Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Saṁyutta Nikāya, English translation

    สํยุตฺต นิกาย ๔๔ฯ๒

    The Related Suttas Collection 44.2

    ๑ฯ อพฺยากตวคฺค

    1. The Undeclared Points

    อนุราธสุตฺต

    With Anurādha

    เอกํ สมยํ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฏาคารสาลายํฯ

    At one time the Buddha was staying near Vesālī, at the Great Wood, in the hall with the peaked roof.

    เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา อนุราโธ ภควโต อวิทูเร อรญฺญกุฏิกายํ วิหรติฯ อถ โข สมฺพหุลา อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา เยนายสฺมา อนุราโธ เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมตา อนุราเธน สทฺธึ สมฺโมทึสุฯ

    Now at that time Venerable Anurādha was staying not far from the Buddha in a wilderness hut. Then several wanderers of other religions went up to Venerable Anurādha and exchanged greetings with him.

    สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข เต อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา อายสฺมนฺตํ อนุราธํ เอตทโวจุํ:

    When the greetings and polite conversation were over, they sat down to one side and said to him:

    “โย โส, อาวุโส อนุราธ, ตถาคโต อุตฺตมปุริโส ปรมปุริโส ปรมปตฺติปตฺโต, ตํ ตถาคโต อิเมสุ จตูสุ ฐาเนสุ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปติ: ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา, ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา, ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา, ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา”ติ?

    “Friend Anurādha, when a Realized One is describing a Realized One—a supreme person, highest of people, who has reached the highest point—they describe them in these four ways: After death, a Realized One still exists, or no longer exists, or both still exists and no longer exists, or neither still exists nor no longer exists.”

    “โย โส, อาวุโส, ตถาคโต อุตฺตมปุริโส ปรมปุริโส ปรมปตฺติปตฺโต, ตํ ตถาคโต อญฺญตฺร อิเมหิ จตูหิ ฐาเนหิ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปติ: ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา, ‘น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา, ‘โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา, เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ วา”ติฯ

    “Friends, when a Realized One is describing a Realized One—a supreme person, highest of people, who has reached the highest point—they describe them other than these four ways: After death, a Realized One still exists, or no longer exists, or both still exists and no longer exists, or neither still exists nor no longer exists.”

    เอวํ วุตฺเต, เต อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา อายสฺมนฺตํ อนุราธํ เอตทโวจุํ: “โส จายํ ภิกฺขุ นโว ภวิสฺสติ อจิรปพฺพชิโต, เถโร วา ปน พาโล อพฺยตฺโต”ติฯ อถ โข เต อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา อายสฺมนฺตํ อนุราธํ นววาเทน จ พาลวาเทน จ อปสาเทตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกมึสุฯ

    When he said this, the wanderers said to him, “This bhikkhu must be junior, recently gone forth, or else a foolish, incompetent senior bhikkhu.” Then, after rebuking Venerable Anurādha by calling him “junior” and “foolish”, the wanderers got up from their seat and left.

    อถ โข อายสฺมโต อนุราธสฺส อจิรปกฺกนฺเตสุ อญฺญติตฺถิเยสุ ปริพฺพาชเกสุ เอตทโหสิ: “สเจ โข มํ เต อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา อุตฺตรึ ปุจฺเฉยฺยุํ, กถํ พฺยากรมาโน นุ ขฺวาหํ เตสํ อญฺญติตฺถิยานํ ปริพฺพาชกานํ วุตฺตวาที เจว ภควโต อสฺสํ, น จ ภควนฺตํ อภูเตน อพฺภาจิกฺเขยฺยํ, ธมฺมสฺส จานุธมฺมํ พฺยากเรยฺยํ, น จ โกจิ สหธมฺมิโก วาทานุวาโท คารยฺหํ ฐานํ อาคจฺเฉยฺยา”ติ?

    Soon after they had left, Anurādha thought, “If those wanderers were to inquire further, how should I answer them so as to repeat what the Buddha has said, and not misrepresent him with an untruth? How should I explain in line with his teaching, so that there would be no legitimate grounds for rebuke and criticism?”

    อถ โข อายสฺมา อนุราโธ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข อายสฺมา อนุราโธ ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อิธาหํ, ภนฺเต, ภควโต อวิทูเร อรญฺญกุฏิกายํ วิหรามิฯ อถ โข, ภนฺเต, สมฺพหุลา อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา เยนาหํ เตนุปสงฺกมึสุ; อุปสงฺกมิตฺวา มยา สทฺธึ สมฺโมทึสุฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทึสุฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนา โข, ภนฺเต, เต อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา มํ เอตทโวจุํ: ‘โย โส, อาวุโส อนุราธ, ตถาคโต อุตฺตมปุริโส ปรมปุริโส ปรมปตฺติปตฺโต, ตํ ตถาคโต อิเมสุ จตูสุ ฐาเนสุ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปติ: “โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา”ติ วา …เป… “เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา”ติ วา'ติ? เอวํ วุตฺตาหํ, ภนฺเต, เต อญฺญติตฺถิเย ปริพฺพาชเก เอตทโวจํ: ‘โย โส, อาวุโส, ตถาคโต อุตฺตมปุริโส ปรมปุริโส ปรมปตฺติปตฺโต, ตํ ตถาคโต อญฺญตฺร อิเมหิ จตูหิ ฐาเนหิ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปติ: “โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา”ติ วา …เป… “เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา”ติ วา'ติฯ เอวํ วุตฺเต, ภนฺเต, เต อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา มํ เอตทโวจุํ: ‘โส จายํ ภิกฺขุ นโว ภวิสฺสติ อจิรปพฺพชิโต เถโร วา ปน พาโล อพฺยตฺโต'ติฯ อถ โข มํ, ภนฺเต, เต อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา นววาเทน จ พาลวาเทน จ อปสาเทตฺวา อุฏฺฐายาสนา ปกฺกมึสุฯ ตสฺส มยฺหํ, ภนฺเต, อจิรปกฺกนฺเตสุ เตสุ อญฺญติตฺถิเยสุ ปริพฺพาชเกสุ เอตทโหสิ: ‘สเจ โข มํ เต อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา อุตฺตรึ ปุจฺเฉยฺยุํ, กถํ พฺยากรมาโน นุ ขฺวาหํ เตสํ อญฺญติตฺถิยานํ ปริพฺพาชกานํ วุตฺตวาที เจว ภควโต อสฺสํ, น จ ภควนฺตํ อภูเตน อพฺภาจิกฺเขยฺยํ, ธมฺมสฺส จานุธมฺมํ พฺยากเรยฺยํ, น จ โกจิ สหธมฺมิโก วาทานุวาโท คารยฺหํ ฐานํ อาคจฺเฉยฺยา'”ติ?

    Then Venerable Anurādha went up to the Buddha, bowed, sat down to one side, and told him what had happened.

    “ตํ กึ มญฺญสิ, อนุราธ, รูปํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา”ติ?

    “What do you think, Anurādha? Is form permanent or impermanent?”

    “อนิจฺจํ, ภนฺเต”ฯ

    “Impermanent, sir.”

    “ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา”ติ?

    “But if it’s impermanent, is it suffering or happiness?”

    “ทุกฺขํ, ภนฺเต”ฯ

    “Suffering, sir.”

    “ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ: ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา'”ติ?

    “But if it’s impermanent, suffering, and perishable, is it fit to be regarded thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “เวทนา นิจฺจา วา อนิจฺจา วา”ติ? …เป… สญฺญา …เป… สงฺขารา …เป… “วิญฺญาณํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วา”ติ?

    “Is feeling … perception … choices … consciousness permanent or impermanent?”

    “อนิจฺจํ, ภนฺเต”ฯ

    “Impermanent, sir.”

    “ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วา”ติ?

    “But if it’s impermanent, is it suffering or happiness?”

    “ทุกฺขํ, ภนฺเต”ฯ

    “Suffering, sir.”

    “ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ: ‘เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา'”ติ?

    “But if it’s impermanent, suffering, and perishable, is it fit to be regarded thus: ‘This is mine, I am this, this is my self’?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตสฺมาติห, อนุราธ, ยํ กิญฺจิ รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา หีนํ วา ปณีตํ วา ยํ ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ รูปํ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา'ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํฯ ยา กาจิ เวทนา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา …เป… ยา กาจิ สญฺญา …เป… เย เกจิ สงฺขารา …เป… ยํ กิญฺจิ วิญฺญาณํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา หีนํ วา ปณีตํ วา ยํ ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ วิญฺญาณํ ‘เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา'ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปญฺญาย ทฏฺฐพฺพํฯ

    “So, Anurādha, you should truly see any kind of form at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all form—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’ Any kind of feeling … perception … choices … consciousness at all—past, future, or present; internal or external; coarse or fine; inferior or superior; far or near: all consciousness—with right understanding: ‘This is not mine, I am not this, this is not my self.’

    เอวํ ปสฺสํ, อนุราธ, สุตวา อริยสาวโก รูปสฺมิมฺปิ นิพฺพินฺทติ, เวทนายปิ นิพฺพินฺทติ, สญฺญายปิ นิพฺพินฺทติ, สงฺขาเรสุปิ นิพฺพินฺทติ, วิญฺญาณสฺมิมฺปิ นิพฺพินฺทติฯ นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ; วิราคา วิมุจฺจติ; วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติฯ

    Seeing this, a learned noble disciple grows disillusioned with form, feeling, perception, choices, and consciousness. Being disillusioned, desire fades away. When desire fades away they’re freed. When they’re freed, they know they’re freed.

    ‘ขีณา ชาติ, วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายา'ติ ปชานาติฯ

    They understand: ‘Rebirth is ended, the spiritual journey has been completed, what had to be done has been done, there is no return to any state of existence.’

    ตํ กึ มญฺญสิ, อนุราธ, รูปํ ตถาคโตติ สมนุปสฺสสี”ติ?

    What do you think, Anurādha? Do you regard the Realized One as form?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “เวทนํ ตถาคโตติ สมนุปสฺสสี”ติ? “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ “สญฺญํ ตถาคโตติ สมนุปสฺสสี”ติ? “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ “สงฺขาเร ตถาคโตติ สมนุปสฺสสี”ติ? “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ “วิญฺญาณํ ตถาคโตติ สมนุปสฺสสี”ติ?

    “Do you regard the Realized One as feeling … perception … choices … consciousness?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, อนุราธ, รูปสฺมึ ตถาคโตติ สมนุปสฺสสี”ติ?

    “What do you think, Anurādha? Do you regard the Realized One as in form?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “อญฺญตฺร รูปา ตถาคโตติ สมนุปสฺสสี”ติ?

    “Or do you regard the Realized One as distinct from form?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “เวทนาย …เป… อญฺญตฺร เวทนาย …เป… สญฺญาย …เป… อญฺญตฺร สญฺญาย …เป… สงฺขาเรสุ …เป… อญฺญตฺร สงฺขาเรหิ …เป… วิญฺญาณสฺมึ ตถาคโตติ สมนุปสฺสสี”ติ? “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ “อญฺญตฺร วิญฺญาณา ตถาคโตติ สมนุปสฺสสี”ติ?

    “Do you regard the Realized One as in feeling … or distinct from feeling … as in perception … or distinct from perception … as in choices … or distinct from choices … as in consciousness … or as distinct from consciousness?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, อนุราธ, รูปํ, เวทนํ, สญฺญํ, สงฺขาเร, วิญฺญาณํ ตถาคโตติ สมนุปสฺสสี”ติ?

    “What do you think, Anurādha? Do you regard the Realized One as possessing form, feeling, perception, choices, and consciousness?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “ตํ กึ มญฺญสิ, อนุราธ, อยํ โส อรูปี อเวทโน อสญฺญี อสงฺขาโร อวิญฺญาโณ ตถาคโตติ สมนุปสฺสสี”ติ?

    “What do you think, Anurādha? Do you regard the Realized One as one who is without form, feeling, perception, choices, and consciousness?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “เอตฺถ จ เต, อนุราธ, ทิฏฺเฐว ธมฺเม สจฺจโต เถตโต ตถาคเต อนุปลพฺภิยมาเน กลฺลํ นุ เต ตํ เวยฺยากรณํ—โย โส, อาวุโส, ตถาคโต อุตฺตมปุริโส ปรมปุริโส ปรมปตฺติปตฺโต, ตํ ตถาคโต อญฺญตฺร อิเมหิ จตูหิ ฐาเนหิ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปติ: ‘โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา …เป… ‘เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา'ติ วา”ติ?

    “In that case, Anurādha, since you don’t acknowledge the Realized One as a genuine fact in the present life, is it appropriate to declare: ‘Friends, when a Realized One is describing a Realized One—a supreme person, highest of people, who has reached the highest point—they describe them other than these four ways: After death, a Realized One still exists, or no longer exists, or both still exists and no longer exists, or neither still exists nor no longer exists’?”

    “โน เหตํ, ภนฺเต”ฯ

    “No, sir.”

    “สาธุ สาธุ, อนุราธฯ ปุพฺเพ จาหํ, อนุราธ, เอตรหิ จ ทุกฺขญฺเจว ปญฺญาเปมิ ทุกฺขสฺส จ นิโรธนฺ”ติฯ

    “Good, good, Anurādha! In the past, as today, what I describe is suffering and the cessation of suffering.”

    ทุติยํฯ





    The authoritative text of the Saṁyutta Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]


    © 1991-2024 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact