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี สตฺตหิ รตเนหิ สมนฺนาคโต จตูหิ จ อิทฺธีหิ ตโตนิทานํ สุขํ โสมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติฯ

    “Suppose there was a king, a wheel-turning monarch who possessed seven treasures and four blessings, and experienced pleasure and happiness because of them.

    กตเมหิ สตฺตหิ? อิธ, ภิกฺขเว, รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาวสิตฺตสฺส ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส สีสํนฺหาตสฺส อุโปสถิกสฺส อุปริปาสาทวรคตสฺส ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุภวติ สหสฺสารํ สเนมิกํ สนาภิกํ สพฺพาการปริปูรํฯ ตํ ทิสฺวาน รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาวสิตฺตสฺส เอวํ โหติ: ‘สุตํ โข ปน เมตํ ยสฺส รญฺโญ ขตฺติยสฺส มุทฺธาวสิตฺตสฺส ตทหุโปสเถ ปนฺนรเส สีสํนฺหาตสฺส อุโปสถิกสฺส อุปริปาสาทวรคตสฺส ทิพฺพํ จกฺกรตนํ ปาตุภวติ สหสฺสารํ สเนมิกํ สนาภิกํ สพฺพาการปริปูรํ, โส โหติ ราชา จกฺกวตฺตีติฯ อสฺสํ นุ โข อหํ ราชา จกฺกวตฺตี'ติ?

    What seven? It’s when, on the Uposatha day of the fifteenth, an anointed aristocratic king has bathed his head and gone upstairs in the royal longhouse to observe the Uposatha day. And the heavenly wheel-treasure appears to him, with a thousand spokes, with rim and hub, complete in every detail. Seeing this, the king thinks, ‘I have heard that when the heavenly wheel-treasure appears to a king in this way, he becomes a wheel-turning monarch. Am I then a wheel-turning monarch?’

    อถ โข, ภิกฺขเว, ราชา ขตฺติโย มุทฺธาวสิตฺโต วาเมน หตฺเถน ภิงฺการํ คเหตฺวา ทกฺขิเณน หตฺเถน จกฺกรตนํ อพฺภุกฺกิรติ: ‘ปวตฺตตุ ภวํ จกฺกรตนํ, อภิวิชินาตุ ภวํ จกฺกรตนนฺ'ติฯ อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, จกฺกรตนํ ปุรตฺถิมํ ทิสํ ปวตฺตติฯ อนฺวเทว ราชา จกฺกวตฺตี สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ ยสฺมึ โข ปน, ภิกฺขเว, ปเทเส จกฺกรตนํ ปติฏฺฐาติ ตตฺถ ราชา จกฺกวตฺตี วาสํ อุเปติ สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ เย โข ปน, ภิกฺขเว, ปุรตฺถิมาย ทิสาย ปฏิราชาโน เต ราชานํ จกฺกวตฺตึ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาหํสุ: ‘เอหิ โข, มหาราชฯ สฺวาคตํ เต, มหาราชฯ สกํ เต, มหาราชฯ อนุสาส, มหาราชา'ติฯ ราชา จกฺกวตฺตี เอวมาห: ‘ปาโณ น หนฺตพฺโพ, อทินฺนํ นาทาตพฺพํ, กาเมสุมิจฺฉา น จริตพฺพา, มุสา น ภาสิตพฺพา, มชฺชํ น ปาตพฺพํ, ยถาภุตฺตญฺจ ภุญฺชถา'ติฯ เย โข ปน, ภิกฺขเว, ปุรตฺถิมาย ทิสาย ปฏิราชาโน เต รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส อนุยนฺตา ภวนฺติฯ

    Then the anointed aristocratic king, taking a ceremonial vase in his left hand, besprinkled the wheel-treasure with his right hand, saying, ‘Roll forth, O wheel-treasure! Triumph, O wheel-treasure!’ Then the wheel-treasure rolls towards the east. And the king follows it together with his army of four divisions. In whatever place the wheel-treasure stands still, there the king comes to stay together with his army. And any opposing rulers of the eastern quarter come to the wheel-turning monarch and say, ‘Come, great king! Welcome, great king! We are yours, great king, instruct us.’ The wheel-turning monarch says, ‘Do not kill living creatures. Do not steal. Do not commit sexual misconduct. Do not lie. Do not drink alcohol. Maintain the current level of taxation.’ And so the opposing rulers of the eastern quarter become his vassals.

    อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, จกฺกรตนํ ปุรตฺถิมํ สมุทฺทํ อชฺโฌคาเหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา ทกฺขิณํ ทิสํ ปวตฺตติ …เป… ทกฺขิณํ สมุทฺทํ อชฺโฌคาเหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา ปจฺฉิมํ ทิสํ ปวตฺตติ …เป… ปจฺฉิมํ สมุทฺทํ อชฺโฌคาเหตฺวา ปจฺจุตฺตริตฺวา อุตฺตรํ ทิสํ ปวตฺตติ อนฺวเทว ราชา จกฺกวตฺตี สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ ยสฺมึ โข ปน, ภิกฺขเว, ปเทเส จกฺกรตนํ ปติฏฺฐาติ ตตฺถ ราชา จกฺกวตฺตี วาสํ อุเปติ สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนายฯ

    Then the wheel-treasure, having plunged into the eastern ocean and emerged again, rolls towards the south. … Having plunged into the southern ocean and emerged again, it rolls towards the west. … Having plunged into the western ocean and emerged again, it rolls towards the north, followed by the king together with his army of four divisions. In whatever place the wheel-treasure stands still, there the king comes to stay together with his army.

    เย โข ปน, ภิกฺขเว, อุตฺตราย ทิสาย ปฏิราชาโน เต ราชานํ จกฺกวตฺตึ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาหํสุ: ‘เอหิ โข, มหาราชฯ สฺวาคตํ เต, มหาราชฯ สกํ เต, มหาราชฯ อนุสาส, มหาราชา'ติฯ ราชา จกฺกวตฺตี เอวมาห: ‘ปาโณ น หนฺตพฺโพ, อทินฺนํ นาทาตพฺพํ, กาเมสุมิจฺฉา น จริตพฺพา, มุสา น ภาสิตพฺพา, มชฺชํ น ปาตพฺพํ; ยถาภุตฺตญฺจ ภุญฺชถา'ติฯ เย โข ปน, ภิกฺขเว, อุตฺตราย ทิสาย ปฏิราชาโน เต รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส อนุยนฺตา ภวนฺติฯ

    And any opposing rulers of the northern quarter come to the wheel-turning monarch and say, ‘Come, great king! Welcome, great king! We are yours, great king, instruct us.’ The wheel-turning monarch says, ‘Do not kill living creatures. Do not steal. Do not commit sexual misconduct. Do not lie. Do not drink alcohol. Maintain the current level of taxation.’ And so the rulers of the northern quarter become his vassals.

    อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, จกฺกรตนํ สมุทฺทปริยนฺตํ ปถวึ อภิวิชินิตฺวา ตเมว ราชธานึ ปจฺจาคนฺตฺวา รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส อนฺเตปุรทฺวาเร อกฺขาหตํ มญฺเญ ติฏฺฐติ รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส อนฺเตปุรทฺวารํ อุปโสภยมานํฯ รญฺโญ, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺติสฺส เอวรูปํ จกฺกรตนํ ปาตุภวติฯ

    And then the wheel-treasure, having triumphed over this land surrounded by ocean, returns to the royal capital. There it stands still at the gate to the royal compound as if fixed to an axle, illuminating the royal compound. Such is the wheel-treasure that appears to the wheel-turning monarch.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส หตฺถิรตนํ ปาตุภวติ—สพฺพเสโต สตฺตปฺปติฏฺโฐ อิทฺธิมา เวหาสงฺคโม อุโปสโถ นาม นาคราชาฯ ตํ ทิสฺวาน รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส จิตฺตํ ปสีทติ: ‘ภทฺทกํ วต โภ หตฺถิยานํ, สเจ ทมถํ อุเปยฺยา'ติฯ อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, หตฺถิรตนํ เสยฺยถาปิ นาม ภทฺโท หตฺถาชานีโย ทีฆรตฺตํ สุปริทนฺโต เอวเมว ทมถํ อุเปติฯ ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี ตเมว หตฺถิรตนํ วีมํสมาโน ปุพฺพณฺหสมยํ อภิรุหิตฺวา สมุทฺทปริยนฺตํ ปถวึ อนุสํยายิตฺวา ตเมว ราชธานึ ปจฺจาคนฺตฺวา ปาตราสมกาสิฯ รญฺโญ, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺติสฺส เอวรูปํ หตฺถิรตนํ ปาตุภวติฯ

    Next, the elephant-treasure appears to the wheel-turning monarch. It was an all-white sky-walker with psychic power, touching the ground in seven places, a king of elephants named Uposatha. Seeing him, the king was impressed, ‘This would truly be a fine elephant vehicle, if he would submit to taming.’ Then the elephant-treasure submitted to taming, as if he were a fine thoroughbred elephant that had been tamed for a long time. Once it so happened that the wheel-turning monarch, testing that same elephant-treasure, mounted him in the morning and traversed the land surrounded by ocean before returning to the royal capital in time for breakfast. Such is the elephant-treasure that appears to the wheel-turning monarch.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส อสฺสรตนํ ปาตุภวติ—สพฺพเสโต กาฬสีโส มุญฺชเกโส อิทฺธิมา เวหาสงฺคโม วลาหโก นาม อสฺสราชาฯ ตํ ทิสฺวาน รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส จิตฺตํ ปสีทติ: ‘ภทฺทกํ วต โภ อสฺสยานํ, สเจ ทมถํ อุเปยฺยา'ติฯ อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, อสฺสรตนํ เสยฺยถาปิ นาม ภทฺโท อสฺสาชานีโย ทีฆรตฺตํ สุปริทนฺโต เอวเมว ทมถํ อุเปติฯ ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี ตเมว อสฺสรตนํ วีมํสมาโน ปุพฺพณฺหสมยํ อภิรุหิตฺวา สมุทฺทปริยนฺตํ ปถวึ อนุสํยายิตฺวา ตเมว ราชธานึ ปจฺจาคนฺตฺวา ปาตราสมกาสิฯ รญฺโญ, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺติสฺส เอวรูปํ อสฺสรตนํ ปาตุภวติฯ

    Next, the horse-treasure appears to the wheel-turning monarch. It was an all-white sky-walker with psychic power, with head of black and mane like woven reeds, a royal steed named Thundercloud. Seeing him, the king was impressed, ‘This would truly be a fine horse vehicle, if he would submit to taming.’ Then the horse-treasure submitted to taming, as if he were a fine thoroughbred horse that had been tamed for a long time. Once it so happened that the wheel-turning monarch, testing that same horse-treasure, mounted him in the morning and traversed the land surrounded by ocean before returning to the royal capital in time for breakfast. Such is the horse-treasure that appears to the wheel-turning monarch.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส มณิรตนํ ปาตุภวติฯ โส โหติ มณิ เวฬุริโย สุโภ ชาติมา อฏฺฐํโส สุปริกมฺมกโตฯ ตสฺส โข ปน, ภิกฺขเว, มณิรตนสฺส อาภา สมนฺตา โยชนํ ผุฏา โหติฯ ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี ตเมว มณิรตนํ วีมํสมาโน จตุรงฺคินึ เสนํ สนฺนยฺหิตฺวา มณึ ธชคฺคํ อาโรเปตฺวา รตฺตนฺธการติมิสาย ปายาสิฯ เย โข ปน, ภิกฺขเว, สมนฺตา คามา อเหสุํ เต เตโนภาเสน กมฺมนฺเต ปโยเชสุํ ‘ทิวา'ติ มญฺญมานาฯ รญฺโญ, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺติสฺส เอวรูปํ มณิรตนํ ปาตุภวติฯ

    Next, the jewel-treasure appears to the wheel-turning monarch. It is a beryl gem that’s naturally beautiful, eight-faceted, well-worked. And the radiance of that jewel spreads all-round for a league. Once it so happened that the wheel-turning monarch, testing that same jewel-treasure, mobilized his army of four divisions and, with the jewel hoisted on his banner, set out in the dark of the night. Then the villagers around them set off to work, thinking that it was day. Such is the jewel-treasure that appears to the wheel-turning monarch.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส อิตฺถิรตนํ ปาตุภวติฯ สา อภิรูปา ทสฺสนียา ปาสาทิกา ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตา นาติทีฆา นาติรสฺสา นาติกิสา นาติถูลา นาติกาฬิกา นาจฺโจทาตา, อติกฺกนฺตา มานุสํ วณฺณํ, อปฺปตฺตา ทิพฺพํ วณฺณํฯ ตสฺส โข ปน, ภิกฺขเว, อิตฺถิรตนสฺส เอวรูโป กายสมฺผโสฺส โหติ, เสยฺยถาปิ นาม ตูลปิจุโน วา กปฺปาสปิจุโน วาฯ ตสฺส โข ปน, ภิกฺขเว, อิตฺถิรตนสฺส สีเต อุณฺหานิ คตฺตานิ โหนฺติ, อุเณฺห สีตานิ คตฺตานิ โหนฺติฯ ตสฺส โข ปน, ภิกฺขเว, อิตฺถิรตนสฺส กายโต จนฺทนคนฺโธ วายติ, มุขโต อุปฺปลคนฺโธ วายติฯ ตํ โข ปน, ภิกฺขเว, อิตฺถิรตนํ รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส ปุพฺพุฏฺฐายินี โหติ ปจฺฉานิปาตินี กิงฺการปฏิสฺสาวินี มนาปจารินี ปิยวาทินีฯ ตํ โข ปน, ภิกฺขเว, อิตฺถิรตนํ ราชานํ จกฺกวตฺตึ มนสาปิ โน อติจรติ, กุโต ปน กาเยน? รญฺโญ, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺติสฺส เอวรูปํ อิตฺถิรตนํ ปาตุภวติฯ

    Next, the woman-treasure appears to the wheel-turning monarch. She is attractive, good-looking, lovely, of surpassing beauty. She’s neither too tall nor too short; neither too thin nor too fat; neither too dark nor too light. She outdoes human beauty without reaching divine beauty. And her touch is like a tuft of cotton-wool or kapok. When it’s cool her limbs are warm, and when it’s warm her limbs are cool. The fragrance of sandal floats from her body, and lotus from her mouth. She gets up before the king and goes to bed after him, and is obliging, behaving nicely and speaking politely. The woman-treasure does not betray the wheel-turning monarch even in thought, still less in deed. Such is the woman-treasure who appears to the wheel-turning monarch.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส คหปติรตนํ ปาตุภวติฯ ตสฺส กมฺมวิปากชํ ทิพฺพจกฺขุ ปาตุภวติ, เยน นิธึ ปสฺสติ สสฺสามิกมฺปิ อสฺสามิกมฺปิฯ โส ราชานํ จกฺกวตฺตึ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห: ‘อปฺโปสฺสุกฺโก ตฺวํ, เทว, โหหิฯ อหํ เต ธเนน ธนกรณียํ กริสฺสามี'ติฯ ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี ตเมว คหปติรตนํ วีมํสมาโน นาวํ อภิรุหิตฺวา มชฺเฌ คงฺคาย นทิยา โสตํ โอคาหิตฺวา คหปติรตนํ เอตทโวจ: ‘อตฺโถ เม, คหปติ, หิรญฺญสุวณฺเณนา'ติฯ ‘เตน หิ, มหาราช, เอกํ ตีรํ นาวา อุเปตู'ติฯ ‘อิเธว เม, คหปติ, อตฺโถ หิรญฺญสุวณฺเณนา'ติฯ อถ โข ตํ, ภิกฺขเว, คหปติรตนํ อุโภหิ หตฺเถหิ อุทเก โอมสิตฺวา ปูรํ หิรญฺญสุวณฺณสฺส กุมฺภึ อุทฺธริตฺวา ราชานํ จกฺกวตฺตึ เอตทโวจ: ‘อลเมตฺตาวตา, มหาราชฯ กตเมตฺตาวตา, มหาราชฯ ปูชิตเมตฺตาวตา, มหาราชา'ติฯ ราชา จกฺกวตฺตี เอวมาห: ‘อลเมตฺตาวตา, คหปติฯ กตเมตฺตาวตา, คหปติฯ ปูชิตเมตฺตาวตา, คหปตี'ติฯ รญฺโญ, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺติสฺส เอวรูปํ คหปติรตนํ ปาตุภวติฯ

    Next, the householder-treasure appears to the wheel-turning monarch. The power of clairvoyance manifests in him as a result of past deeds, by which he sees hidden treasure, both owned and ownerless. He approaches the wheel-turning monarch and says, ‘Relax, sire. I will take care of the treasury.’ Once it so happened that the wheel-turning monarch, testing that same householder-treasure, boarded a boat and sailed to the middle of the Ganges river. Then he said to the householder-treasure, ‘Householder, I need gold coins and bullion.’ ‘Well then, great king, draw the boat up to one shore.’ ‘It’s right here, householder, that I need gold coins and bullion.’ Then that householder-treasure, immersing both hands in the water, pulled up a pot full of gold coin and bullion, and said to the king, ‘Is this sufficient, great king? Has enough been done, great king, enough offered?’ The wheel-turning monarch said, ‘That is sufficient, householder. Enough has been done, enough offered.’ Such is the householder-treasure that appears to the wheel-turning monarch.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, รญฺโญ จกฺกวตฺติสฺส ปริณายกรตนํ ปาตุภวติ—ปณฺฑิโต พฺยตฺโต เมธาวี ปฏิพโล ราชานํ จกฺกวตฺตึ อุปยาเปตพฺพํ อุปยาเปตุํ อปยาเปตพฺพํ อปยาเปตุํ ฐเปตพฺพํ ฐเปตุํฯ โส ราชานํ จกฺกวตฺตึ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาห: ‘อปฺโปสฺสุกฺโก ตฺวํ, เทว, โหหิฯ อหมนุสาสิสฺสามี'ติฯ รญฺโญ, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺติสฺส เอวรูปํ ปริณายกรตนํ ปาตุภวติฯ ราชา, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺตี อิเมหิ สตฺตหิ รตเนหิ สมนฺนาคโต โหติฯ

    Next, the counselor-treasure appears to the wheel-turning monarch. He is astute, competent, intelligent, and capable of getting the king to appoint who should be appointed, dismiss who should be dismissed, and retain who should be retained. He approaches the wheel-turning monarch and says, ‘Relax, sire. I shall issue instructions.’ Such is the counselor-treasure that appears to the wheel-turning monarch. These are the seven treasures possessed by a wheel-turning monarch.

    กตมาหิ จตูหิ อิทฺธีหิ?

    And what are the four blessings?

    อิธ, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี อภิรูโป โหติ ทสฺสนีโย ปาสาทิโก ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคโต อติวิย อญฺเญหิ มนุเสฺสหิฯ ราชา, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺตี อิมาย ปฐมาย อิทฺธิยา สมนฺนาคโต โหติฯ

    A wheel-turning monarch is attractive, good-looking, lovely, of surpassing beauty, more so than other people. This is the first blessing.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี ทีฆายุโก โหติ จิรฏฺฐิติโก อติวิย อญฺเญหิ มนุเสฺสหิฯ ราชา, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺตี อิมาย ทุติยาย อิทฺธิยา สมนฺนาคโต โหติฯ

    Furthermore, he is long-lived, more so than other people. This is the second blessing.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี อปฺปาพาโธ โหติ อปฺปาตงฺโก สมเวปากินิยา คหณิยา สมนฺนาคโต นาติสีตาย นาจฺจุณฺหาย อติวิย อญฺเญหิ มนุเสฺสหิฯ ราชา, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺตี อิมาย ตติยาย อิทฺธิยา สมนฺนาคโต โหติฯ

    Furthermore, he is rarely ill or unwell, and his stomach digests well, being neither too hot nor too cold, more so than other people. This is the third blessing.

    ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี พฺราหฺมณคหปติกานํ ปิโย โหติ มนาโปฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปิตา ปุตฺตานํ ปิโย โหติ มนาโป; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี พฺราหฺมณคหปติกานํ ปิโย โหติ มนาโปฯ รญฺโญปิ, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺติสฺส พฺราหฺมณคหปติกา ปิยา โหนฺติ มนาปาฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ปิตุ ปุตฺตา ปิยา โหนฺติ มนาปา; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, รญฺโญปิ จกฺกวตฺติสฺส พฺราหฺมณคหปติกา ปิยา โหนฺติ มนาปาฯ

    Furthermore, a wheel-turning monarch is as dear and beloved to the brahmins and householders as a father is to his children. And the brahmins and householders are as dear to the wheel-turning monarch as children are to their father.

    ภูตปุพฺพํ, ภิกฺขเว, ราชา จกฺกวตฺตี จตุรงฺคินิยา เสนาย อุยฺยานภูมึ นิยฺยาสิฯ อถ โข, ภิกฺขเว, พฺราหฺมณคหปติกา ราชานํ จกฺกวตฺตึ อุปสงฺกมิตฺวา เอวมาหํสุ: ‘อตรมาโน, เทว, ยาหิ ยถา ตํ มยํ จิรตรํ ปเสฺสยฺยามา'ติฯ ราชาปิ, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺตี สารถึ อามนฺเตสิ: ‘อตรมาโน, สารถิ, เปเสหิ ยถา มํ พฺราหฺมณคหปติกา จิรตรํ ปเสฺสยฺยุนฺ'ติฯ ราชา, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺตี อิมาย จตุตฺถาย อิทฺธิยา สมนฺนาคโต โหติฯ

    Once it so happened that a wheel-turning monarch went with his army of four divisions to visit a park. Then the brahmins and householders went up to him and said, ‘Slow down, Your Majesty, so we may see you longer!’ And the king addressed his charioteer, ‘Drive slowly, charioteer, so I can see the brahmins and householders longer!’ This is the fourth blessing.

    ราชา, ภิกฺขเว, จกฺกวตฺตี อิมาหิ จตูหิ อิทฺธีหิ สมนฺนาคโต โหติฯ

    These are the four blessings possessed by a wheel-turning monarch.

    ตํ กึ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ โข ราชา จกฺกวตฺตี อิเมหิ สตฺตหิ รตเนหิ สมนฺนาคโต อิมาหิ จตูหิ จ อิทฺธีหิ ตโตนิทานํ สุขํ โสมนสฺสํ ปฏิสํเวทิเยถา”ติ?

    What do you think, bhikkhus? Would a wheel-turning monarch who possessed these seven treasures and these four blessings experience pleasure and happiness because of them?”

    “เอกเมเกนปิ, ภนฺเต, รตเนน สมนฺนาคโต ราชา จกฺกวตฺตี ตโตนิทานํ สุขํ โสมนสฺสํ ปฏิสํเวทิเยถ, โก ปน วาโท สตฺตหิ รตเนหิ จตูหิ จ อิทฺธีหี”ติ?

    “Sir, a wheel-turning monarch who possessed even a single one of these treasures would experience pleasure and happiness because of that, let alone all seven treasures and four blessings!”

    อถ โข ภควา ปริตฺตํ ปาณิมตฺตํ ปาสาณํ คเหตฺวา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ตํ กึ มญฺญถ, ภิกฺขเว, กตโม นุ โข มหนฺตตโร—โย จายํ มยา ปริตฺโต ปาณิมตฺโต ปาสาโณ คหิโต โย จ หิมวา ปพฺพตราชา”ติ?

    Then the Buddha, picking up a stone the size of his palm, addressed the bhikkhus, “What do you think, bhikkhus? Which is bigger: the stone the size of my palm that I’ve picked up, or the Himalayas, the king of mountains?”

    “อปฺปมตฺตโก อยํ, ภนฺเต, ภควตา ปริตฺโต ปาณิมตฺโต ปาสาโณ คหิโต; หิมวนฺตํ ปพฺพตราชานํ อุปนิธาย สงฺขมฺปิ น อุเปติ; กลภาคมฺปิ น อุเปติ; อุปนิธมฺปิ น อุเปตี”ติฯ

    “Sir, the stone you’ve picked up is tiny. Compared to the Himalayas, it doesn’t count, it’s not worth a fraction, there’s no comparison.”

    “เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ยํ ราชา จกฺกวตฺตี สตฺตหิ รตเนหิ สมนฺนาคโต จตูหิ จ อิทฺธีหิ ตโตนิทานํ สุขํ โสมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติ ตํ ทิพฺพสฺส สุขสฺส อุปนิธาย สงฺขมฺปิ น อุเปติ; กลภาคมฺปิ น อุเปติ; อุปนิธมฺปิ น อุเปติฯ

    “In the same way, compared to the happiness of heaven, the pleasure and happiness experienced by a wheel-turning monarch due to those seven treasures and those four blessings doesn’t even count, it’s not even a fraction, there’s no comparison.

    ส โข โส, ภิกฺขเว, ปณฺฑิโต สเจ กทาจิ กรหจิ ทีฆสฺส อทฺธุโน อจฺจเยน มนุสฺสตฺตํ อาคจฺฉติ, ยานิ ตานิ อุจฺจากุลานิ—ขตฺติยมหาสาลกุลํ วา พฺราหฺมณมหาสาลกุลํ วา คหปติมหาสาลกุลํ วา ตถารูเป กุเล ปจฺจาชายติ อฑฺเฒ มหทฺธเน มหาโภเค ปหูตชาตรูปรชเต ปหูตวิตฺตูปกรเณ ปหูตธนธญฺเญฯ โส จ โหติ อภิรูโป ทสฺสนีโย ปาสาทิโก ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคโต, ลาภี อนฺนสฺส ปานสฺส วตฺถสฺส ยานสฺส มาลาคนฺธวิเลปนสฺส เสยฺยาวสถปทีเปยฺยสฺสฯ โส กาเยน สุจริตํ จรติ, วาจาย สุจริตํ จรติ, มนสา สุจริตํ จรติฯ โส กาเยน สุจริตํ จริตฺวา, วาจาย สุจริตํ จริตฺวา, มนสา สุจริตํ จริตฺวา, กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ

    And suppose that astute person, after a very long time, returned to the human realm. They’d be reborn in a well-to-do family of aristocrats, brahmins, or householders—rich, affluent, and wealthy, with lots of gold and silver, lots of property and assets, and lots of money and grain. And they’d be attractive, good-looking, lovely, of surpassing beauty. They’d get to have food, drink, clothes, and vehicles; garlands, perfumes, and makeup; and a bed, house, and lighting. And they do good things by way of body, speech, and mind. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a good place, a heavenly realm.

    เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, อกฺขธุตฺโต ปฐเมเนว กฏคฺคเหน มหนฺตํ โภคกฺขนฺธํ อธิคจฺเฉยฺย; อปฺปมตฺตโก โส, ภิกฺขเว, กฏคฺคโห ยํ โส อกฺขธุตฺโต ปฐเมเนว กฏคฺคเหน มหนฺตํ โภคกฺขนฺธํ อธิคจฺเฉยฺยฯ อถ โข อยเมว ตโต มหนฺตตโร กฏคฺคโห ยํ โส ปณฺฑิโต กาเยน สุจริตํ จริตฺวา, วาจาย สุจริตํ จริตฺวา, มนสา สุจริตํ จริตฺวา กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติฯ อยํ, ภิกฺขเว, เกวลา ปริปูรา ปณฺฑิตภูมี”ติฯ

    Suppose a gambler on the first lucky throw was to win a big pile of money. But such a lucky throw is trivial compared to the lucky throw whereby an astute person, when their body breaks up, after death, is reborn in a good place, a heavenly realm. This is the total fulfillment of the astute person’s level.”

    อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ

    That is what the Buddha said. Satisfied, the bhikkhus approved what the Buddha said.

    พาลปณฺฑิตสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ นวมํฯ





    The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact