Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๑๐๒
The Middle-Length Suttas Collection 102
ปญฺจตฺตยสุตฺต
The Five and Three
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเมฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ: “ภิกฺขโว”ติฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Sāvatthī in Jeta’s Grove, Anāthapiṇḍika’s monastery. There the Buddha addressed the bhikkhus, “Bhikkhus!”
“ภทนฺเต”ติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจโสฺสสุํฯ ภควา เอตทโวจ:
“Venerable sir,” they replied. The Buddha said this:
“สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา อปรนฺตกปฺปิกา อปรนฺตานุทิฏฺฐิโน อปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิวุตฺติปทานิ อภิวทนฺติฯ ‘สญฺญี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ; ‘อสญฺญี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ; ‘เนวสญฺญีนาสญฺญี อตฺตา โหติ อโรโค ปรํ มรณา'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ; สโต วา ปน สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ, ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ วา ปเนเก อภิวทนฺติฯ อิติ สนฺตํ วา อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, สโต วา ปน สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ, ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ วา ปเนเก อภิวทนฺติฯ อิติ อิมานิ ปญฺจ หุตฺวา ตีณิ โหนฺติ, ตีณิ หุตฺวา ปญฺจ โหนฺติ—อยมุทฺเทโส ปญฺจตฺตยสฺสฯ
“Bhikkhus, there are some ascetics and brahmins who theorize about the future, and assert various hypotheses concerning the future. Some propose this: ‘The self is percipient and is well after death.’ Some propose this: ‘The self is non-percipient and is well after death.’ Some propose this: ‘The self is neither percipient nor non-percipient and is well after death.’ But some assert the annihilation, eradication, and obliteration of an existing being, while others propose Nibbana in the present life. Thus they assert an existent self that is well after death; or they assert the annihilation of an existing being; or they propose Nibbana in the present life. In this way five become three, and three become five. This is the passage for recitation of the five and three.
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อรูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิญฺจ อรูปิญฺจ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เนวรูปึ นารูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เอกตฺตสญฺญึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, นานตฺตสญฺญึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, ปริตฺตสญฺญึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อปฺปมาณสญฺญึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เอตํ วา ปเนเกสํ อุปาติวตฺตตํ วิญฺญาณกสิณเมเก อภิวทนฺติ อปฺปมาณํ อาเนญฺชํฯ
Now, the ascetics and brahmins who assert a self that is percipient and well after death describe it as having form, or being formless, or both having form and being formless, or neither having form nor being formless. Or they describe it as of unified perception, or of diverse perception, or of limited perception, or of limitless perception. Or some among those who go beyond this propose universal consciousness, limitless and imperturbable.
ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ เย โข เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อรูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิญฺจ อรูปิญฺจ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เนวรูปึ นารูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เอกตฺตสญฺญึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, นานตฺตสญฺญึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, ปริตฺตสญฺญึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อปฺปมาณสญฺญึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, ยา วา ปเนตาสํ สญฺญานํ ปริสุทฺธา ปรมา อคฺคา อนุตฺตริยา อกฺขายติ—ยทิ รูปสญฺญานํ ยทิ อรูปสญฺญานํ ยทิ เอกตฺตสญฺญานํ ยทิ นานตฺตสญฺญานํฯ ‘นตฺถิ กิญฺจี'ติ อากิญฺจญฺญายตนเมเก อภิวทนฺติ อปฺปมาณํ อาเนญฺชํฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อตฺเถตนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวตฺโตฯ
The Realized One understands this as follows. There are ascetics and brahmins who assert a self that is percipient and well after death, describing it as having form, or being formless, or both having form and being formless, or neither having form nor being formless. Or they describe it as of unified perception, or of diverse perception, or of limited perception, or of limitless perception. Or some, aware that ‘there is nothing at all’, propose the dimension of nothingness, limitless and imperturbable. They declare that this is the purest, highest, best, and supreme of all those perceptions, whether of form or of formlessness or of unity or of diversity. ‘All that is conditioned and coarse. But there is the cessation of conditions—that is real.’ Understanding thus and seeing the escape from it, the Realized One has gone beyond all that.
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อรูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิญฺจ อรูปิญฺจ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เนวรูปึ นารูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณาฯ
Now, the ascetics and brahmins who assert a self that is non-percipient and well after death describe it as having form, or being formless, or both having form and being formless, or neither having form nor being formless.
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา เตสเมเต ปฏิกฺโกสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สญฺญา โรโค สญฺญา คณฺโฑ สญฺญา สลฺลํ, เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ: ‘อสญฺญนฺ'ติฯ
So they reject those who assert a self that is percipient and well after death. Why is that? Because they believe that perception is a disease, a boil, a dart, and that the state of non-perception is peaceful and sublime.
ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติ เย โข เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อรูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิญฺจ อรูปิญฺจ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เนวรูปึ นารูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณาฯ โย หิ โกจิ, ภิกฺขเว, สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวํ วเทยฺย: ‘อหมญฺญตฺร รูปา, อญฺญตฺร เวทนาย, อญฺญตฺร สญฺญาย, อญฺญตฺร สงฺขาเรหิ, วิญฺญาณสฺส อาคตึ วา คตึ วา จุตึ วา อุปปตฺตึ วา วุทฺธึ วา วิรูฬฺหึ วา เวปุลฺลํ วา ปญฺญเปสฺสามี'ติ—เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อตฺเถตนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวตฺโตฯ
The Realized One understands this as follows. There are ascetics and brahmins who assert a self that is non-percipient and well after death, describing it as having form, or being formless, or both having form and being formless, or neither having form nor being formless. But if any ascetic or brahmin should say this: ‘Apart from form, feeling, perception, and choices, I will describe the coming and going of consciousness, its passing away and reappearing, its growth, increase, and maturity.’ That is not possible. ‘All that is conditioned and coarse. But there is the cessation of conditions—that is real.’ Understanding this and seeing the escape from it, the Realized One has gone beyond all that.
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อรูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิญฺจ อรูปิญฺจ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เนวรูปึ นารูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณาฯ
Now, the ascetics and brahmins who assert a self that is neither percipient nor non-percipient and well after death describe it as having form, or being formless, or both having form and being formless, or neither having form nor being formless.
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา เตสเมเต ปฏิกฺโกสนฺติ, เยปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา เตสเมเต ปฏิกฺโกสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สญฺญา โรโค สญฺญา คณฺโฑ สญฺญา สลฺลํ, อสญฺญา สมฺโมโห, เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ: ‘เนวสญฺญานาสญฺญนฺ'ติฯ
So they reject those who assert a self that is percipient and well after death, as well as those who assert a self that is non-percipient and sound after death. Why is that? Because they believe that perception is a disease, a boil, a dart, and that the state of neither perception nor non-perception is peaceful and sublime.
ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ เย โข เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, อรูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, รูปิญฺจ อรูปิญฺจ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา, เนวรูปึ นารูปึ วา เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณาฯ เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา ทิฏฺฐสุตมุตวิญฺญาตพฺพสงฺขารมตฺเตน เอตสฺส อายตนสฺส อุปสมฺปทํ ปญฺญเปนฺติ, พฺยสนเญฺหตํ, ภิกฺขเว, อกฺขายติ เอตสฺส อายตนสฺส อุปสมฺปทายฯ น เหตํ, ภิกฺขเว, อายตนํ สงฺขารสมาปตฺติปตฺตพฺพมกฺขายติ; สงฺขาราวเสสสมาปตฺติปตฺตพฺพเมตํ, ภิกฺขเว, อายตนมกฺขายติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อตฺเถตนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวตฺโตฯ
The Realized One understands this as follows. There are ascetics and brahmins who assert a self that is neither percipient nor non-percipient and well after death, describing it as having form, or being formless, or both having form and being formless, or neither having form nor being formless. Some ascetics or brahmins assert the embracing of that dimension merely through the conditioned phenomena of what is seen, heard, thought, and known. But that is said to be a disastrous approach. For that dimension is said to be not attainable by means of conditioned phenomena, but only with a residue of conditioned phenomena. ‘All that is conditioned and coarse. But there is the cessation of conditions—that is real.’ Understanding this and seeing the escape from it, the Realized One has gone beyond all that.
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ, ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา สญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา เตสเมเต ปฏิกฺโกสนฺติ, เยปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา เตสเมเต ปฏิกฺโกสนฺติ, เยปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา เนวสญฺญีนาสญฺญึ อตฺตานํ ปญฺญเปนฺติ อโรคํ ปรํ มรณา เตสเมเต ปฏิกฺโกสนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? สพฺเพปิเม โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา อุทฺธํ สรํ อาสตฺตึเยว อภิวทนฺติ: ‘อิติ เปจฺจ ภวิสฺสาม, อิติ เปจฺจ ภวิสฺสามา'ติฯ
Now, the ascetics and brahmins who assert the annihilation, eradication, and obliteration of an existing being reject those who assert a self that is well after death, whether percipient or non-percipient or neither percipient non-percipient. Why is that? Because all of those ascetics and brahmins only assert their attachment to heading upstream: ‘After death we shall be like this! After death we shall be like that!’
เสยฺยถาปิ นาม วาณิชสฺส วาณิชฺชาย คจฺฉโต เอวํ โหติ: ‘อิโต เม อิทํ ภวิสฺสติ, อิมินา อิทํ ลจฺฉามี'ติ; เอวเมวิเม โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา วาณิชูปมา มญฺเญ ปฏิภนฺติ: ‘อิติ เปจฺจ ภวิสฺสาม, อิติ เปจฺจ ภวิสฺสามา'ติฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ เย โข เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สโต สตฺตสฺส อุจฺเฉทํ วินาสํ วิภวํ ปญฺญเปนฺติ เต สกฺกายภยา สกฺกายปริเชคุจฺฉา สกฺกายญฺเญว อนุปริธาวนฺติ อนุปริวตฺตนฺติฯ เสยฺยถาปิ นาม สา คทฺทุลพทฺโธ ทเฬฺห ถมฺเภ วา ขิเล วา อุปนิพทฺโธ, ตเมว ถมฺภํ วา ขิลํ วา อนุปริธาวติ อนุปริวตฺตติ; เอวเมวิเม โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สกฺกายภยา สกฺกายปริเชคุจฺฉา สกฺกายญฺเญว อนุปริธาวนฺติ อนุปริวตฺตนฺติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อตฺเถตนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวตฺโตฯ
Suppose a trader was going to market, thinking: ‘With this, that shall be mine! This way, I shall get that!’ In the same way, those ascetics and brahmins seem to be like traders when they say: ‘After death we shall be like this! After death we shall be like that!’ The Realized One understands this as follows. The ascetics and brahmins who assert the annihilation, eradication, and obliteration of an existing being; from fear and disgust with identity, they just keep running and circling around identity. Suppose a dog on a leash was tethered to a strong post or pillar. It would just keeping running and circling around that post or pillar. In the same way, those ascetics and brahmins, from fear and disgust with identity, just keep running and circling around identity. ‘All that is conditioned and coarse. But there is the cessation of conditions—that is real.’ Understanding this and seeing the escape from it, the Realized One has gone beyond all that.
เย หิ เกจิ, ภิกฺขเว, สมณา วา พฺราหฺมณา วา อปรนฺตกปฺปิกา อปรนฺตานุทิฏฺฐิโน อปรนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิวุตฺติปทานิ อภิวทนฺติ, สพฺเพ เต อิมาเนว ปญฺจายตนานิ อภิวทนฺติ เอเตสํ วา อญฺญตรํฯ
Whatever ascetics and brahmins theorize about the future, and propose various hypotheses concerning the future, all of them propose one or other of these five theses.
สนฺติ, ภิกฺขเว, เอเก สมณพฺราหฺมณา ปุพฺพนฺตกปฺปิกา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐิโน ปุพฺพนฺตํ อารพฺภ อเนกวิหิตานิ อธิวุตฺติปทานิ อภิวทนฺติฯ ‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘อสสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘สสฺสโต จ อสสฺสโต จ อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘เนวสสฺสโต นาสสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘อนฺตวา อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘อนนฺตวา อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘อนฺตวา จ อนนฺตวา จ อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘เนวนฺตวา นานนฺตวา อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘เอกตฺตสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘นานตฺตสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘ปริตฺตสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘อปฺปมาณสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘เอกนฺตสุขี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘เอกนฺตทุกฺขี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘สุขทุกฺขี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติ, ‘อทุกฺขมสุขี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ—อิตฺเถเก อภิวทนฺติฯ
There are some ascetics and brahmins who theorize about the past, and propose various hypotheses concerning the past. They propose the following, each insisting that theirs is the only truth and that everything else is wrong. ‘The self and the cosmos are eternal.’ ‘The self and the cosmos are not eternal.’ ‘The self and the cosmos are both eternal and not eternal.’ ‘The self and the cosmos are neither eternal nor not eternal.’ ‘The self and the cosmos are finite.’ ‘The self and the cosmos are infinite.’ ‘The self and the cosmos are both finite and infinite.’ ‘The self and the cosmos are neither finite nor infinite.’ ‘The self and the cosmos are unified in perception.’ ‘The self and the cosmos are diverse in perception.’ ‘The self and the cosmos have limited perception.’ ‘The self and the cosmos have limitless perception.’ ‘The self and the cosmos experience nothing but happiness.’ ‘The self and the cosmos experience nothing but suffering.’ ‘The self and the cosmos experience both happiness and suffering.’ ‘The self and the cosmos experience neither happiness nor suffering.’
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ, เตสํ วต อญฺญเตฺรว สทฺธาย อญฺญตฺร รุจิยา อญฺญตฺร อนุสฺสวา อญฺญตฺร อาการปริวิตกฺกา อญฺญตฺร ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา ปจฺจตฺตํเยว ญาณํ ภวิสฺสติ ปริสุทฺธํ ปริโยทาตนฺติ—เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ ปจฺจตฺตํ โข ปน, ภิกฺขเว, ญาเณ อสติ ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต ยทปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา ตตฺถ ญาณภาคมตฺตเมว ปริโยทเปนฺติ ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อุปาทานมกฺขายติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อตฺเถตนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวตฺโตฯ
Now, consider the ascetics and brahmins whose view is as follows. ‘The self and the cosmos are eternal. This is the only truth, other ideas are silly.’ It’s simply not possible for them to have purified and clear personal knowledge of this, apart from faith, preference, oral tradition, reasoned contemplation, or acceptance of a view after consideration. And in the absence of such knowledge, even the partial knowledge that they are clear about is said to be grasping on their part. ‘All that is conditioned and coarse. But there is the cessation of conditions—that is real.’ Understanding this and seeing the escape from it, the Realized One has gone beyond all that.
ตตฺร, ภิกฺขเว, เย เต สมณพฺราหฺมณา เอวํวาทิโน เอวํทิฏฺฐิโน: ‘อสสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺ'ติ …เป… สสฺสโต จ อสสฺสโต จ อตฺตา จ โลโก จ … เนวสสฺสโต นาสสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ … อนฺตวา อตฺตา จ โลโก จ … อนนฺตวา อตฺตา จ โลโก จ … อนฺตวา จ อนนฺตวา จ อตฺตา จ โลโก จ … เนวนฺตวา นานนฺตวา อตฺตา จ โลโก จ … เอกตฺตสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ … นานตฺตสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ … ปริตฺตสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ … อปฺปมาณสญฺญี อตฺตา จ โลโก จ … เอกนฺตสุขี อตฺตา จ โลโก จ … เอกนฺตทุกฺขี อตฺตา จ โลโก จ … สุขทุกฺขี อตฺตา จ โลโก จ … อทุกฺขมสุขี อตฺตา จ โลโก จ, อิทเมว สจฺจํ โมฆมญฺญนฺติ, เตสํ วต อญฺญเตฺรว สทฺธาย อญฺญตฺร รุจิยา อญฺญตฺร อนุสฺสวา อญฺญตฺร อาการปริวิตกฺกา อญฺญตฺร ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา ปจฺจตฺตํเยว ญาณํ ภวิสฺสติ ปริสุทฺธํ ปริโยทาตนฺติ—เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ ปจฺจตฺตํ โข ปน, ภิกฺขเว, ญาเณ อสติ ปริสุทฺเธ ปริโยทาเต ยทปิ เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา ตตฺถ ญาณภาคมตฺตเมว ปริโยทเปนฺติ ตทปิ เตสํ ภวตํ สมณพฺราหฺมณานํ อุปาทานมกฺขายติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อตฺเถตนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวตฺโตฯ
Now, consider the ascetics and brahmins whose view is as follows. The self and the cosmos are not eternal, or both eternal and not eternal, or neither eternal nor not-eternal, or finite, or infinite, or both finite and infinite, or neither finite nor infinite, or of unified perception, or of diverse perception, or of limited perception, or of limitless perception, or experience nothing but happiness, or experience nothing but suffering, or experience both happiness and suffering, or experience neither happiness nor suffering. It’s simply not possible for them to have purified and clear personal knowledge of this, apart from faith, preference, oral tradition, reasoned contemplation, or acceptance of a view after consideration. And in the absence of such knowledge, even the partial knowledge that they are clear about is said to be grasping on their part. ‘All that is conditioned and coarse. But there is the cessation of conditions—that is real.’ Understanding this and seeing the escape from it, the Realized One has gone beyond all that.
อิธ, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฏฺฐานา, ปวิเวกํ ปีตึ อุปสมฺปชฺช วิหรติ: ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ ปวิเวกํ ปีตึ อุปสมฺปชฺช วิหรามี'ติฯ ตสฺส สา ปวิเวกา ปีติ นิรุชฺฌติฯ ปวิเวกาย ปีติยา นิโรธา อุปฺปชฺชติ โทมนสฺสํ, โทมนสฺสสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีติฯ
Now, some ascetics and brahmins, letting go of theories about the past and the future, shedding the fetters of sensuality, enter and remain in the rapture of seclusion: ‘This is peaceful, this is sublime, that is, entering and remaining in the rapture of seclusion.’ But that rapture of seclusion of theirs ceases. When the rapture of seclusion ceases, sadness arises; and when sadness ceases, the rapture of seclusion arises.
เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ยํ ฉายา ชหติ ตํ อาตโป ผรติ, ยํ อาตโป ชหติ ตํ ฉายา ผรติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, ปวิเวกาย ปีติยา นิโรธา อุปฺปชฺชติ โทมนสฺสํ, โทมนสฺสสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีติฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ อยํ โข ภวํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฏฺฐานา, ปวิเวกํ ปีตึ อุปสมฺปชฺช วิหรติ: ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ ปวิเวกํ ปีตึ อุปสมฺปชฺช วิหรามี'ติฯ ตสฺส สา ปวิเวกา ปีติ นิรุชฺฌติฯ ปวิเวกาย ปีติยา นิโรธา อุปฺปชฺชติ โทมนสฺสํ, โทมนสฺสสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อตฺเถตนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวตฺโตฯ
It’s like how the sunlight fills the space when the shadow leaves, or the shadow fills the space when the sunshine leaves. In the same way, when the rapture of seclusion ceases, sadness arises; and when sadness ceases, the rapture of seclusion arises. The Realized One understands this as follows. This good ascetic or brahmin, letting go of theories about the past and the future, shedding the fetters of sensuality, enters and remains in the rapture of seclusion: ‘This is peaceful, this is sublime, that is, entering and remaining in the rapture of seclusion.’ But that rapture of seclusion of theirs ceases. When the rapture of seclusion ceases, sadness arises; and when sadness ceases, the rapture of seclusion arises. ‘All that is conditioned and coarse. But there is the cessation of conditions—that is real.’ Understanding this and seeing the escape from it, the Realized One has gone beyond all that.
อิธ ปน, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฏฺฐานา, ปวิเวกาย ปีติยา สมติกฺกมา นิรามิสํ สุขํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ: ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ นิรามิสํ สุขํ อุปสมฺปชฺช วิหรามี'ติฯ ตสฺส ตํ นิรามิสํ สุขํ นิรุชฺฌติฯ นิรามิสสฺส สุขสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีติ, ปวิเวกาย ปีติยา นิโรธา อุปฺปชฺชติ นิรามิสํ สุขํฯ
Now, some ascetics and brahmins, letting go of theories about the past and the future, shedding the fetters of sensuality, going beyond the rapture of seclusion, enter and remain in pleasure not of the flesh. ‘This is peaceful, this is sublime, that is, entering and remaining in pleasure not of the flesh.’ But that pleasure not of the flesh of theirs ceases. When pleasure not of the flesh ceases, the rapture of seclusion arises; and when the rapture of seclusion ceases, pleasure not of the flesh arises.
เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ยํ ฉายา ชหติ ตํ อาตโป ผรติ, ยํ อาตโป ชหติ ตํ ฉายา ผรติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, นิรามิสสฺส สุขสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีติ, ปวิเวกาย ปีติยา นิโรธา อุปฺปชฺชติ นิรามิสํ สุขํฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ อยํ โข ภวํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฏฺฐานา, ปวิเวกาย ปีติยา สมติกฺกมา, นิรามิสํ สุขํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ: ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ นิรามิสํ สุขํ อุปสมฺปชฺช วิหรามี'ติฯ ตสฺส ตํ นิรามิสํ สุขํ นิรุชฺฌติฯ นิรามิสสฺส สุขสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ ปวิเวกา ปีติ, ปวิเวกาย ปีติยา นิโรธา อุปฺปชฺชติ นิรามิสํ สุขํฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อตฺเถตนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวตฺโตฯ
It’s like how the sunlight fills the space when the shadow leaves, or the shadow fills the space when the sunshine leaves. … The Realized One understands this as follows. This good ascetic or brahmin, letting go of theories about the past and the future, shedding the fetters of sensuality, going beyond the rapture of seclusion, enters and remains in pleasure not of the flesh. ‘This is peaceful, this is sublime, that is, entering and remaining in pleasure not of the flesh.’ But that pleasure not of the flesh of theirs ceases. When pleasure not of the flesh ceases, the rapture of seclusion arises; and when the rapture of seclusion ceases, pleasure not of the flesh arises. ‘All that is conditioned and coarse. But there is the cessation of conditions—that is real.’ Understanding this and seeing the escape from it, the Realized One has gone beyond all that.
อิธ ปน, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฏฺฐานา, ปวิเวกาย ปีติยา สมติกฺกมา, นิรามิสสฺส สุขสฺส สมติกฺกมา, อทุกฺขมสุขํ เวทนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ: ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ อุปสมฺปชฺช วิหรามี'ติฯ ตสฺส สา อทุกฺขมสุขา เวทนา นิรุชฺฌติฯ อทุกฺขมสุขาย เวทนาย นิโรธา อุปฺปชฺชติ นิรามิสํ สุขํ, นิรามิสสฺส สุขสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ อทุกฺขมสุขา เวทนาฯ
Now, some ascetics and brahmins, letting go of theories about the past and the future, shedding the fetters of sensuality, going beyond the rapture of seclusion and pleasure not of the flesh, enter and remain in neutral feeling. ‘This is peaceful, this is sublime, that is, entering and remaining in neutral feeling.’ Then that neutral feeling ceases. When neutral feeling ceases, pleasure not of the flesh arises; and when pleasure not of the flesh ceases, neutral feelings arises.
เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ยํ ฉายา ชหติ ตํ อาตโป ผรติ, ยํ อาตโป ชหติ ตํ ฉายา ผรติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, อทุกฺขมสุขาย เวทนาย นิโรธา อุปฺปชฺชติ นิรามิสํ สุขํ, นิรามิสสฺส สุขสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ อทุกฺขมสุขา เวทนาฯ ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ อยํ โข ภวํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฏฺฐานา, ปวิเวกาย ปีติยา สมติกฺกมา, นิรามิสสฺส สุขสฺส สมติกฺกมา, อทุกฺขมสุขํ เวทนํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ: ‘เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ อุปสมฺปชฺช วิหรามี'ติฯ ตสฺส สา อทุกฺขมสุขา เวทนา นิรุชฺฌติฯ อทุกฺขมสุขาย เวทนาย นิโรธา อุปฺปชฺชติ นิรามิสํ สุขํ, นิรามิสสฺส สุขสฺส นิโรธา อุปฺปชฺชติ อทุกฺขมสุขา เวทนาฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อตฺเถตนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวตฺโตฯ
It’s like how the sunlight fills the space when the shadow leaves, or the shadow fills the space when the sunshine leaves. … The Realized One understands this as follows. This good ascetic or brahmin, letting go of theories about the past and the future, shedding the fetters of sensuality, going beyond the rapture of seclusion and pleasure not of the flesh, enters and remains in neutral feeling. ‘This is peaceful, this is sublime, that is, entering and remaining in neutral feeling.’ Then that neutral feeling ceases. When neutral feeling ceases, pleasure not of the flesh arises; and when pleasure not of the flesh ceases, neutral feelings arises. ‘All that is conditioned and coarse. But there is the cessation of conditions—that is real.’ Understanding this and seeing the escape from it, the Realized One has gone beyond all that.
อิธ ปน, ภิกฺขเว, เอกจฺโจ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฏฺฐานา, ปวิเวกาย ปีติยา สมติกฺกมา, นิรามิสสฺส สุขสฺส สมติกฺกมา, อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมติกฺกมา: ‘สนฺโตหมสฺมิ, นิพฺพุโตหมสฺมิ, อนุปาทาโนหมสฺมี'ติ สมนุปสฺสติฯ
Now, some ascetics and brahmins, letting go of theories about the past and the future, shedding the fetters of sensuality, go beyond the rapture of seclusion, pleasure not of the flesh, and neutral feeling. They regard themselves like this: ‘I am at peace; I am extinguished; I am free of grasping.’
ตยิทํ, ภิกฺขเว, ตถาคโต อภิชานาติฯ อยํ โข ภวํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, อปรนฺตานุทิฏฺฐีนญฺจ ปฏินิสฺสคฺคา, สพฺพโส กามสํโยชนานํ อนธิฏฺฐานา, ปวิเวกาย ปีติยา สมติกฺกมา, นิรามิสสฺส สุขสฺส สมติกฺกมา, อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมติกฺกมา: ‘สนฺโตหมสฺมิ, นิพฺพุโตหมสฺมิ, อนุปาทาโนหมสฺมี'ติ สมนุปสฺสติ; อทฺธา อยมายสฺมา นิพฺพานสปฺปายํเยว ปฏิปทํ อภิวทติฯ อถ จ ปนายํ ภวํ สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ปุพฺพนฺตานุทิฏฺฐึ วา อุปาทิยมาโน อุปาทิยติ, อปรนฺตานุทิฏฺฐึ วา อุปาทิยมาโน อุปาทิยติ, กามสํโยชนํ วา อุปาทิยมาโน อุปาทิยติ, ปวิเวกํ วา ปีตึ อุปาทิยมาโน อุปาทิยติ, นิรามิสํ วา สุขํ อุปาทิยมาโน อุปาทิยติ, อทุกฺขมสุขํ วา เวทนํ อุปาทิยมาโน อุปาทิยติฯ ยญฺจ โข อยมายสฺมา: ‘สนฺโตหมสฺมิ, นิพฺพุโตหมสฺมิ, อนุปาทาโนหมสฺมี'ติ สมนุปสฺสติ ตทปิ อิมสฺส โภโต สมณสฺส พฺราหฺมณสฺส อุปาทานมกฺขายติฯ ‘ตยิทํ สงฺขตํ โอฬาริกํ อตฺถิ โข ปน สงฺขารานํ นิโรโธ อตฺเถตนฺ'ติ—อิติ วิทิตฺวา ตสฺส นิสฺสรณทสฺสาวี ตถาคโต ตทุปาติวตฺโตฯ
The Realized One understands this as follows. This good ascetic or brahmin, letting go of theories about the past and the future, shedding the fetters of sensuality, goes beyond the rapture of seclusion, pleasure not of the flesh, and neutral feeling. They regard themselves like this: ‘I am at peace; I am extinguished; I am free of grasping.’ Clearly this venerable speaks of a practice that’s conducive to Nibbana. Nevertheless, they still grasp at theories about the past or the future, or the fetters of sensuality, or the rapture of seclusion, or pleasure not of the flesh, or neutral feeling. And when they regard themselves like this: ‘I am at peace; I am extinguished; I am free of grasping,’ that’s also said to be grasping on their part. ‘All that is conditioned and coarse. But there is the cessation of conditions—that is real.’ Understanding this and seeing the escape from it, the Realized One has gone beyond all that.
อิทํ โข ปน, ภิกฺขเว, ตถาคเตน อนุตฺตรํ สนฺติวรปทํ อภิสมฺพุทฺธํ ยทิทํ—ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ อสฺสาทญฺจ อาทีนวญฺจ นิสฺสรณญฺจ ยถาภูตํ วิทิตฺวา อนุปาทาวิโมกฺโข”ติฯ
But the Realized One has awakened to the supreme state of sublime peace, that is, liberation by not grasping after truly understanding the six fields of contact’s origin, ending, gratification, drawback, and escape.”
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุนฺติฯ
That is what the Buddha said. Satisfied, the bhikkhus approved what the Buddha said.
ปญฺจตฺตยสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ทุติยํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]