Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Majjhima Nikāya, English translation |
มชฺฌิม นิกาย ๑๐๔
The Middle-Length Suttas Collection 104
สามคามสุตฺต
At Sāmagāma
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา สกฺเกสุ วิหรติ สามคาเมฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying in the land of the Sakyans near the village of Sāma.
เตน โข ปน สมเยน นิคณฺโฐ นาฏปุตฺโต ปาวายํ อธุนากาลงฺกโต โหติฯ ตสฺส กาลงฺกิริยาย ภินฺนา นิคณฺฐา เทฺวธิกชาตา ภณฺฑนชาตา กลหชาตา วิวาทาปนฺนา อญฺญมญฺญํ มุขสตฺตีหิ วิตุทนฺตา วิหรนฺติ: “น ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานาสิ, อหํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานามิฯ กึ ตฺวํ อิมํ ธมฺมวินยํ อาชานิสฺสสิฯ มิจฺฉาปฏิปนฺโน ตฺวมสิ, อหมสฺมิ สมฺมาปฏิปนฺโนฯ สหิตํ เม, อสหิตํ เตฯ ปุเรวจนียํ ปจฺฉา อวจ, ปจฺฉาวจนียํ ปุเร อวจฯ อธิจิณฺณํ เต วิปราวตฺตํฯ อาโรปิโต เต วาโทฯ นิคฺคหิโตสิ, จร วาทปฺปโมกฺขาย; นิพฺเพเฐหิ วา สเจ ปโหสี”ติฯ วโธเยว โข มญฺเญ นิคณฺเฐสุ นาฏปุตฺติเยสุ วตฺตติฯ เยปิ นิคณฺฐสฺส นาฏปุตฺตสฺส สาวกา คิหี โอทาตวสนา เตปิ นิคณฺเฐสุ นาฏปุตฺติเยสุ นิพฺพินฺนรูปา วิรตฺตรูปา ปฏิวานรูปา ยถา ตํ ทุรกฺขาเต ธมฺมวินเย ทุปฺปเวทิเต อนิยฺยานิเก อนุปสมสํวตฺตนิเก อสมฺมาสมฺพุทฺธปฺปเวทิเต ภินฺนถูเป อปฺปฏิสรเณฯ
Now at that time the Jain ascetic of the Ñātika clan had recently passed away at Pāvā. With his passing the Jain ascetics split, dividing into two factions, arguing, quarreling, and disputing, continually wounding each other with barbed words: “You don’t understand this teaching and training. I understand this teaching and training. What, you understand this teaching and training? You’re practicing wrong. I’m practicing right. I stay on topic, you don’t. You said last what you should have said first. You said first what you should have said last. What you’ve thought so much about has been disproved. Your doctrine is refuted. Go on, save your doctrine! You’re trapped; get yourself out of this—if you can!” You’d think there was nothing but slaughter going on among the Jain ascetics. And the Jain Ñātika’s white-clothed lay disciples were disillusioned, dismayed, and disappointed in the Jain ascetics. They were equally disappointed with a teaching and training so poorly explained and poorly propounded, not emancipating, not leading to peace, proclaimed by someone who is not a fully awakened Buddha, with broken monument and without a refuge.
อถ โข จุนฺโท สมณุทฺเทโส ปาวายํ วสฺสํวุฏฺโฐ เยน สามคาโม เยนายสฺมา อานนฺโท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข จุนฺโท สมณุทฺเทโส อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ: “นิคณฺโฐ, ภนฺเต, นาฏปุตฺโต ปาวายํ อธุนากาลงฺกโตฯ ตสฺส กาลงฺกิริยาย ภินฺนา นิคณฺฐา เทฺวธิกชาตา …เป… ภินฺนถูเป อปฺปฏิสรเณ”ติฯ
And then, after completing the rainy season residence near Pāvā, the novice Cunda went to see Venerable Ānanda at Sāma village. He bowed, sat down to one side, and told him what had happened.
เอวํ วุตฺเต, อายสฺมา อานนฺโท จุนฺทํ สมณุทฺเทสํ เอตทโวจ: “อตฺถิ โข อิทํ, อาวุโส จุนฺท, กถาปาภตํ ภควนฺตํ ทสฺสนายฯ อายาม, อาวุโส จุนฺท, เยน ภควา เตนุปสงฺกมิสฺสาม; อุปสงฺกมิตฺวา เอตมตฺถํ ภควโต อาโรเจสฺสามา”ติฯ
Ānanda said to him, “Friend Cunda, we should see the Buddha about this matter. Come, let’s go to the Buddha and inform him about this.”
“เอวํ, ภนฺเต”ติ โข จุนฺโท สมณุทฺเทโส อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ
“Yes, sir,” replied Cunda.
อถ โข อายสฺมา จ อานนฺโท จุนฺโท จ สมณุทฺเทโส เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อยํ, ภนฺเต, จุนฺโท สมณุทฺเทโส เอวมาห: ‘นิคณฺโฐ, ภนฺเต, นาฏปุตฺโต ปาวายํ อธุนากาลงฺกโตฯ ตสฺส กาลงฺกิริยาย ภินฺนา นิคณฺฐา เทฺวธิกชาตา …เป… ภินฺนถูเป อปฺปฏิสรเณ'ติฯ ตสฺส มยฺหํ, ภนฺเต, เอวํ โหติ: ‘มา เหว ภควโต อจฺจเยน สงฺเฆ วิวาโท อุปฺปชฺชิ; สฺวาสฺส วิวาโท พหุชนาหิตาย พหุชนาสุขาย พหุโน ชนสฺส อนตฺถาย อหิตาย ทุกฺขาย เทวมนุสฺสานนฺ'”ติฯ
Then Ānanda and Cunda went to the Buddha, bowed, sat down to one side, and Ānanda informed him of what Cunda had said. He went on to say, “Sir, it occurs to me: ‘When the Buddha has passed away, let no dispute arise in the Saṅgha. For such a dispute would be for the hurt and unhappiness of the people, for the harm, hurt, and suffering of gods and humans.’”
“ตํ กึ มญฺญสิ, อานนฺท, เย โว มยา ธมฺมา อภิญฺญา เทสิตา, เสยฺยถิทํ—จตฺตาโร สติปฏฺฐานา จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ปญฺจินฺทฺริยานิ ปญฺจ พลานิ สตฺต โพชฺฌงฺคา อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค, ปสฺสสิ โน ตฺวํ, อานนฺท, อิเมสุ ธมฺเมสุ เทฺวปิ ภิกฺขู นานาวาเท”ติ?
“What do you think, Ānanda? Do you see even two bhikkhus who disagree regarding the things I have taught from my direct knowledge, that is, the four kinds of mindfulness meditation, the four right efforts, the four bases of psychic power, the five faculties, the five powers, the seven awakening factors, and the noble eightfold path?”
“เย เม, ภนฺเต, ธมฺมา ภควตา อภิญฺญา เทสิตา, เสยฺยถิทํ—จตฺตาโร สติปฏฺฐานา จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา จตฺตาโร อิทฺธิปาทา ปญฺจินฺทฺริยานิ ปญฺจ พลานิ สตฺต โพชฺฌงฺคา อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค, นาหํ ปสฺสามิ อิเมสุ ธมฺเมสุ เทฺวปิ ภิกฺขู นานาวาเทฯ เย จ โข, ภนฺเต, ปุคฺคลา ภควนฺตํ ปติสฺสยมานรูปา วิหรนฺติ เตปิ ภควโต อจฺจเยน สงฺเฆ วิวาทํ ชเนยฺยุํ อชฺฌาชีเว วา อธิปาติโมกฺเข วาฯ สฺวาสฺส วิวาโท พหุชนาหิตาย พหุชนาสุขาย พหุโน ชนสฺส อนตฺถาย อหิตาย ทุกฺขาย เทวมนุสฺสานนฺ”ติฯ
“No, sir, I do not. Nevertheless, there are some individuals who appear to live obedient to the Buddha, but when the Buddha has passed away they might create a dispute in the Saṅgha regarding livelihood or the monastic code. Such a dispute would be for the hurt and unhappiness of the people, for the harm, hurt, and suffering of gods and humans.”
“อปฺปมตฺตโก โส, อานนฺท, วิวาโท ยทิทํ—อชฺฌาชีเว วา อธิปาติโมกฺเข วาฯ มคฺเค วา หิ, อานนฺท, ปฏิปทาย วา สงฺเฆ วิวาโท อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺเชยฺย; สฺวาสฺส วิวาโท พหุชนาหิตาย พหุชนาสุขาย พหุโน ชนสฺส อนตฺถาย อหิตาย ทุกฺขาย เทวมนุสฺสานํฯ
“Ānanda, dispute about livelihood or the monastic code is a minor matter. But should a dispute arise in the Saṅgha concerning the path or the practice, that would be for the hurt and unhappiness of the people, for the harm, hurt, and suffering of gods and humans.
ฉยิมานิ, อานนฺท, วิวาทมูลานิฯ กตมานิ ฉ? อิธานนฺท, ภิกฺขุ โกธโน โหติ อุปนาหีฯ โย โส, อานนฺท, ภิกฺขุ โกธโน โหติ อุปนาหี โส สตฺถริปิ อคารโว วิหรติ อปฺปติโสฺส, ธมฺเมปิ อคารโว วิหรติ อปฺปติโสฺส, สงฺเฆปิ อคารโว วิหรติ อปฺปติโสฺส, สิกฺขายปิ น ปริปูรการี โหติฯ โย โส, อานนฺท, ภิกฺขุ สตฺถริ อคารโว วิหรติ อปฺปติโสฺส, ธมฺเม … สงฺเฆ อคารโว วิหรติ อปฺปติโสฺส, สิกฺขาย น ปริปูรการี โหติ, โส สงฺเฆ วิวาทํ ชเนติ; โย โหติ วิวาโท พหุชนาหิตาย พหุชนาสุขาย, พหุโน ชนสฺส อนตฺถาย อหิตาย ทุกฺขาย เทวมนุสฺสานํฯ เอวรูปญฺเจ ตุเมฺห, อานนฺท, วิวาทมูลํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา สมนุปเสฺสยฺยาถ, ตตฺร ตุเมฺห, อานนฺท, ตเสฺสว ปาปกสฺส วิวาทมูลสฺส ปหานาย วายเมยฺยาถฯ เอวรูปญฺเจ ตุเมฺห, อานนฺท, วิวาทมูลํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา น สมนุปเสฺสยฺยาถฯ ตตฺร ตุเมฺห, อานนฺท, ตเสฺสว ปาปกสฺส วิวาทมูลสฺส อายตึ อนวสฺสวาย ปฏิปชฺเชยฺยาถฯ เอวเมตสฺส ปาปกสฺส วิวาทมูลสฺส ปหานํ โหติ, เอวเมตสฺส ปาปกสฺส วิวาทมูลสฺส อายตึ อนวสฺสโว โหติฯ
Ānanda, there are these six roots of arguments. What six? Firstly, a bhikkhu is irritable and hostile. Such a bhikkhu lacks respect and reverence for the teacher, the teaching, and the Saṅgha, and they don’t fulfill the training. They create a dispute in the Saṅgha, which is for the hurt and unhappiness of the people, for the harm, hurt, and suffering of gods and humans. If you see such a root of arguments in yourselves or others, you should try to give up this bad thing. If you don’t see it, you should practice so that it doesn’t come up in the future. That’s how to give up this bad root of arguments, so it doesn’t come up in the future.
ปุน จปรํ, อานนฺท, ภิกฺขุ มกฺขี โหติ ปฬาสี …เป… อิสฺสุกี โหติ มจฺฉรี …เป… สโฐ โหติ มายาวี …เป… ปาปิจฺโฉ โหติ มิจฺฉาทิฏฺฐิ …เป… สนฺทิฏฺฐิปรามาสี โหติ อาธานคฺคาหี ทุปฺปฏินิสฺสคฺคีฯ โย โส, อานนฺท, ภิกฺขุ สนฺทิฏฺฐิปรามาสี โหติ อาธานคฺคาหี ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี โส สตฺถริปิ อคารโว วิหรติ อปฺปติโสฺส, ธมฺเมปิ อคารโว วิหรติ อปฺปติโสฺส, สงฺเฆปิ อคารโว วิหรติ อปฺปติโสฺส, สิกฺขายปิ น ปริปูรการี โหติฯ โย โส, อานนฺท, ภิกฺขุ สตฺถริ อคารโว วิหรติ อปฺปติโสฺส, ธมฺเม … สงฺเฆ … สิกฺขาย น ปริปูรการี โหติ โส สงฺเฆ วิวาทํ ชเนติ; โย โหติ วิวาโท พหุชนาหิตาย พหุชนาสุขาย, พหุโน ชนสฺส อนตฺถาย อหิตาย ทุกฺขาย เทวมนุสฺสานํฯ เอวรูปญฺเจ ตุเมฺห, อานนฺท, วิวาทมูลํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา สมนุปเสฺสยฺยาถฯ ตตฺร ตุเมฺห, อานนฺท, ตเสฺสว ปาปกสฺส วิวาทมูลสฺส ปหานาย วายเมยฺยาถฯ เอวรูปญฺเจ ตุเมฺห, อานนฺท, วิวาทมูลํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา น สมนุปเสฺสยฺยาถ, ตตฺร ตุเมฺห, อานนฺท, ตเสฺสว ปาปกสฺส วิวาทมูลสฺส อายตึ อนวสฺสวาย ปฏิปชฺเชยฺยาถฯ เอวเมตสฺส ปาปกสฺส วิวาทมูลสฺส ปหานํ โหติ, เอวเมตสฺส ปาปกสฺส วิวาทมูลสฺส อายตึ อนวสฺสโว โหติฯ อิมานิ โข, อานนฺท, ฉ วิวาทมูลานิฯ
Furthermore, a bhikkhu is offensive and contemptuous … They’re jealous and stingy … They’re devious and deceitful … They have corrupt wishes and wrong view … They’re attached to their own views, holding them tight, and refusing to let go. Such a bhikkhu lacks respect and reverence for the teacher, the teaching, and the Saṅgha, and they don’t fulfill the training. They create a dispute in the Saṅgha, which is for the hurt and unhappiness of the people, for the harm, hurt, and suffering of gods and humans. If you see such a root of arguments in yourselves or others, you should try to give up this bad thing. If you don’t see it, you should practice so that it doesn’t come up in the future. That’s how to give up this bad root of arguments, so it doesn’t come up in the future. These are the six roots of arguments.
จตฺตาริมานิ, อานนฺท, อธิกรณานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? วิวาทาธิกรณํ, อนุวาทาธิกรณํ, อาปตฺตาธิกรณํ, กิจฺจาธิกรณํ—อิมานิ โข, อานนฺท, จตฺตาริ อธิกรณานิฯ สตฺต โข ปนิเม, อานนฺท, อธิกรณสมถา—อุปฺปนฺนุปฺปนฺนานํ อธิกรณานํ สมถาย วูปสมาย สมฺมุขาวินโย ทาตพฺโพ, สติวินโย ทาตพฺโพ, อมูฬฺหวินโย ทาตพฺโพ, ปฏิญฺญาย กาเรตพฺพํ, เยภุยฺยสิกา, ตสฺสปาปิยสิกา, ติณวตฺถารโกฯ
There are four kinds of disciplinary issues. What four? Disciplinary issues due to disputes, accusations, offenses, or proceedings. These are the four kinds of disciplinary issues. There are seven methods for the settlement of any disciplinary issues that might arise. Removal in the presence of those concerned is applicable. Removal by accurate recollection is applicable. Removal due to recovery from madness is applicable. The offense should be acknowledged. The decision of a majority. A verdict of aggravated misconduct. Covering over with grass.
กถญฺจานนฺท, สมฺมุขาวินโย โหติ? อิธานนฺท, ภิกฺขู วิวทนฺติ ธมฺโมติ วา อธมฺโมติ วา วินโยติ วา อวินโยติ วาฯ เตหานนฺท, ภิกฺขูหิ สพฺเพเหว สมคฺเคหิ สนฺนิปติตพฺพํฯ สนฺนิปติตฺวา ธมฺมเนตฺติ สมนุมชฺชิตพฺพาฯ ธมฺมเนตฺตึ สมนุมชฺชิตฺวา ยถา ตตฺถ สเมติ ตถา ตํ อธิกรณํ วูปสเมตพฺพํฯ เอวํ โข, อานนฺท, สมฺมุขาวินโย โหติ; เอวญฺจ ปนิเธกจฺจานํ อธิกรณานํ วูปสโม โหติ ยทิทํ—สมฺมุขาวินเยนฯ
And how is there removal in the presence of those concerned? It’s when bhikkhus are disputing: ‘This is the teaching,’ ‘This is not the teaching,’ ‘This is the monastic law,’ ‘This is not the monastic law.’ Those bhikkhus should all sit together in harmony and thoroughly go over the guidelines of the teaching. They should settle that disciplinary issue in agreement with the guidelines. That’s how there is removal in the presence of those concerned. And that’s how certain disciplinary issues are settled, that is, by removal in the presence of those concerned.
กถญฺจานนฺท, เยภุยฺยสิกา โหติ? เต เจ, อานนฺท, ภิกฺขู น สกฺโกนฺติ ตํ อธิกรณํ ตสฺมึ อาวาเส วูปสเมตุํฯ เตหานนฺท, ภิกฺขูหิ ยสฺมึ อาวาเส พหุตรา ภิกฺขู โส อาวาโส คนฺตพฺโพฯ ตตฺถ สพฺเพเหว สมคฺเคหิ สนฺนิปติตพฺพํฯ สนฺนิปติตฺวา ธมฺมเนตฺติ สมนุมชฺชิตพฺพาฯ ธมฺมเนตฺตึ สมนุมชฺชิตฺวา ยถา ตตฺถ สเมติ ตถา ตํ อธิกรณํ วูปสเมตพฺพํฯ เอวํ โข, อานนฺท, เยภุยฺยสิกา โหติ, เอวญฺจ ปนิเธกจฺจานํ อธิกรณานํ วูปสโม โหติ ยทิทํ—เยภุยฺยสิกายฯ
And how is there the decision of a majority? If those bhikkhus are not able to settle that issue in that monastery, they should go to another monastery with more bhikkhus. There they should all sit together in harmony and thoroughly go over the guidelines of the teaching. They should settle that disciplinary issue in agreement with the guidelines. That’s how there is the decision of a majority. And that’s how certain disciplinary issues are settled, that is, by decision of a majority.
กถญฺจานนฺท, สติวินโย โหติ? อิธานนฺท, ภิกฺขู ภิกฺขุํ เอวรูปาย ครุกาย อาปตฺติยา โจเทนฺติ ปาราชิเกน วา ปาราชิกสามนฺเตน วา: ‘สรตายสฺมา เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา'ติ? โส เอวมาห: ‘น โข อหํ, อาวุโส, สรามิ เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา'ติฯ ตสฺส โข, อานนฺท, ภิกฺขุโน สติวินโย ทาตพฺโพฯ เอวํ โข, อานนฺท, สติวินโย โหติ, เอวญฺจ ปนิเธกจฺจานํ อธิกรณานํ วูปสโม โหติ ยทิทํ—สติวินเยนฯ
And how is there removal by accurate recollection? It’s when bhikkhus accuse a bhikkhu of a serious offense; one entailing expulsion, or close to it: ‘Venerable, do you recall committing the kind of serious offense that entails expulsion or close to it?’ They say: ‘No, friends, I don’t recall committing such an offense.’ The removal by accurate recollection is applicable to them. That’s how there is the removal by accurate recollection. And that’s how certain disciplinary issues are settled, that is, by removal by accurate recollection.
กถญฺจานนฺท, อมูฬฺหวินโย โหติ? อิธานนฺท, ภิกฺขู ภิกฺขุํ เอวรูปาย ครุกาย อาปตฺติยา โจเทนฺติ ปาราชิเกน วา ปาราชิกสามนฺเตน วา: ‘สรตายสฺมา เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา'ติ? โส เอวมาห: ‘น โข อหํ, อาวุโส, สรามิ เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา'ติฯ ตเมนํ โส นิพฺเพเฐนฺตํ อติเวเฐติ: ‘อิงฺฆายสฺมา สาธุกเมว ชานาหิ ยทิ สรสิ เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา'ติฯ โส เอวมาห: ‘อหํ โข, อาวุโส, อุมฺมาทํ ปาปุณึ เจตโส วิปริยาสํฯ เตน เม อุมฺมตฺตเกน พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ นาหํ ตํ สรามิฯ มูเฬฺหน เม เอตํ กตนฺ'ติฯ ตสฺส โข, อานนฺท, ภิกฺขุโน อมูฬฺหวินโย ทาตพฺโพฯ เอวํ โข, อานนฺท, อมูฬฺหวินโย โหติ, เอวญฺจ ปนิเธกจฺจานํ อธิกรณานํ วูปสโม โหติ ยทิทํ—อมูฬฺหวินเยนฯ
And how is there removal by recovery from madness? It’s when bhikkhus accuse a bhikkhu of the kind of serious offense that entails expulsion, or close to it: ‘Venerable, do you recall committing the kind of serious offense that entails expulsion or close to it?’ They say: ‘No, friends, I don’t recall committing such an offense.’ But though they try to get out of it, the bhikkhus pursue the issue: ‘Surely the venerable must know perfectly well if you recall committing an offense that entails expulsion or close to it!’ They say: ‘Friends, I had gone mad, I was out of my mind. And while I was mad I did and said many things that are not proper for an ascetic. I don’t remember any of that, I was mad when I did it.’ The removal by recovery from madness is applicable to them. That’s how there is the removal by recovery from madness. And that’s how certain disciplinary issues are settled, that is, by recovery from madness.
กถญฺจานนฺท, ปฏิญฺญาตกรณํ โหติ? อิธานนฺท, ภิกฺขุ โจทิโต วา อโจทิโต วา อาปตฺตึ สรติ, วิวรติ อุตฺตานีกโรติฯ เตน, อานนฺท, ภิกฺขุนา วุฑฺฒตรํ ภิกฺขุํ อุปสงฺกมิตฺวา เอกํสํ จีวรํ กตฺวา ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฏิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลึ ปคฺคเหตฺวา เอวมสฺส วจนีโย: ‘อหํ, ภนฺเต, อิตฺถนฺนามํ อาปตฺตึ อาปนฺโน, ตํ ปฏิเทเสมี'ติฯ โส เอวมาห: ‘ปสฺสสี'ติ? ‘อาม ปสฺสามี'ติฯ ‘อายตึ สํวเรยฺยาสี'ติฯ ‘สํวริสฺสามี'ติฯ เอวํ โข, อานนฺท, ปฏิญฺญาตกรณํ โหติ, เอวญฺจ ปนิเธกจฺจานํ อธิกรณานํ วูปสโม โหติ ยทิทํ—ปฏิญฺญาตกรเณนฯ
And how is there the acknowledging of an offense? It’s when a bhikkhu, whether accused or not, recalls an offense and clarifies it and reveals it. After approaching a more senior bhikkhu, that bhikkhu should arrange his robe over one shoulder, bow to that bhikkhu’s feet, squat on their heels, raise their joined palms, and say: ‘Sir, I have fallen into such-and-such an offense. I confess it.’ The senior bhikkhu says: ‘Do you see it?’ ‘Yes, I see it.’ ‘Then restrain yourself in future.’ ‘I shall restrain myself.’ That’s how there is the acknowledging of an offense. And that’s how certain disciplinary issues are settled, that is, by acknowledging an offense.
กถญฺจานนฺท, ตสฺสปาปิยสิกา โหติ? อิธานนฺท, ภิกฺขุ ภิกฺขุํ เอวรูปาย ครุกาย อาปตฺติยา โจเทติ ปาราชิเกน วา ปาราชิกสามนฺเตน วา: ‘สรตายสฺมา เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา'ติ? โส เอวมาห: ‘น โข อหํ, อาวุโส, สรามิ เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา'ติฯ ตเมนํ โส นิพฺเพเฐนฺตํ อติเวเฐติ: ‘อิงฺฆายสฺมา สาธุกเมว ชานาหิ ยทิ สรสิ เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา'ติฯ โส เอวมาห: ‘น โข อหํ, อาวุโส, สรามิ เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา; สรามิ จ โข อหํ, อาวุโส, เอวรูปึ อปฺปมตฺติกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา'ติฯ ตเมนํ โส นิพฺเพเฐนฺตํ อติเวเฐติ: ‘อิงฺฆายสฺมา สาธุกเมว ชานาหิ ยทิ สรสิ เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา'ติ? โส เอวมาห: ‘อิมญฺหิ นามาหํ, อาวุโส, อปฺปมตฺติกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตฺวา อปุฏฺโฐ ปฏิชานิสฺสามิฯ กึ ปนาหํ เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตฺวา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา ปุฏฺโฐ น ปฏิชานิสฺสามี'ติ? โส เอวมาห: ‘อิมญฺหิ นาม ตฺวํ, อาวุโส, อปฺปมตฺติกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตฺวา อปุฏฺโฐ น ปฏิชานิสฺสสิ, กึ ปน ตฺวํ เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตฺวา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา ปุฏฺโฐ ปฏิชานิสฺสสิ? อิงฺฆายสฺมา สาธุกเมว ชานาหิ ยทิ สรสิ เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา'ติฯ โส เอวมาห: ‘สรามิ โข อหํ, อาวุโส, เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วาฯ ทวา เม เอตํ วุตฺตํ, รวา เม เอตํ วุตฺตํ—นาหํ ตํ สรามิ เอวรูปึ ครุกํ อาปตฺตึ อาปชฺชิตา ปาราชิกํ วา ปาราชิกสามนฺตํ วา'ติฯ เอวํ โข, อานนฺท, ตสฺสปาปิยสิกา โหติ, เอวญฺจ ปนิเธกจฺจานํ อธิกรณานํ วูปสโม โหติ ยทิทํ—ตสฺสปาปิยสิกายฯ
And how is there a verdict of aggravated misconduct? It’s when a bhikkhu accuses a bhikkhu of the kind of serious offense that entails expulsion, or close to it: ‘Venerable, do you recall committing the kind of serious offense that entails expulsion or close to it?’ They say: ‘No, friends, I don’t recall committing such an offense.’ But though they try to get out of it, the bhikkhus pursue the issue: ‘Surely the venerable must know perfectly well if you recall committing an offense that entails expulsion or close to it!’ They say: ‘Friends, I don’t recall committing a serious offense of that nature. But I do recall committing a light offense.’ But though they try to get out of it, the bhikkhus pursue the issue: ‘Surely the venerable must know perfectly well if you recall committing an offense that entails expulsion or close to it!’ They say: ‘Friends, I’ll go so far as to acknowledge this light offense even when not asked. Why wouldn’t I acknowledge a serious offense when asked?’ They say: ‘You wouldn’t have acknowledged that light offense without being asked, so why would you acknowledge a serious offense? Surely the venerable must know perfectly well if you recall committing an offense that entails expulsion or close to it!’ They say: ‘Friend, I do recall committing the kind of serious offense that entails expulsion or close to it. I spoke too hastily when I said that I didn’t recall it.’ That’s how there is a verdict of aggravated misconduct. And that’s how certain disciplinary issues are settled, that is, by a verdict of aggravated misconduct.
กถญฺจานนฺท, ติณวตฺถารโก โหติ? อิธานนฺท, ภิกฺขูนํ ภณฺฑนชาตานํ กลหชาตานํ วิวาทาปนฺนานํ วิหรตํ พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ โหติ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ เตหานนฺท, ภิกฺขูหิ สพฺเพเหว สมคฺเคหิ สนฺนิปติตพฺพํฯ สนฺนิปติตฺวา เอกโตปกฺขิกานํ ภิกฺขูนํ พฺยตฺเตน ภิกฺขุนา อุฏฺฐายาสนา เอกํสํ จีวรํ กตฺวา อญฺชลึ ปณาเมตฺวา สงฺโฆ ญาเปตพฺโพ—
And how is there the covering over with grass? It’s when the bhikkhus continually argue, quarrel, and dispute, doing and saying many things that are not proper for an ascetic. Those bhikkhus should all sit together in harmony. A competent bhikkhu of one party, having got up from their seat, arranged their robe over one shoulder, and raised their joined palms, should inform the Saṅgha:
สุณาตุ เม, ภนฺเต, สงฺโฆฯ อิทํ อมฺหากํ ภณฺฑนชาตานํ กลหชาตานํ วิวาทาปนฺนานํ วิหรตํ พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ ยา เจว อิเมสํ อายสฺมนฺตานํ อาปตฺติ ยา จ อตฺตโน อาปตฺติ, อิเมสญฺเจว อายสฺมนฺตานํ อตฺถาย อตฺตโน จ อตฺถาย, สงฺฆมชฺเฌ ติณวตฺถารเกน เทเสยฺยํ, ฐเปตฺวา ถุลฺลวชฺชํ ฐเปตฺวา คิหิปฏิสํยุตฺตนฺ'ติฯ
‘Sir, let the Saṅgha listen to me. We have been continually arguing, quarreling, and disputing, doing and saying many things that are not proper for an ascetic. If it seems appropriate to the Saṅgha, then—for the benefit of these venerables and myself—I disclose in the middle of the Saṅgha by means of covering over with grass any offenses committed by these venerables and by myself, excepting only those that are gravely blameworthy and those connected with laypeople.’
อถาปเรสํ เอกโตปกฺขิกานํ ภิกฺขูนํ พฺยตฺเตน ภิกฺขุนา อุฏฺฐายาสนา เอกํสํ จีวรํ กตฺวา อญฺชลึ ปณาเมตฺวา สงฺโฆ ญาเปตพฺโพ:
Then a competent bhikkhu of the other party, having got up from their seat, arranged their robe over one shoulder, and raising their joined palms, should inform the Saṅgha:
‘สุณาตุ เม, ภนฺเต, สงฺโฆฯ อิทํ อมฺหากํ ภณฺฑนชาตานํ กลหชาตานํ วิวาทาปนฺนานํ วิหรตํ พหุํ อสฺสามณกํ อชฺฌาจิณฺณํ ภาสิตปริกฺกนฺตํฯ ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, อหํ ยา เจว อิเมสํ อายสฺมนฺตานํ อาปตฺติ ยา จ อตฺตโน อาปตฺติ, อิเมสญฺเจว อายสฺมนฺตานํ อตฺถาย อตฺตโน จ อตฺถาย, สงฺฆมชฺเฌ ติณวตฺถารเกน เทเสยฺยํ, ฐเปตฺวา ถุลฺลวชฺชํ ฐเปตฺวา คิหิปฏิสํยุตฺตนฺ'ติฯ
‘Sir, let the Saṅgha listen to me. We have been continually arguing, quarreling, and disputing, doing and saying many things that are not proper for an ascetic. If it seems appropriate to the Saṅgha, then—for the benefit of these venerables and myself—I disclose in the middle of the Saṅgha by means of covering over with grass any offenses committed by these venerables and by myself, excepting only those that are gravely blameworthy and those connected with laypeople.’
เอวํ โข, อานนฺท, ติณวตฺถารโก โหติ, เอวญฺจ ปนิเธกจฺจานํ อธิกรณานํ วูปสโม โหติ ยทิทํ—ติณวตฺถารเกนฯ
That’s how there is the covering over with grass. And that’s how certain disciplinary issues are settled, that is, by covering over with grass.
ฉยิเม, อานนฺท, ธมฺมา สารณียา ปิยกรณา ครุกรณา สงฺคหาย อวิวาทาย สามคฺคิยา เอกีภาวาย สํวตฺตนฺติฯ กตเม ฉ? อิธานนฺท, ภิกฺขุโน เมตฺตํ กายกมฺมํ ปจฺจุปฏฺฐิตํ โหติ สพฺรหฺมจารีสุ อาวิ เจว รโห จฯ อยมฺปิ ธมฺโม สารณีโย ปิยกรโณ ครุกรโณ สงฺคหาย อวิวาทาย สามคฺคิยา เอกีภาวาย สํวตฺตติฯ
Ānanda, these six warm-hearted qualities make for fondness and respect, conducing to inclusion, harmony, and unity, without quarreling. What six? Firstly, a bhikkhu consistently treats their spiritual companions with bodily kindness, both in public and in private. This warm-hearted quality makes for fondness and respect, conducing to inclusion, harmony, and unity, without quarreling.
ปุน จปรํ, อานนฺท, ภิกฺขุโน เมตฺตํ วจีกมฺมํ ปจฺจุปฏฺฐิตํ โหติ สพฺรหฺมจารีสุ อาวิ เจว รโห จฯ อยมฺปิ ธมฺโม สารณีโย ปิยกรโณ ครุกรโณ สงฺคหาย อวิวาทาย สามคฺคิยา เอกีภาวาย สํวตฺตติฯ
Furthermore, a bhikkhu consistently treats their spiritual companions with verbal kindness … This too is a warm-hearted quality.
ปุน จปรํ, อานนฺท, ภิกฺขุโน เมตฺตํ มโนกมฺมํ ปจฺจุปฏฺฐิตํ โหติ สพฺรหฺมจารีสุ อาวิ เจว รโห จฯ อยมฺปิ ธมฺโม สารณีโย ปิยกรโณ ครุกรโณ สงฺคหาย อวิวาทาย สามคฺคิยา เอกีภาวาย สํวตฺตติฯ
Furthermore, a bhikkhu consistently treats their spiritual companions with mental kindness … This too is a warm-hearted quality.
ปุน จปรํ, อานนฺท, ภิกฺขุ—เย เต ลาภา ธมฺมิกา ธมฺมลทฺธา อนฺตมโส ปตฺตปริยาปนฺนมตฺตมฺปิ ตถารูเปหิ ลาเภหิ—อปฏิวิภตฺตโภคี โหติ, สีลวนฺเตหิ สพฺรหฺมจารีหิ สาธารณโภคีฯ อยมฺปิ ธมฺโม สารณีโย ปิยกรโณ ครุกรโณ สงฺคหาย อวิวาทาย สามคฺคิยา เอกีภาวาย สํวตฺตติฯ
Furthermore, a bhikkhu shares without reservation any material possessions they have gained by legitimate means, even the food placed in the alms-bowl, using them in common with their ethical spiritual companions. This too is a warm-hearted quality.
ปุน จปรํ, อานนฺท, ภิกฺขุ—ยานิ ตานิ สีลานิ อขณฺฑานิ อจฺฉิทฺทานิ อสพลานิ อกมฺมาสานิ ภุชิสฺสานิ วิญฺญุปฺปสตฺถานิ อปรามฏฺฐานิ สมาธิสํวตฺตนิกานิ ตถารูเปสุ สีเลสุ—สีลสามญฺญคโต วิหรติ สพฺรหฺมจารีหิ อาวิ เจว รโห จฯ อยมฺปิ ธมฺโม สารณีโย ปิยกรโณ ครุกรโณ สงฺคหาย อวิวาทาย สามคฺคิยา เอกีภาวาย สํวตฺตติฯ
Furthermore, a bhikkhu lives according to the precepts shared with their spiritual companions, both in public and in private. Those precepts are unbroken, impeccable, spotless, and unmarred, liberating, praised by sensible people, not mistaken, and leading to immersion. This too is a warm-hearted quality.
ปุน จปรํ, อานนฺท, ภิกฺขุ—ยายํ ทิฏฺฐิ อริยา นิยฺยานิกา นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมา ทุกฺขกฺขยาย ตถารูปาย ทิฏฺฐิยา—ทิฏฺฐิสามญฺญคโต วิหรติ สพฺรหฺมจารีหิ อาวิ เจว รโห จฯ อยมฺปิ ธมฺโม สารณีโย ปิยกรโณ ครุกรโณ สงฺคหาย อวิวาทาย สามคฺคิยา เอกีภาวาย สํวตฺตติฯ
Furthermore, a bhikkhu lives according to the view shared with their spiritual companions, both in public and in private. That view is noble and emancipating, and leads one who practices it to the complete ending of suffering. This too is a warm-hearted quality.
อิเม โข, อานนฺท, ฉ สารณียา ธมฺมา ปิยกรณา ครุกรณา สงฺคหาย อวิวาทาย สามคฺคิยา เอกีภาวาย สํวตฺตนฺติฯ
These six warm-hearted qualities make for fondness and respect, conducing to inclusion, harmony, and unity, without quarreling.
อิเม เจ ตุเมฺห, อานนฺท, ฉ สารณีเย ธมฺเม สมาทาย วตฺเตยฺยาถ, ปสฺสถ โน ตุเมฺห, อานนฺท, ตํ วจนปถํ อณุํ วา ถูลํ วา ยํ ตุเมฺห นาธิวาเสยฺยาถา”ติ?
If you should undertake and follow these six warm-hearted qualities, do you see any criticism, large or small, that you could not endure?”
“โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ
“No, sir.”
“ตสฺมาติหานนฺท, อิเม ฉ สารณีเย ธมฺเม สมาทาย วตฺตถฯ ตํ โว ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา”ติฯ
“That’s why, Ānanda, you should undertake and follow these six warm-hearted qualities. That will be for your lasting welfare and happiness.”
อิทมโวจ ภควาฯ อตฺตมโน อายสฺมา อานนฺโท ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทีติฯ
That is what the Buddha said. Satisfied, Venerable Ānanda was happy with what the Buddha said.
สามคามสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ จตุตฺถํฯ
The authoritative text of the Majjhima Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]